เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Silent NightSarut Ratanavijit
1/4 : STAIRWAY TO HEAVEN
  • เมื่อท่อนอินโทรเพลง Stairway to Heaven เริ่มถูกร้อยเรียงผ่านนิ้วมือเรียวยาวของนักดนตรีบนเวทีเสียงกีตาร์แห่งความเศร้าสร้อยแต่แฝงด้วยเมโลดีแห่งความหวังแผ่กระจายเข้าปกคลุมบรรยากาศอันเงียบเหงาของบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของเดือนเมษายน ทำให้บาร์แห่งนี้ ที่ปกติจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เหลือจำนวนแขกเพียงน้อยนิดกลุ่มหนึ่งที่นั่งกระจัดกระจายกันทั่วร้าน บางคนเลือกจับจองที่นั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์ บ้างหลบมุมอยู่ท้ายบาร์ และบ้างนั่งเกาะกลุ่มกันบริเวณหน้าเวทีเพื่อให้เข้าถึงรสชาติของเสียงเพลง จุดร่วมหนึ่งของลูกค้าในคืนนี้คือ พวกเขาต่างมาที่บาร์นี้เพียงคนเดียวประหนึ่งเป็นกฎใหม่อันเคร่งครัดของทางร้านที่ผู้จะย่างกรายเข้ามาต้องพึงปฏิบัติเฉพาะค่ำคืนนี้ โดยมีบัตรผ่านเป็นตราประทับบนใบหน้าที่เผยให้เห็นความไร้จุดหมายปลายทางของทั้งบุคคลที่จะไปพบเจอ และสถานที่ที่จะเดินทางไปถึง


    “There's a lady who's sure all that glitters is gold and she's buying a stairway to heaven” 


    เนื้อเพลงใน verse แรกกำลังถูกถ่ายทอดออกมาด้วยเสียงแหบแห้งและแหลมคมจากนักร้องผมยาว ผู้นั่งอยู่ตรงมุมมืดตรงขอบเวที…


    --- 


    ผมนั่งที่ประจำตรงเคาน์เตอร์บาร์พยายามซึมซับมวลความสงบภายในร้าน สายตาจับจ้องไปที่แก้วเบียร์ที่มีเม็ดน้ำเกาะกุมทั่วบริเวณก่อนจะค่อยๆ ละเลียดน้ำสีอำพันที่เริ่มจะคลายความเย็นลงไปแล้ว


    “วันหยุดนี้ไม่ไปไหนหรอ” เสียงทุ้มของเจ้าของบาร์วัยกลางคนดังขัดจังหวะขึ้น

    “ไม่ละครับ พอดีมีงานค้างที่ต้องเขียนให้เสร็จ” ผมวางแก้วและมองไปหน้าสมุดใกล้ตัวที่เต็มไปด้วยลายมือที่แสนยุ่งเหยิง รสชาติของเบียร์ร้านนี้ยังคงนุ่มนวลเหมือนเดิม

    เจ้าของบาร์มองสมุดเล่มนั้นขณะที่กำลังหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาเช็ดและเผยรอยยิ้มเล็กน้อย 

    เรื่องสั้นที่เคยเล่าให้ฟังยังเขียนไม่เสร็จอีกหรอ”

    “ครับ ผมยังคิดตอนจบของเรื่องไม่ออกหลายวันได้แล้วที่ลองขีด ๆ เขียน ๆ...แต่สุดท้าย พออ่านแต่ละดราฟท์ตั้งแต่ต้นจนจบดูมันไม่เข้าเป็นเนื้อเดียวกับตัวเรื่องทั้งหมด”

    “เลยต้องมานั่งดื่มที่นี่สินะคืนนี้” เจ้าของบาร์พูดและหยิบแก้วใบใหม่ขึ้นมาเช็ด

    “คงงั้นครับ…เผื่อจะช่วยให้คิดอะไรออกบ้าง” ผมยกเบียร์ขึ้นจิบ มองไปทางเวทีที่นักร้องกำลังลุกขึ้นยืน


    นักร้องออกจากมุมมืดเมื่อตอนต้นเพลงมายืนกลางเวทีแสงไฟจับให้เห็นเค้าโครงใบหน้าที่ได้ล่วงเลยผ่านเวลามาครึ่งชีวิต เนื้อเพลงกำลังถูกถ่ายทอดออกมาจากประสบการณ์จากอดีต

    Sometimes all of our thoughts are misgiven…. Oh, it’s make me wonder” 


    ---


    หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีเลือดหมูแขนยาวกางเกงสแล็คสีดำ และสะพายกระเป๋าสีเดียวกับเสื้อ หญิงสาวมองสำรวจทั่วร้านเหมือนกำลังหาใครสักคนที่เธอรู้จัก เมื่อไม่เจอใครคนนั้นเธอเดินมานั่งเคาน์เตอร์บาร์ฝั่งตรงข้ามผม และสั่งเบียร์ดำยี่ห้อหนึ่งกับเจ้าของบาร์ มองไปรอบร้านอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นคนที่เธออยากจะพบเช่นเดิม 

    ทุกอากัปกิริยานับตั้งแต่เธอเข้ามาในร้านจนนั่งที่เคาน์เตอร์ ได้ดึงดูดความสนใจของผมจากแก้วเบื้องหน้าไปหมดสิ้น อาจเป็นเพราะใบหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาว่า ผมและเธอเคยร่วมพบผ่านเศษเสี้ยวของช่วงเวลาหนึ่งมาด้วยกัน


    “สนใจเธอหรอ” เสียงเจ้าของบาร์ฉุดผมให้กลับมาสู่แก้วเบียร์เบื้องหน้า

    ผมยิ้มตอบเพื่อกลบเกลื่อนคำตอบก่อนจะถามกลับไปว่า “เธอเป็นแขกประจำหรอครับ รู้สึกไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย”

    “ก็ไม่เชิงหรอก เธอเริ่มมาที่ร้านตั้งแต่อาทิตย์ก่อน จากนั้นก็เห็นมาตลอด...เธอจะทำเหมือนเดิมทุกครั้งที่มาร้าน คือจะมองไปรอบร้านเหมือนกำลังหาคนที่เธอนัดไว้ แต่ก็ไม่เคยพบใคร นั่งตรงมุมเดิมไม่พูดจากับใครยกเว้นแค่ตอนสั่งเครื่องดื่ม ซึ่งจะเหมือนเดิมเป็นประจำ และจะออกจากร้านก่อนสี่ทุ่ม คนในร้านเลยตั้งฉายาให้เธอว่า ‘หญิงสาวที่มากับความเงียบ’  

    เจ้าของบาร์ตอบขณะที่รินเบียร์สีดำลงแก้วไพน์จนเต็มและยกไปวางให้หญิงสาวคนนั้นผมมองเธออีกครั้ง สังเกตสายตาของเธอที่ยังคงสอดส่ายไปทั่วร้านด้วยความหวัง

    ผมตัดสินใจเขียนทุกสิ่งเกี่ยวกับหญิงสาวลงบนสมุดอย่างละเอียด...เรื่องราวที่จะมีเธอเป็นจุดศูนย์กลางของเหตุการณ์ทั้งหมด


    --- 


    Dear lady, can you hear the wind blow, and did you know. Your stairway lies on the whispering wind”...

    ตอนนี้บทเพลงกำลังดำเนินมาถึง verse 4 เบสและกลองได้เข้ามาผสมผสานกับท่วงทำนองเพื่อส่งเข้าสู่ช่วงไคลแมคของเพลง…มือกีตาร์ยืนตระหง่านตรงกลางเวทีพร้อมแล้วที่จะปลดปล่อยอารมณ์จากส่วนลึกของตัวตนและบทเพลงออกไป

    เสียงเครื่องดนตรีท่อนแล้วท่อนเล่าจากกีตาร์ เบสและกลองรุมกระหน่ำแผดเผาและบดขยี้ทุกสรรพสิ่งในบาร์ มันเคลื่อนผ่านผัสสะเข้าไปในร่างกาย ผสมคลุกเคล้ากับเศษชิ้นส่วนของภาพอดีตกาลและปัจจุบันจนเกิดปฏิกิริยาขึ้นภายในของแต่ละคน...สายตาแถบทุกดวงจับจ้องไปที่มือกีตาร์ผู้นั้นที่กำลังเด่นสง่าบนเวที

    หญิงสาวคนนั้นก็เหมือนเช่นทุกคน เธอมองนิ้วที่ละเลงอยู่บนคอกีตาร์อย่างรวดเร็วโน้ตแล้วโน้ตเล่า...โมงยามนั้น เธอและคนอื่นในร้านต่างถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำของบทเพลง 

    ในขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์อยู่นั้น ผมซึ่งเป็นคนเดียวในบาร์ที่ไม่โดนมนต์ดำแห่งเสียงดนตรีสะกดเอาไว้กลับ ถูกใบหน้าของหญิงสาวล่อลวงให้หลงเข้าไปในเขาวงกตที่ปกคลุมด้วยหมอกควันแห่งความลับมากมาย ผมพยายามหาทางเพื่อเข้าไปเสาะหาคำตอบว่า เธอใช่คนที่ผมรู้จักหรือไม่...แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งไป 


    ก่อนจะถึงช่วงท้ายของท่อนโซโล่...ผมและหญิงสาวสบตากันและกันช่วงวินาทีหนึ่ง...ผมจำสายตานั้นได้...ไม่ผิดแน่นอน...เป็นสายตาซึ่งแฝงไปด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดของใครคนหนึ่งที่ผมได้เคยมอบของขวัญแห่งความชั่วร้ายทิ้งไว้ให้ 

    ทันใดนั้น...เธอลุกขึ้น วางเงินไว้และเดินออกจากบาร์เมื่อ verse สุดท้ายมาถึง ผมรีบจ่ายเงินให้กับเจ้าของบาร์ คว้ากระเป๋าสะพาย และรีบเดินตามเธอออกไปทิ้งแก้วเบียร์ที่ยังมีน้ำอยู่ค่อนแก้วและบทเพลงที่ยังเล่นไม่จบไว้เบื้องหลัง



    To be continued...

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in