เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อวันที่ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (Depression Diary)Tongg Pongsathorn
ซึมเศร้า Diary (5) สวัสดีโรคซึมเศร้า
  • หมอถามเราต่ออีกนิดว่าเรามีอาการชอบซื้อของอื่นหรือไม่เพื่อสอบถามอาการอื่นมือ เราบอกว่าไม่ ออกกำลังกายหรือไม่ เราบอกไม่เพราะหลังเลิกงานเราต้องรีบกลับมาดูลูก หมอถึงความจำเป็นสอบถามถึงปัญหาความจำเสื่อม โดนมี คำ 5 -6 ที่หมอพูดช้าๆ แล้วให้เราพูดตามลำดับ สำหรับเรายากนะ ตอนคำสุดท้ายบอกตรงๆตอบไปไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า แล้วก็มีทำลบเลขจาก 100 ทีละ 7 ลงมาเรื่อยๆ ตอนแรกเราใช้มือช่วยนับ แต่หมอบอกอย่าใช้มือช่วย เราก็มือกุมหัวแต่นิ้วมือมันแอบขยับเอง (555) แล้วก็มีทดสอบความสัมพันธ์คำตรงข้าม เช่น ท้องฟ้า - .... เราก็อาจจะตอบพื้นดินที่ตรงข้าม น้ำ - ไฟ แล้วก็มีทดสอบสุภาษิตว่าหมายความว่ายังไง ซึ่งเรามาพลาดอันสุดท้าย ขี่ช้างจับตั๊กแตน นึกไม่ออกจริงๆอ่ะตอนนั้น = = (ตอนนั้นก็แอบคิดนะตรูเครียดตรูเหนื่อยทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ)

    สรุป.. หมอคิดว่าเราน่าจะเป็นโรคซึมเศร้าสะสมจนมันรุนแรง เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาของเราเอง มันทำให้เราเบื่อไปทุกอย่างของชีวิต โรคซึมเศร้าก็คือการผิดปกติของสารเคมีในสมอง.. บลาาๆๆ (ไปหาอ่านใน goo... กันเองนะ) ซึ่งเราก็พอรู้มาอยู่บ้างแล้วจากการรักษาสมาธิสั้นเมื่อนานมาแล้วที่โรงพยาบาลอื่น หมอขอให้เราลองกินยาตามที่หมอสั่ง โดยเป็นยาต้านเศร้าแหละขอไม่บอกชื่อนะ กินตอนเช้าหลังอาหารเช้า 1 เม็ด และยาคลายเครียดก่อนนอน 1 เม็ด เนื่องจากเราหลับไม่สนิทกลางคืน และนัดพบกันใหม่ในอีก 2 อาทิตย์ เราเดินออกมารับใบนัด ลงไปจ่ายเงินค่ายาและรับยา นั่งรถกลับบ้าน บอกเลยว่ายาไม่แพงอย่างที่คิดจนแอบคิดเหมือนกันว่าคุ้มกับค่ารถเปล่าวะ ระหว่างทางเราเอาแต่คิดในใจว่าเราเป็นซึมเศร้าจริงๆหรือแค่เรียกร้องความสนใจ จนจะลงป้ายรถเมล์เราตัดสินใจหยุดคิดหาคำตอบไปก่อน พาถึงบ้านก็ทำเหมือนปกติ ก่อนนอนเลยซัดยาคลายเครียดไป 1 เม็ดพร้อมกับยาลดไขมันที่หมอรักษาความดันสูงให้เรากิน ก่อนนอนเราเลยเริ่มเขียนบันทึกเพื่อเตือนตัวเอง

    เช้าวันที่ 19 ตุลาคม 2560 เราต้องตื่นขึ้นมาเพื่อไปทำงาน ปกติถ้าไม่ต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนเราจะตื่นตีห้าสี่สิบห้าเพื่อไปขึ้นรถเมล์ให้ทันตอนหกโมงเช้า เพื่อหลีกหนีรถติด เป็นคืนแรกที่เรารู้สึกได้นอนเยอะหลังจากที่ไม่ได้นอนหลับสนิทเป็นเวลานาน เราไปทำงานโดยมีความรู้สึกว่าไม่รีบก็ได้วะ รถเมล์จะมากี่โมงก็ช่างมัน ถ้าเป็นตัวเราเมื่อก่อนคงประมาณ ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีกและคงร้องเรียนไปแล้ว เรากินยาช่วงเช้า 08.30 - 09.00 น. พร้อมกับยาลดความดัน ที่เราเป็นความดันสูงอยู่แล้ว รวมทั้งหมดสามเม็ดตอนเช้า เราทำงานด้วยอารมณ์เฉยๆไม่ได้แคร์คนอื่นอย่างที่เคยเป็น ไม่ได้คิดว่าต้องบริการให้ดีหรือต้องเต็มที่ที่สุด เราทำเพราะมันเป็นงานของเราแค่นั้น แต่ฤิทธิ์ของยาต้านเศร้ามันทำให้เราเวียนหัว คลื่นไส้ และทำให้เราคิดอะไรได้ยากมากขึ้น จนบางครั้งเราถึงกับเดินเซ แต่ก็ผ่านมันมาได้และเราไม่รู้สึกแปลก เพราะตอนรักษาสมาธิสั้นก็มีตัวยาที่มีเอฟเฟคแบบนี้ เมื่อเลิกงานตรงเวลาเป๊ะเราก็แวะตัดผมที่ร้าน เราเอาแต่นั่งมองกระจกแต่ไม่มีความคิดอะไรเกิดขึ้น จนช่างตัดผมเราเสร็จ ถึงบ้านก็สระผมแล้วถามลูกว่าอยากกินพิซซ่าไหม ซึ่งลูกเราตอบทันทีไปค่ะ (ลูกเราติดเที่ยว) ทุกอย่างดูเฉยๆไปหมด เราคิดน้อยลงมาก โดยเฉพาะเรื่องของคนอื่น เราไม่รู้ว่าลูกชอบกินพิซซ่าจริงๆหรือเปล่าหรือแค่อยากออกมาเที่ยว หลังจากกินเสร็จ ก็พาลูกกลับบ้านมาอาบน้ำ เข้านอนตามปกติ

    //ผมดีใจนะที่คนเข้ามาอ่าน อย่างที่บอกมันก็แค่ไดอารี่ ใครอ่านแล้วมีความเห็นอย่างไรหรืออยากถามอะไรพิมพ์บอกกันบ้างก็ได้นะครับ ขอบคุณที่เสียเวลาเข้ามาอ่านขอบคุณครับ

    //ปล. นี่คือบันทึกที่เราเขียนไว้แล้วเอามาเล่าให้ทุกคนอ่านครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in