เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อวันที่ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (Depression Diary)Tongg Pongsathorn
ซึมเศร้า Diary (4) เมื่อซึมเศร้าไม่ซึมซ่าส์เหมือนละคร
  • ก่อนอื่นต้องบอกก่อนที่เราเขียนทั้งหมดมันเป็นไดอารี่ บันทึกความทรงจำ ที่เราจดไว้หรือจำเอาไว้ มันอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่คือความรู้สึกจริงของเราทั้งหมด เราไม่ได้หวังอะไรมาก เพียงแค่อยากให้ทุกคนเข้าใจต่อคนที่เป็นซึมเศร้าอย่างเรา อย่างที่บอกซึมเศร้ามีลักษณะหลายอย่าง เราเป็นเพียงแค่เคสหนึ่งเท่านั้นเอง ใครที่ป่วยก็อยากให้ช่วยแชร์ประสบการณ์ หรือคนที่ไม่ได้ป่วยก็สามารถให้กำลังใจกับคนที่ป่วยได้เพื่อที่เราจะได้อยู่ร่วมไปด้วยกันได้ครับ สุดท้ายขอบคุณทุกคนที่เสียเวลาเข้ามาอ่าน ถูกใจไม่ถูกใจผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

    เช้าวันที่ 18 ตุลาคม 2560 เราตื่นตามปกติ ไม่ได้ไปส่งลูกที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลเพราะอยู่ในช่วงปิดเทอม เราลางานเต็มวันเพื่อจะไปพบหมอช่วงบ่ายโมง สิบเอ็ดโมงเราต้องแกะ แงะลูกสาวที่ร้องตามจะไปด้วยเพราะคิดว่าเราจะไปเที่ยว ทำให้เราเสียใจเล็กน้อยที่ต้องทิ้งลูกไปพบหมอ โชคดีที่มีสายรถเมล์จากหน้าหมู่บ้านเราไปถึงหน้าโรงพยาบาลพอดีจึงเสียเงินค่ารถไม่มาก เราไปถึงประมาณเที่ยงเลยแวะไปกินข้าวหน้าเป็ดและเดินตรงไปที่แผนกจิตเวชพร้อมวางบัตรผู้ป่วยช่วงเที่ยงครึ่ง เพราะหมอนัดบ่ายโมง ตอนแรกพยาบาลบอกว่าเราจะต้องนัดล่วงหน้า แต่เราบอกว่าเรานัดแล้วหมอโทรมาบอกว่าขออัดวีดีโอ พยาบาลก็เลยหาข้อมูลก็ไปพบว่าแปะอยู่ที่บอร์ดข้างหลัง จากนั้นก็รอพยาบาลเรียกวัดความดัน น้ำหนัก แล้วนั่งรอ นั่งซักพักพยาบาลจะให้เอกสารมาเขียนประมาณ 2-3 หน้า เป็นการกรอกประวัติส่วนตัว ประวัติครอบครัว ประวัติการป่วย และเหตุผลที่มารักษา เหตุผลมันจะอยู่หน้าแรกเลยเราเลือกที่จะข้ามไปก่อน จนกลับมาก่อนเรานั่งคิดซักครู่ว่าเรามีปัญหาอะไร เพราะเราไม่รู้จะเขียนอะไร โดยสุดท้ายเราก็เขียนไปว่า

    "ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่รู้ว่ามีชีวิตไปเพื่ออะไร เบื่อกับทุกสิ่ง ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่มีความสุข ไม่มีสิ่งที่สนใจและสิ่งที่ชอบ เหนื่อยมากกับชีวิต"

    สิ่งที่เราเขียนมันอาจจะวนไปวนมาแต่ตอนนั้นเราคิดได้แค่นั้นจริงๆ เราเดินไปที่ส่งพยาบาลแบบมึนๆ เพราะเราไม่เคยต้องมาเขียนความในใจอะไรแบบนี้ พยาบาลให้เราไปรอหมอที่ห้องที่ต้องเตรียมอัดวีดีโอ ที่โรงพยาบาลมีห้องพบแพทย์ประมาณ 20 กว่าห้องได้ และมีคนไข้ตลอดเวลามีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ คนพิเศษ ระหว่างที่เรานั่งรอเพื่อที่จะพบหมอเราคิดตลอดเวลาว่าเราจะคุยกับหมอยังไง เราไม่เคยคุยกับใครได้นานเลย และนี่เป็นการคุยแบบที่เราต้องเปิดใจด้วย ก็เลยเป็นกังวล เรานั่งรอจนถึงประมาณบ่ายสอง เป็นหมอผู้หญิงตัวเล็กๆใส่แว่นเดินมาแนะนำตัวเอง และบอกว่าจะเป็นหมอที่มารักษาเรา โดยหมอให้เราลงชื่อใบยินยอมให้บันทึกภาพ และหากเราขอให้หยุดหรือยกเลิกก็สามารถบอกได้ บอกตรงๆเราไม่ได้ลังเลอะไรที่จะลงชื่อเลยแม้แต่นิด เราทำเพื่อที่จะได้จบๆไป

    เราเข้าไปห้องตรวจโดยมีหมอนั่งอยู่ข้างหน้าเราและมีกล้องอยู่ข้างหลัง เรานั่งเอนพิงหลังเล็กน้อยด้วยความประหม่า เหมือนไม่มีอะไรจะเสียที่จะต้องตอบคำถาม หมอถามเราว่าทำไมถึงมา เราก็บอกไปว่าเราไม่มีอะไรที่สนใจ ไม่มีเป้าหมาย เบื่อทุกอย่าง จากนั้นหมอก็ถามถึงครอบครัวตั้งแต่เด็ก เราบอกว่าตอนเด็กเราอยู่คนเดียวเพราะพ่อแม่ต้องทำงาน เราเล่นอยู่คนเดียวในห้อง โตมาหน่อยก็เล่นเกมในห้องคนเดียว พอมัธยมต้นเราก็มีเพื่อนแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนผู้หญิงเพราะเราอยู่ห้องแรกๆ จนมัธยมปลายเพื่อนผู้ชายก็ทยอยไปเรียนที่อื่น เรามีเพื่อนผู้ชายใหม่แต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากมายนัก จนจบมัธยมปลายก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก พอเข้าช่วงมหาวิทยาลัยเรามีเพื่อนน้อยมาก เพราะพ่อเราประสบอุบัติเหตุโดนรถชนเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวหลายเดือน ด้วยความเป็นห่วงพ่อของเรา วันไหนเลิกเรียนเร็วเราก็จะนังรถจากมหาวิยาลัยย่านรังสิตมาที่โรงพยาบาลย่านสามเสน และสลับเสาร์ อาทิตย์ เพื่อให้แม่ได้กลับบ้านไปพักผ่อนบ้าง เราจึงมีปัญหากับรุ่นพี่และเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเพราะเราไม่เข้ารับน้อง จนเรามีปัญหากับรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งเราก็พยายามอธิบายให้เพื่อนบัดดี้ที่เลขที่ติดกันเข้าใจและขอโทษที่ทำให้เขาเดือดร้อน เราเคยโดนดักเพื่อที่จะโดนบังคับให้เข้าร้องเพลงเชียร์ แต่เราไม่ต้องการ ซึ่งตั้งแต่นั้นมาเราก็เป็นแกะดำของรุ่น และต้องคอยดูการเขม่นจากรุ่นพี่มาตลอด เมื่อจบมาเราก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยอีกเนื่องจากเราเกรงใจที่จะคุยกับเขา เราแอดเฟรนด์เพื่อนต้องแต่ประถม มัธยม มหาวิทยาลัยนะแต่เราไม่เคยได้เข้าไปคุยหรือทักเขาหรอก อย่างมากก็แค่กดไลค์รูปที่โผล่มาตอนเปิดแอพเฟสบุ๊คบนๆ หมอถามถึงครอบครัว เราก็บอกว่าเรามีแฟนแต่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน มีลูกสาวหนึ่งคน ซึ่งจะโดนเราดุและตวาดทุกครั้งที่ดื้อหรือไม่ได้ดั่งใจเรา ซึ่งเราไม่อยากทำแบบนี้กับลูก แต่เราควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็จะตวาดใส่ลูกอัตโนมัติจนลูกผวา สุดท้ายตัวเราเองก็มาเสียใจกับสิ่งที่ทำไป และนี่เป็นเหตุผลที่แฟนขอให้เราไปหาหมอด้วย ส่วนทางครอบครัวเราไม่คุยกับแม่เป็นปีเนื่องจากเราไม่ชอบที่แม่พูดคำหยาบใส่เราและเอาเรื่องในบ้านไปพูดให้คนอื่นฟัง เราเลยตัดสินใจที่จะแยกออกมาอยู่ที่ห้องคนเดียว หมอให้เราพูดถึงตัวเอง เรานึกซักครู่ แล้วตอบไปว่า อะไรก็ได้ ไม่รู้จริงๆ หมอถามถึงการนอน ซึ่งเราเป็นคนที่หลับไม่สนิทมานานมากไม่เคยได้นอนติดกันนานๆ เป็นแบบทุกสองชั่วโมงตื่นที จนสุดท้ายเราตื่นได้ก่อนที่นาฬิกาจะปลุกได้ทุกวัน เราไม่อยากตื่นขึ้นมาตอนเช้า หมอก็ถามว่าแล้วทำไมถึงลุก เราก็บอกหมอว่าเพราะจำเป็นต้องลุก หมอถามว่าเราเคยคิดฆ่าตัวตายไหม เราบอกทันทีเลยว่าเราเคยคิดจะโดดตึกที่ทำงานเพราะเป็นดาดฟ้า สุดท้ายเราก็ไม่ได้โดดเพราะ รปภ. มาเห็นก่อน(จะตายยังซวยมีคนมาเห็น) หมอถามต่อหลังจากนั้นมีอะไรที่ทำให้หยุดคิด เราบอกหมอไปว่า "ลูก" ทำให้เราคิดว่าเพราะเรื่องแค่นี้ถึงต้องตายเลยเหรอวะ สุดท้ายหมอถามว่าที่มาหาหมออยากให้หมอช่วยอะไร เรานั่งคิดประมาณสิบวินาที (เรานับจากเสียงนาฬิกาข้อมือของหมอ) บอกไปด้วยเสียงสั่นๆ "ต้องทำยังไงถึงจัดการกับความคิดพวกนี้ได้ครับหมอ".....

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in