เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อวันที่ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (Depression Diary)Tongg Pongsathorn
ซึมเศร้า Diary (13) โลกความฝันกับโลกความจริง
  • 12 ม.ค. 2561
    ทั้งที่อากาศยังเย็นๆ เรากับแฟนยังตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวเพื่อหนีลูกไปโรงพยาบาลเช่นเดิม ไปถึงโรงพยาบาลก็เข้าไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อและทานมื้อเล็กๆกันที่นั่งที่มีให้ที่หน้าร้าน เสร็จก็เดินขึ้นไปที่ตึกวางบัตรนัด รอเรียกวัดความดันและชั่งน้ำหนัก (ซึ่งบางทีก็อาจจะชั่งน้ำหนักก่อนวัดความดัน) แล้วก็เอาบัตรนัดไปวางเพื่อรอพยาบาลเรียกว่าให้ไปนั่งหน้าห้องไหน คราวนี้ได้นั่งหน้าห้อง 12.1 คิวที่ 3 รอจนหมอเรียก แต่คราวนี้หมอให้แฟนนั่งรอหน้าห้องก่อน เราก็เข้าไปนั่งแล้วหมอก็ถามเหมือนเดิม เป็นอย่างไรบ้างสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เราบอกหมอไม่ลังเลว่าเราหงุดหงิดมากขึ้น และยังไม่ได้รู้สึกมีความสุขมากขึ้นแต่ไปได้เรื่อยๆ หมอถามเราว่าหงุดหงิดแบบไหน เราบอกว่าถ้าไม่ชอบคือไม่ชอบเลย เช่นเราเห็นลูกเล็บยาวมาสองอาทิตย์ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรยอมให้ตัดโดยดี แต่ครั้งนี้ใครจะตัดให้ก็ไม่ยอมให้ตัด เราเลยจับล็อคแล้วตัดเล็บลูก ลูกก็งอแงกัดแขนเราจนเราตวาด พร้อมโชว์รอยที่แขนให้หมอดู หมอถามย้ำทำไมต้องบังคับไม่มีวิธีอื่นที่ดีแล้วเหรอ เราบอกหมอว่าก็เราทนไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ลูกเล็บยาวไปโรงเรียนแล้วไปข่วนลูกคนอื่นคงไม่ดีหรือเปล่า หมอย้ำอีกทีว่าเด็กยังอายุแค่สามขวบคงยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัดเล็บหรือเปล่า หมอถามเรื่องลูกต่อว่ารู้สึกรักเขาไหม เรายังบอกเหมือนเดิมว่าเรายังไม่แน่ใจ ตอนไปดูปลาที่ห้างดังห้างนึงก็ดูชอบและสนุกดี แต่เรารู้สึกห่างกับลูกมากขึ้นเพราะลูกไปติดน้องสาวกับแฟนน้องมากกว่า ขนาดนอนยังไปนอนกับน้องสาวเราเลยหมอถามคิดว่าเป็นเพราะอะไร เราบอกว่าเป็นเพราะเราไม่เล่นกับลูก ลูกอาจไม่สนุกถ้าเล่นกับเรา เราเคยลองแล้วและเป็นเราเองที่เบื่อจะเล่นกับลูก หมอถามว่าเคยถามน้องสาวไหมว่าทำยังไงถึงลูกเราถึงติด เราไม่เคยถาม เราบอกว่าเราอาจมีเวลาน้อยไปกับลูก น้องเรากับแฟนเขาตามใจมากกว่าเรา เหมือนเวลาที่แฟนมาบ้านลูกก็เข้าไปเล่นกับแฟนมาก บางทีเราก็แอบคิดเวลาที่ลูกของเราอยู่น้องสาวและแฟนน้องว่าน่าจะเป็นลูกของสองคนนี้เนอะ เรากลับถึงบ้านก็ถึงเวลาที่เด็กใกล้เข้านอนแล้วและตัวเราเองที่ไม่พร้อมที่จะเล่นกับลูกเพราะเราเหนื่อยมากับที่ทำงาน 

    เราคิดว่าเราไร้คุณค่าและกำลังทำให้หลายๆคนรอบตัวเราเดือดร้อนเพราะเราทำได้แค่นี้ หมอบอกว่าไม่จริงหรอกเรายังทำได้มากกว่านี้อีก หมอเห็นความพยายามในการดูแลลูกของเราซึ่งคนอื่นอาจไม่เล็งเห็นปัญหาเลย อย่างเช่นเราห่วงเขาเรื่องเล็บเรื่องเช็ดหู หมอถามต่อว่าเราทำให้ใครเดือดร้อน เราบอกทุกๆคนที่อยู่รอบตัวเรา กระทั่งแฟนเราต้องมาเป็นห่วงเราเพราะแม่เราโทรให้แฟนฟัง เรารู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางคนมากมายแบบบอกไม่ถูก ทุกคนเดินผ่านไปแต่มีแค่เราที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงที่ลงมา เราบอกหมอสั้นๆว่าเราเหนื่อยพร้อมน้ำตาก็ไหลออกมาเอง

    หมอถามว่ามีเรื่องอะไรอยากให้หมอบอกแฟนให้ไหม เราบอกว่าอยากให้แฟนกลับมาอยู่บ้านเพื่อที่จะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่หมอบอกว่าครอบครัวที่สมบูรณ์ อาจไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกวันก็ได้ หมอถามถึงปัญหาครอบครัว เราบอกเลยเรื่องแรกคือแม่ที่เข้ากับเราไม่ได้ เรื่องที่สองคือเรื่องซื้อรถและการขับรถ ก่อนหน้านี้ครอบครัวว่าเรานักหนาเมื่อไหร่จะไปสอบใบขับขี่ ว่ากระทั่งต่อหน้าคนอื่น ตอนนี้เราได้ใบขับขี่มาแล้วเลยลองพาขับไปเยี่ยมญาติ แต่ไม่ยอมให้เราขับกลับ หรืออย่างขับพาไปกินข้าว เพราะไม่พอใจที่ขับขึ้นทางด่วนตอนไปเยี่ยมญาติ จนเราหงุดหงิดเลยหาข้อมูลที่จะซื้อรถมาขับ แต่ติดที่เงินและความจำเป็นที่เราจะต้องใช้รถ เรื่องเงินยังพอหาทางไปได้แต่ความจำเป็นจริงๆคือเราแค่อยากขับรถไปส่งลูกและรีบไปทำงานเพื่อจะได้รีบกลับบ้าน อีกหน่อยอาจให้แฟนหรือน้องทำขนมขายแล้วใช้รถไปส่งของ ขับพาแฟนกลับบ้านที่ชะอำเพื่อถือโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง ทุกวันนี้เรารู้สึกรบกวนพ่อ พ่อเราอายุเกินหกสิบแล้วต้องใส่ขาเทียมตอนเช้าเพื่อขับรถไปส่งลูกเราและจอดส่งเราเพื่อรอขึ้นรถเมล์ไปทำงาน เรานึกถึงวันที่ฝนตกและวันที่อากาศเย็นมากๆ แล้วเราต้องมารอนั่งรถเมล์ มาเถียงกันรุ่นนั้นดี ยี่ห้อนี้ดี หมอถามว่าพ่อเคยบอกว่าลำบากเหรอจริงๆแล้วอาจเป็นความสุขของเขาก็ได้ เราบอกหมอว่าเราไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าเป็นภาระ ทุกวันนี้เรายังฝังอยู่ในหูที่แม่ว่าเราไม่ดูแลลูกด้วยตัวเอง ให้ดูให้เพราะเป็นปู่ย่าอาเหรอ หมอถามกลับแล้วมันจริงไหม? มันก็คือความจริงแหละเพราะว่าเราป่วยโดยที่ที่บ้านไม่รู้มานานจนดูแลลูกคนเดียวไม่ไหว หมอบอกครอบครัวที่สมบูรณ์หรือสิ่งที่เราคิดอาจไม่ได้เป็นโลกความฝันก็ได้ หมอก็ยังคิดว่าการมีรถอาจเป็นภาระสำหรับเราและมันอาจเป็นโลกความจริงที่อาจเต็มไปด้วยความลำบากก็เป็นได้ 

    ก่อนหมอสั่งยาหมอบอกว่าจะเพิ่มขนาดยาให้ เราเลยถามว่ามียาที่ดีกว่านี้ไหม เพราะตัวเดิมเรากินแล้วเรานิ่งแต่เศร้ามาก ตัวใหม่เราหงุดหงิดขึ้น เราบอกหมอว่าเราเบิกค่ารักษาได้หมอมีตัวอื่นไหม หมอบอกให้กินตัวเดิมไปก่อนครั้งหน้าไม่ดีขึ้นหมอจะเปลี่ยนยาให้ แล้วให้แฟนเราเข้ามาให้เราไปรอข้างนอก คุยกันซักพักก็เรียกเราเข้าไปใหม่ว่าจะเปลี่ยนยาใหม่แต่อาจมีผลข้างเคียง เลยให้ยากันชักมาด้วย และขอให้มาอีกทีอาทิตย์หน้าเพื่อเจาะเลือดดูค่าของยาที่อยู่ในเลือด ซึ่งเราก็โอเค ตอนแรกว่าจะไปทำงานต่อเลยตัดสินใจพาแฟนไปกินข้าวดูหนัง และไปรับลูกพร้อมกันซึ่งลูกดูจะร่าเริงเป็นพิเศษที่เห็นแม่มารับพร้อมปิดด้วยไปกินพิซซ่าที่ลูกชอบด้วยกัน..

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in