เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อวันที่ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (Depression Diary)Tongg Pongsathorn
ซึมเศร้า Diary (10) ว่างเปล่า
  • 15 ธันวาคม 2560 วันที่หมอนัดเพื่อติดตามอาการโรคซึมเศร้าของเรา เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ 06.00 น. รีบปิดเสียง ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวแอบลูกออกมาจากบ้าน นั่งรถเมล์ไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 07.30 น. แวะ 7 ในโรงพยายาล ซื้อขนมจีบ 1 ไม้ ไส้กรอกฟุตลอง 1 อัน น้ำเปล่า 1 ขวด แล้วออกมากินที่เก้าอี้ตรงหน้า 7 นั่นแหละ กินไส้กรอกฟุตลองไปไม่กินกี่คำก็เริ่มเบื่อ ก็เลยเปลี่ยนไปกินขนมจีบกินได้ 3 ลูกเลยพอละ เบื่อ เลยดื่มน้ำเปล่า 08.00 น. ทิ้งขยะแล้วเดินไปยังแผนกจิตเวชผู้ป่วยนอก วางบัตรคิวรอเรียกชั่งน้ำหนักวัดความดัน ความดันเราปกติดี น้ำหนัก 60.9 กิโลกรัมเท่าที่แอบดูแล้วไปวางบัตรนัดตรงจุดที่ 2 พร้อมขอใบรับรองแพทย์โดยการปั๊มตราประทับไว้ที่บัตรนัด นั่งรอซักพักพยาบาลก็จะบอกเราว่าให้ไปนั่งรอที่หน้าห้องเบอร์ไหน คิวที่เท่าไหร่ วันนี้เราเฟลเล็กน้อย ปกติเราจะได้คิวแรก แต่วันนี้เราได้คิวที่ 2 หมอยังมาตรงเวลาเหมือเดิม 08.30 น. และเริ่มเรียกคนไข้คนแรก ระหว่างที่รอเราคิดอยู่ในหัวตลอดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราบ้างเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา หมอใช้เวลากับเคสแรกนานนิดหน่อย

    เราได้เข้าไป 9 โมงกว่าๆ หมอถามว่าเป็นยังไงบ้าง จริงๆในใจเราที่มาครั้งที่แล้วเราอยู่ที่ 20-30 % ครั้งนี้เราคิดว่ามันเพิ่มมานิดเดียวคือ 25-30% เลยบอกหมอไปว่าก็รู้สึกเหมือนเดิม เรารู้สึกพูดมากกว่าปกติ เราคุยเล่นแซวเล่นกับพนักงาน 7 พนักงานขายไอติม เราไม่แคร์อะไรเลยเราบอกหมอเราไม่กลัวตายเลยด้วยซ้ำ หมอถามว่าคิดวางแผนฆ่าตัวตายไหม/ยังไง  เราบอกหมอว่าเราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นการวางแผนหรือเปล่า แต่เราเดินข้ามถนนโดยที่เราไม่ดูรถเลยด้วยซ้ำ เราคิดว่าเราไม่ผิดเพราะตามกฏหมายบอกว่าคนขับรถต้องให้คนเดินข้ามถนนก่อน (จริงๆคือเราคิดฆ่าตัวตายแหละแต่เราคิดว่าเราไม่บาป) พอเราบอกเรื่องนี้ให้พี่ที่สนิทที่สำนักงานฟังเขาเลยมาส่งเราทุกวันเพราะกลัวเราหายไป เราคุยกับเขาทุกอย่าง ระบายให้ฟังทุกอย่าง เขาเป็นคนดีมากนะสำหรับเรา หมอถามอีกครั้งว่าดีขึ้นบ้างไหม เราบอกกับลูกก็ดีขึ้นลูกเข้าใกล้เรามากขึ้น กลัวเราน้อยลง เรามีความสุขตอนที่ลูกอยู่กับเรานะ แต่มันก็หายไปเร็วเหมือนกันเราไม่อินต่อจากนั้นจบแค่นั้น  มีวันนึงเราบอกกับแฟนเลยว่าถ้าไม่ไหวกับเราไปก็ได้นะ จนแฟนเข้ามากอดเรา น้ำตาเราไหลออกมาเอง หมอถามว่ารู้สึกยังไงตอนนั้น เราบอกว่าดีใจ อบอุ่น แต่หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆหายไป  เราน้ำตาไหลออกมา เราบอกหมอว่าเรายังเหนื่อยกับทุกวัน  เราอยากยอมแพ้แล้ว เราไม่อยากไปทำงาน เราคิดว่าจริงๆแล้วเราอาจจะแค่ขี้เกียจและเห็นแก่ตัวก็ได้  เราบอกว่าไม่อยากไปทำงานบรรยากาศแบบนั้น 

    หมอถามเราว่าอะไรเป็นสิ่งที่ติดในใจ เราบอกเพราะ Boss หมอถามถึง Boss ว่าเป็นคนยังไง เราบอกไป... เราไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงทนเขาอยู่ได้แต่เราทนเขาไม่ได้กับพฤติกรรมของเขา เราโกรธเขาตั้งแต่เขาไม่ให้เราผ่านทดลองงาน โดยที่ไม่มีเหตุผล เราบอกหมอว่าเราก็สู้โดยที่เราบอกกับฝ่ายบุคคลว่าเราไม่ยอม หมอถามปัญหาว่าทำไมถึงเป็นจุดให้เกลียด เราบอกไปว่าเพราะเราต้องการเงินตกเบิกมาเป็นค่าคลอดลูก ซึ่งถ้าไม่ผ่านทดลองงานเงินตกเบิกที่ได้ก็จะช้าไปอีก เราสู้โดยบอกกับฝ่ายบุคคลว่าเราไม่ยอมจนมีการตั้งกรรมการสอบ โดยกรรมการได้ทำหนังสือถามถึง Boss แต่เขาไม่ตอบและเลือกที่ไปคุยกรรมการด้วยวาจา จนสุดท้าย จนเวลาผ่านมาเป็นเดือนกรรมการขอให้เรายอมทดลองต่ออีกสองเดือน โดยให้ทำผลงานส่งเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นหลักฐาน ซึ่งตอนนั้นจริงๆแล้วตอนนั้นเท่ากับว่าเราต้องทดลองงานอีกประมาณเดือนนึงเราเลยยอมๆไป แล้วก็ผ่านมาได้ แต่ความรู้สึกเราก็ติดลบอยู่ดี เรารู้ถึงความคิดหรือมุมมมองที่เขาติดลบกับเรา เขาเป็นคนประเภทที่เราเกลียดที่สุด หมอให้กำลังใจเรา และบอกว่าคุณก็ยังสู้ผ่านมาได้ตั้งเยอะแยะเลย ตอนนี้คุณก็น่าลองสู้ต่อสิ เขาไล่คุณออกไม่ได้หรอก การที่เราได้ผลตอบแทนน้อยไม่ได้เป็นเพราะปัญหาที่ตัวเรา อาจเป็นเพราะเขาไม่ดีพอก็ได้ เราบอกหมอตรงๆว่าครั้งนี้ที่เราขอใบรับรองแพทย์เพราะเราจะลาออกจากงานแล้ว โดยเล่นงานเขาผ่านใบลาออก ซึ่งไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า หมอถามถึงความพร้อมหลังลาออกว่าเรามีแผนอย่างไร เราบอกไม่มีเลย ปรึกษาครอบครัวหรือยัง ยังไม่ได้ปรึกษาครับ คงจะหางานอะไรก็ได้ที่เร็วที่สุด อาจจะโยนโปรไฟล์ผ่านเว็บแล้วไปทำอะไรก็ได้ไปก่อน

    หมอเตือนสติเราอีกครั้ง นึกให้ดีๆว่าก่อนหน้านี้เราทนมาได้ยังไง เราบอกหมอว่าไม่รู้ หมอบอกให้เราคิดดีๆอีกครั้ง เราตอบไปว่าไม่อยากใส่อารมณ์กับลูกครับ หมอถามต่อแล้วที่ทนทำงานตอนนี้ล่ะ เราตอบว่าเพื่อลูกครับ หมอบอกว่านั่นไงคุณมีเป้าหมายแล้วเห็นไหม ทุกอย่างเป็นอาการของโรคซึมเศร้าที่ทำให้เราคิดเรื่องแบบนั้น หมอขอให้เราตั้งสติให้ดีก่อน คิดให้รอบคอบเรื่องออกจากงาน  ถ้าหากออกไปแล้วไม่ดีอย่างที่คิดไว้เราต้องยอมรับอีกทีนึงนะ หมอไม่ได้ห้าม หมอถามว่าคิดว่าลูกเรารักเราไหม เราน้ำตาไหลอีกครั้งบอกไปว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่ลูกเคยมากอดแล้วบอกว่ารักพ่อ ก่อนคืนไปหาหมอเราเผลองีบหลับเพราะความเหนื่อยและง่วงมาก โดยปกติลูกเราเป็นเด็กเข้านอนยากมากแต่วันนั้นเขามองเราหลายทีเหมือนรู้ว่าเราจะไม่ไหวและยอมเข้านอนแบบง่ายๆ หมอบอกว่าหมอเชื่อว่าลูกรักเราจริง คำพูดของเด็กเขาไม่โกหกเราหรอก หมอเชื่อในลูกของเราและขอให้เราเชื่อเหมือนกัน ขอให้เราเริ่มที่ลูกก่อนก็ยังดี และสู้ไปพร้อมกับหมอ หมอเปลี่ยนยาต้านเศร้าและยานอนหลับและนัดเจอกันใหม่อีกสองอาทิตย์ เราเดินลงมาจ่ายเงินรับยาแล้วออกจากโรงพยาบาลเพื่อมาทำงานในช่วงบ่ายตามปกติ...

    ครั้งนี้ก็ต้องขอบคุณหมอที่พยายามเข้าใจเรา และพยายามผลักดันเราจากทะเลที่เรากำลังจะจมลงไปเรื่อยๆ อีกสองอาทิตย์ข้างหน้าเราไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน แต่วันนี้เราได้คำนึงในหัวที่จำได้จากซีรีย์ผ่านแอพไลน์ทีวี ตอนจบของบูได้บอกไว้ว่า "ช่างแม่ง"

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
january jay (@jargon)
อ่านมาจนถึงตอนนี้ เห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น อ่านไปก็ดีใจไปด้วยเลยค่ะ โชคดีนะคะที่ได้เจอคุณหมอ รวมไปถึงแฟนของคุณที่เข้าอกเข้าใจ จะตามอ่านไปเรื่อยๆนะคะ หวังว่าจะดีขึ้นๆ จนหายดีในวันหนึ่ง ขอบคุณที่แบ่งปัน แล้วก็ไม่ต้องคิดว่าจะทำให้ผู้อ่านรำคาน หรือ ไม่ชอบใจอะไรเลยนะ เราว่าไม่มีใครรำคานหรอค่ะ เป็นกำลังใจนะคะ
ตามอ่านเสมอนะครับ เป็นกำลังใจให้เช่นกันครับ
Biez Wj (@fb1021471511348)
ก้าวต่อไปนะครับ เป็นกำลังใจให้นะ