2019 FICTOBER
วาสนาชี้นำ พันลี้ยังพานพบ
ป๋อจ้าน
1. เสื้อคลุม
ณ ป่าโบราณอันเป็นเขตปกครองของเทพมังกรฟ้าปรากฎเพลิงไฟอันโชติช่วงย้อมผืนฟ้าเหนือดินแดนบูรพาทิศจนแดงฉาน ทั้งความร้อนและแรงโหมกระหน่ำของไฟกัลป์พล่าผลาญทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในบริเวณป่าแห่งนั้นจนมอดไหม้แม้นว่าเหล่าเซียนบริวารจะช่วยกันบันดาลฝนทิพย์เพื่อหยุดยั้งความรุนแรงของเพลิงไฟแล้วก็ตาม แต่เพราะไฟกัลป์ดังกล่าวเกิดจากความแค้นของสัตว์อสูรจากขุมนรก ฝนทิพย์อันเกิดจากตบะเซียนไม่กี่ร้อยปีจึงไม่สามารถหยุดยั้งความร้ายกาจของเพลิงไฟของสัตว์อสูรตนนี้ได้
“อสูรตนนั้นช่างอาจหาญนัก ลอบหนีออกจากที่คุมขังในขุมนรกเพื่อมาปั่นป่วนดินแดนในปกครองของข้า ดูท่าเรื่องเมื่อสามร้อยปีก่อนทำให้มันผูกใจเจ็บเสียจนความทุกข์ทรมานในขุมนรกมิอาจยับยั้งแรงอาฆาตนั้นได้”
เสียงทุ้มดังขึ้น โทนเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ท่านเทพมังกรฟ้าโปรดบัญชา” เซียนบริวารค้อมตัวน้อมรับบัญชาท่านเทพผู้ปกครองดินแดนตะวันออก เบื้องหน้าคือเทพผู้มากด้วยตบะนับหมื่นปี ใบหน้าคมเข้มมีประกายของความเยือกเย็นและเฉยชาอยู่เป็นนิจนั้นปรากฎร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวก่อนเลือนหายไปเพียงกระพริบตา
“ส่งกระเรียนแจ้งข่าวแก่เจ้าสมุทรแดนใต้ให้บันดาลฝนทิพย์ที่ดินแดนตะวันออกโดยเร็ว อาศัยบุญคุณเมื่อพันปีก่อนแจ้งแก่ท่านผู้นั้นว่าความช่วยเหลือนี้มิอาจบ่ายเบี่ยงอีกต่อไป ส่วนข้าย่อมต้องออกไปป้องกันการลุกลามของเพลิงไฟนั้นก่อนที่มันจะแผ่ขยายไปยังบึงมรกต อีกอย่างเจ้าจงแจ้งแก่เหล่าเซียนบริวารให้เน้นสกัดกั้นไฟอย่าได้คิดผลีพลามเด็ดขาด ไฟแค้นของอสูรมิใช่เซียนผู้น้อยคิดจัดการได้โดยง่าย”
เซียนบริวารค้อมตัวรับบัญชา ในขณะที่เทพมังกรฟ้ากล่าวจบก็คืนร่างจริงพุ่งออกทยานไปยังทิศที่เพลิงไฟกำลังลุกโหมนั้นอย่างรวดเร็ว
∙•・❀∙•・❀・•∙❀∙•・❀・•∙
ณ สุดปลายฟ้าปรากฎสีแดงฉานย้อมเวิ้งฟ้ายามเช้าที่สว่างสดใสให้ดูน่าหวาดหวั่น แก้วตาสุกสกาวของเทพหงสาที่สังเกตเห็นเหตุการณ์นั้นทั้งจับจ้องทั้งนึกฉงนในขณะที่ตนกำลังบินอยู่เหนือดินแดนทักษิณอันเป็นดินแดนในปกครองของตน ยามเช้าอันสดใสเช่นนี้เหตุใดจึงเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น ไม่นานภูติปักษาที่บินเข้ามาใกล้เพื่อคารวะเทพแห่งวิหคก็บอกกล่าวว่าทางบูรพาทิศเกิดเหตุสัตว์อสูรอาละวาดพ่นไฟกัลป์เผาทำลายป่าโบราณจนวอดวายไปกว่าครึ่งและบัดนี้เพลิงไฟกำลังลุกลามไปยังบึงมรกตอันเป็นสถานที่สำคัญของท่านเทพมังกรฟ้า
“สัตว์อสูรงั้นหรือ มุ่งหมายทำลายล้างบูรพาทิศเพียงนี้คงแค้นเทพมังกรฟ้ามากเป็นแน่”
“คงเป็นเช่นนั้น ท่านเทพหงสาโปรดเมตตาช่วยเหลือด้วยเถิด ”
“ข้ารึ ...ช่วย? นกตัวเล็กๆเช่นข้าช่วยอะไรได้ แต่เดิมบูรพาและทักษิณหรือแม้แต่ทิศใดก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ข้าไม่อยากสอดมือเข้าไปให้มากความ เทพมังกรฟ้าตบะแก่กล้านับหมื่นปี เพียงสัตว์อสูรมาปั่นป่วนแค่นี้จัดการลงทัณฑ์ไม่ได้ แล้วใครทำได้...เจ้าบอกแก่ข้าเถิด ”
ภูติปักษามองเทพหงสาด้วยความรู้สึกจนใจ เทพผู้ปกปักษ์ทิศทั้งสี่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันมานับหมื่นปี ต่างคนต่างดูแลดินแดนของตนเอง ไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องราวในแต่ละดินแดน
“แต่...ในป่าโบราณนั้นมีเหล่าภูติอื่นๆอีกมากมาย ทั้งที่ดวงจิตสลายไปเพราะเพลิงกัลป์ของสัตว์อสูรทั้งที่บาดเจ็บสูญเสียปราณบำเพ็ญก็มาก ท่านเทพ...หากท่านไม่เห็นแก่เซียนบริวารหรือท่านเทพมังกรฟ้าข้าขอให้ท่านเห็นแก่ภูติปักษาตนอื่นในดินแดนนั้นด้วยเถิด”
เทพหงสาถือกำเนิดมาจากไฟบำเพ็ญของเทพบรรพกาล ซึ่งต่างจากเหล่าเทพองค์อื่นที่กำเนิดจากดวงจิตอันมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรสั่งสมตบะและปราณเซียนจนเลื่อนขั้นเป็นเทพชั้นสูง เช่นนั้นดวงจิตของเทพหงสาจึงเย็นชาต่างจากปราณเซียนแกร่งกล้าที่ประกอบขึ้นมาจากไฟบำเพ็ญของเทพบรรพกาล เมื่อหลายพันปีผ่านไปเทพหงสาที่ถือกำเนิดจากไฟบำเพ็ญมีปราณแกร่งกล้าและถึงคราวที่เทพบรรพกาลต้องสลายดวงจิตคืนสู่ความว่างเปล่า ทิศใต้จึงปรากฎเทพชั้นสูงนามว่าเทพหงสาเป็นผู้ปกครองรวมทั้งเป็นเทพสูงสุดที่เหล่าปักษาทั่วอาณาจักรจำต้องเคารพ
นัยน์ตาสุกสกาวนั้นแวววาวขึ้นมาเมื่อตระหนักถึงสิ่งที่ตนมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบ
“แค่เหล่านกน้อยในบูรพาทิศเท่านั้นนะที่ข้าจะช่วย ”
ภูติปักษาตัวน้อยค้อมรับความเมตตาของเทพหงสาอย่างรู้สำนึกก่อนรีบโผบินนำทางไปยังบูรพาทิศ
∙•・❀∙•・❀・•∙❀∙•・❀・•∙
เพลิงไฟที่เผาผลาญลุกโหมกลืนกินบรรดาสรรพสิ่งจนมอดม้วย ความร้อนรุนแรงแผดเผาแม้กระทั่งธุลีที่ควรหลงเหลือได้สลายหายไปในกองไฟที่สูงเสียดฟ้า อาณาเขตของเพลิงไฟขยายออกเป็นวงกว้างกลืนกินเหล่าภูติและสิ่งมีชีวิตต่างๆที่หลบหนีไม่ทันจนสิ้น เสียงหวีดร้องอย่างตื่นตระหนกและเจ็บปวดดังเสียดเข้ามายังโสตประสาทก่อนบีบเค้นความรู้สึกของผู้ปกครองให้รู้สึกเสียใจปนคลั่งแค้นที่มิอาจช่วยเหลือเหล่าบริวารในปกครองของตน
เทพมังกรฟ้าร่ายอาคมเรียกฝนเวทย์เพื่อยับยั้งการลุกไหม้ของไฟอสูร ก่อนใช้ลำตัวของตนขวางทางเพลิงที่กำลังลุกลามไปยังบึงมรกตไว้โดยไม่ใส่ใจว่าเพลิงนั้นจะเผาไหม้เรือนกายตนมากเพียงใด ความร้อนจากไฟแค้นของสัตว์อสูรลามจากผิวกายด้านนอกแล้วแผดเผาลึกลงไปยังกระดูก เทพมังกรฟ้าคำรามจนผืนดินสะท้านผืนฟ้าสะเทือน ฝนทิพย์ที่ตกกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นพายุลูกใหญ่พัดม้วนเอาเพลิงไฟที่สูงเสียดฟ้าให้ล่าถอยให้ไกลจากบึงมรกต
เทพมังกรฟ้าร่ายอาคมอย่างต่อเนื่อง อาศัยทั้งปราณเซียนและตบะนับหมื่นปีที่ตนบำเพ็ญเพียรมาเรียกฝนทิพย์ให้ตกกระหน่ำลงมายับยั้งไฟอสูรโดยไม่เสียดายแม้นว่าร่างกายมังกรฟ้าของตนจะถูกเพลิงไฟแค้นของอสูรเผาผลาญก็ตาม เทพมังกรฟ้าก็ยังคงมุ่งมั่นใช้ปราณเซียนและตบะของตนเป็นปราการป้องกันไม่ให้ไฟแค้นนั้นลุกลามเข่นฆ่าเหล่าบริวารของตน
สัตว์อสูรเห็นไฟกัลป์ของตนถูกสกัดกั้นจึงยิ่งโกรธแค้น ทุ่มเทปราณอสูรจนไฟแค้นลุกโหมขึ้นมาอีกครั้งก่อนพุ่งตรงไปยังท่านเทพมังกรฟ้าที่ยังคงปักหลักปกป้องบึงมรกตไม่หนีถอยเพลิงแค้นที่พุ่งเข้ามาหมายทำลายล้างตน
ทันใดนั้นเสียงหวีดแหลมอย่างทรงอำนาจก็ปรากฎขึ้นจากทิศทักษิณ ปราณเซียนบริสุทธิ์ของเทพหงสาที่พุ่งเข้ามาพร้อมเสียงหวีดร้องอย่างน่าหวั่นเกรงนั้นตรงเข้าขวางคลื่นไฟอสูรที่กำลังโถมเข้าใส่ร่างของเทพมังกรฟ้าก่อนกลายสภาพเป็นม่านเพลิงแดงฉานโอบล้อมปกป้องเรือนกายของมังกรฟ้าจากภยันตรายของไฟแค้น
เทพมังกรฟ้าที่เตรียมรับการแผดเผาจากไฟแค้นของสัตว์อสูรเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึงก่อนหันศีรษะไปตามเสียงหวีดร้องอันน่าเกรงขามนั้น ทางทิศทักษิณปรากฎร่างของหงสาอันเป็นราชาแห่งวิหคพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ปีกสีขาวแซมด้วยสีชาดโบยบินอย่างสง่างามและน่ายำเกรง ปราณเซียนบริสุทธิ์แผ่กำจายครอบคลุมทั่วทั้งน่านฟ้าของดินแดนบูรพาทิศ
เทพหงสา...เทพที่ปกปักษ์ทิศทักษิณและยังเป็นราชาแห่งหมู่มวลวิหค
“สัตว์อสูรบังอาจขึ้นมาปั่นป่วนบูรพาทิศ . มิอาจให้อภัย!!!!” เทพหงสาตวาดลั่น
สัตว์อสูรคำรามตอบโต้อย่างไม่นึกเกรงกลัวต่อเทพหงสาก่อนเค้นปราณอาฆาตปลุกเพลิงไฟกัลป์ให้สูงเสียดฟ้าหมายทำลายเทพอีกองค์ที่สอดมือเข้ามาโดยไม่ตระหนักถึงความร้ายแรง
เทพมังกรฟ้าเห็นอันตรายที่พุ่งเข้าใกล้เทพหงสาจึงตัดสินใจรีบพุ่งตัวเข้าไปโดยใช้ร่างกายของตนอันเป็นมังกรฟ้ากำบังความร้ายกาจของเพลิงอสูร ลำตัวยาวของมังกรโอบรัดร่างของเทพหงสาแน่นเพื่อปกป้องอีกฝ่าย เทพมังกรฟ้าคำรามลั่นตวัดปลายหางอันทรงพลังตอบโต้สัตว์อสูรก่อนร่ายอาคมสะกดซึ่งเป็นเวทย์ลงทัณฑ์โบราณที่สืบทอดมาภายในเผ่ามังกรฟ้ากลายเป็นอาคมพิฆาตใช้ล่ามสัตว์อสูรเอาไว้ เวทย์แกร่งกล้าของเผ่ามังกรแผ่ขจายบันดาลให้ผืนดินเบื้องล่างแยกออกจากกันก่อนสูบเอาร่างของสัตว์อสูรที่ถูกอาคมของเทพมังกรฟ้าสะกดเอาไว้ให้กลับคืนสู่ดินแดนจองจำดังเดิม แต่ก่อนที่สัตว์อสูรจะถูกดูดกลืนไปยังดินแดนแห่งการจองจำมันได้ใช้ปราณอสูรสุดท้ายก่อเป็นเพลิงไฟมหึมา เทพหงสาเห็นดังนั้นจึงสะบัดปีกของตน ขนวิหคสีชาดที่หลุดออกมาจากการสะบัดถูกปราณเซียนบริสุทธิ์อาบไล้เพียงพริบตาเดียวก็เกิดแสงที่สว่างเจิดจ้าจนนัยน์ตาพร่างพราย ปีกวิหคสีชาดนั้นขยายใหญ่ขึ้นแล้วเปลี่ยนรูปเป็นเสื้อคลุมในขณะเดียวกันร่างจริงของเทพหงสาก็กลับคืนเป็นร่างของเทพเซียนผู้หนึ่ง
จนเมื่อร่างของสัตว์อสูรถูกผืนดินเบื้องล่างดูดกลืนไปทั้งหมด
เพลิงไฟสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความคับแค้นก็พุ่งเข้าปะทะเทพทั้งสอง
เทพหงสาในร่างเซียนใช้ปรานของตนบีบให้เทพมังกรฟ้าคืนร่างเป็นเซียนในไม่กี่อึดใจที่ก่อนเพลิงไฟของสัตว์อสูรจะพุ่งเข้ามาเผาทำลายร่างของเทพทั้งสอง ปีกวิหคสีชาดที่กลายเป็นเสื้อคลุมผืนหนึ่งพุ่งเข้ามาคลุมทับเรือนกายของทั้งคู่เอาไว้
ความร้ายกาจของเพลิงอาฆาตจากสัตว์อสูรเผาผลาญอย่างรุนแรง แต่ขนวิหคของเทพหงสาก่อกำเนิดมาจากไฟบำเพ็ญของเทพบรรพกาลย่อมมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งเพียงโต้กลับด้วยปราณเซียนบริสุทธิ์ทำให้สามารถสยบความอาฆาตในไฟอสูรนั้นลง ไม่นานไฟแค้นสุดท้ายของสัตว์อสูรจึงพ่ายแพ้ไป
“...ท่าน...” เป็นเทพหงสาที่เอ่ยวาจาก่อน นัยน์ตาสุกใสนั้นเบิกตามองใบหน้าของผู้ที่โอบแขนรอบกายตนอย่างไม่นึกชอบใจ
เทพมังกรฟ้าจับจ้องดวงหน้าของอีกฝ่ายด้วยความตื่นตะลึง “เทพหงสา”
“เป็นข้า”
“ขอบใจที่ท่าน...”
“มิต้องกล่าวอันใด ให้จบสิ้นเพียงเท่านี้ี้”
น้ำเสียงกระจ่างใสแต่เย็นชาของเทพหงสาเอ่ยตัดบทอย่างไร้ไมตรี ดวงหน้าอันประกอบด้วยดวงตาสุกสกาว และเรียวปากบางเฉียบนั้นเบือนหนีก่อนทั้งเรือนกายที่ถูกโอบกอดนั้นจะสลายหายไปเพราะอิทธิฤทธิ์เร้นกายของอีกฝ่ายทิ้งไว้เพียงเสื้อคลุมตัวหนึ่ง
มือหนาของเทพมังกรฟ้ารั้งเอาเสื้อคลุมที่คลุมตัวเขาทั้งสองมาถือไว้ เนื้อผ้าสีขาวปักลายด้วยเส้นไหมสีชาดนั้นงดงามอย่างไม่มีอาภรณ์ใดเทียบ เมื่อยิ่งพินิจให้ดีแล้วลายที่ปักบนเสื้อคลุมนั้นเป็นลวดลายของหงสายามโผบิน
มุมปากของเทพมังกรฟ้าแต้มรอยยิ้มบางเบา
“เทพหงสางั้นหรือ หมื่นปีก่อนถือกำเนิดขึ้นจากไฟบำเพ็ญของเทพบรรพกาลต่อมาสืบทอดเป็นราชาวิหค มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเหล่าปักษาและดูแลทิศทักษิณ หมื่นปีที่กำเนิดมามิเคยปรากฎกาย .... มิคาดว่า...”
เทพมังกรฟ้ามองเสื้อคลุมในมือตนก่อนขยับยิ้มกว้างขึ้น เสื้อคลุมหงสาในมืออาบด้วยแสงนวลตาก่อนคืนร่างเป็นขนวิหคสีชาดดังเดิม
“เทพหงสาเป็นเทพเช่นไร จะมาจะไปเหตุใดจึงลืมของๆตนเอง”
เทพมังกรฟ้าถือขนวิหคสีชาดเอาไว้ในมือ นัยน์คมกล้านั้นจับจ้องขนวิหคอย่างไม่วางตา
“ดูท่าคงต้องรีบส่งคืนเสียแล้วกระมัง”
รอยยิ้มของท่านเทพมังกรฟ้ายังคงฉาบทับอยู่บนใบหน้าจนกระทั่งร่องรอยของเพลิงแค้นของสัตว์อสูรที่ทิ้งไว้เมื่อครั้งที่ตนใช้ทั้งร่างกายปกป้องบึงมรกตนั้น็เกิดสำแดงเดชขึ้นมา ท่านเทพมังกรฟ้าไหวไหล่สั่นสะท้านอย่างเจ็บปวดเนื่องจากความร้อนจากพิษสัตว์อสูรลุกลามไปทั้งร่างกาย ด้วยเพราะธาตุเดิมของมังกรฟ้าเป็นธาตุไม้ดังนั้นผลกระทบอันเกิดจากอสูรธาตุไฟจึงมีมากเกินยับยั้ง
“ท่านเทพ!!!”
เสียงเรียกจากเซียนบริวารดังขึ้นข้างกาย เทพมังกรฟ้าเพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น พยายามเดินปราณเซียนควบคุมอาการบาดเจ็บของตน
“เจ้าสมุทรแดนใต้ไม่มางั้นรึ ”
“ขอรับ ท่านเจ้าสมุทรได้เข้าฌานบำเพ็ญตบะห้ามผู้ใดรบกวน”
เทพมังกรฟ้าถอนหายใจหนักหน่วง “เจ้าให้เซียนบริวารเร่งฟื้นฟูป่าโบราณและพื้นที่อื่นที่ถูกไฟอสูรทำลาย ตรวจดูบึงมรกตให้ละเอียดว่าได้รับผลกระทบจากไฟอสูรหรือไม่ ส่วนข้าจำต้องเดินทางไปให้ท่านเทพผู้นั้นถอนพิษนี้โดยเร็ว”
“พิษของสัตว์อสูรธาตุไฟ ในใต้หล้านี้หากมิใช่ผู้มีปราณธาตุไฟที่แกร่งกล้าย่อมไม่สามารถกำจัดพิษนี้ได้ จากที่ท่านเทพกล่าวมามีท่านผู้นั้นอยู่ในใต้หล้าด้วยงั้นหรือ” เซียนบริวารเอ่ยถาม
“สามร้อยปีก่อนข้าต้องเข้าฌานบำเพ็ญตบะที่บึงมรกตนับร้อยปีเพื่อรักษาพิษของสัตว์อสูรตนนี้เพราะใต้หล้าไม่มีผู้ใดล้างพิษของอสูรตนนี้ได้ แต่เพลานี้คงต้องตอบว่าที่เจ้าถามนั้น...ข้าได้พบแล้ว ”
“เป็นผู้ใดรึท่านเทพ”
“เทพหงสาผู้ปกครองทิศทักษิณอย่างไรเล่า”
ขนวิหคในมือทอแสงนวลตา ในขณะที่นัยน์ตาคมกล้าของท่านเทพมังกรฟ้านั้นมองตรงไปยังทิศทักษิณอย่างไม่วางตา
....เทพหงสา เคยมีผู้ใดบอกกล่าวแก่ท่านหรือไม่ ว่าหากได้ลงมือช่วยเหลือแล้วจำต้องช่วยให้ถึงที่สุด ข้า....เทพมังกรฟ้าผู้นี้จำต้องพบหน้าท่านอีกคราเสียแล้ว.....
ขอบคุณ fictober set นี้มากค่ะ ขออนุญาตยืมมาร่ายเวทย์มนต์หน่อยนะคะ^^
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in