เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
C R E E P Y P A S T Aเนตรธิ ~
Search and Rescue Woods | #2
  • คืนนี้ผมล็อกอินเข้ามาและต้องตกใจมากเลยที่เรื่องของผมได้รับความสนใจมากขนาดนี้ ก่อนอื่น ผมขอพูดถึงเรื่องที่พวกคุณแสดงความคิดเห็นเข้ามาหน่อยนะครับ



    * มีหลายคนพูดถึงความคล้ายกันระหว่างเรื่องที่ผมเล่ากับเรื่องของคุณ David Paulides 

    ผมขอให้พวกคุณแน่ใจได้เลยว่า ผมไม่ได้พยายามที่ลอกงานของเขาเลยนะครับ ผมให้ความเคารพเขาด้วยซ้ำและเขานี่แหละคือแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเล่าเรื่องราวที่ผมเจอ เพราะเรื่องที่ผมเล่ามันจะช่วยยืนยันสิ่งที่เดวิดพูดถึงได้ด้วย เราสองคนเคยเจอเคสคนหายแปลกๆ และไม่สามารถหาคำตอบได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราพบคนหายในสถานที่ที่ไม่น่าจะอยู่อะไรพวกนั้น ผมเองก็ไม่ค่อยได้เจอเหตุการณ์อย่างที่ว่าเท่าไร เพราะฉะนั้นผมจะเล่าในเฉพาะที่ผมเจอด้วยตัวเอง และเรื่องที่มาจากคำบอกเล่าของเพื่อนผมแล้วกัน



    -----------------------------------------


    * ผมได้รับฟีดแบ็กเกี่ยวกับเรื่องบันไดที่ผมเล่าเยอะแยะเลย เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะเล่าคร่าวๆ ถึงมันตรงนี้ แล้วจะเล่าเพิ่มในโอกาสถัดไป บันไดที่ผมเห็นมีทุกรูปทรง ทุกขนาด ทุกสไตล์ ทุกสภาพ บางอันก็ทรุดโทรมจนเหลือเป็นซากแล้ว แต่บางอันก็ยังอยู่ในสภาพใหม่เชียว ผมเคยเห็นบันไดอันหนึ่งที่หน้าตาเหมือนบันไดที่อยู่ตามประภาคาร มันเป็นบันไดเกลียว ทำจากโลหะ ค่อนไปทางโบราณๆ หน่อย บันไดที่ผมเห็นไม่ได้สูงจนพ้นระดับสายตาแต่ก็มีส่วนสูงที่แตกต่างกันไปแต่ละอัน อย่างที่ผมบอกนั่นแหละว่า ให้จินตนาการถึงบันไดในบ้านของคุณที่ถูกตัดแล้วเอามาแปะลงบนที่ไหนก็ไม่รู้ ผมไม่เคยถ่ายรูปมันเอาไว้เลย จริงๆ ก็เคยมีความคิดนั้นแต่แค่หนแรกที่เจอเท่านั้นล่ะ อีกอย่างผมไม่อยากเอาหน้าที่การงานผมไปเสี่ยงด้วย เอาเป็นว่า ผมจะลองดูวันหลัง แต่ขอไม่สัญญานะครับ



    * มีบางคนที่สับสนกับที่ผมเล่าเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดันไปเจอกับชายที่ไร้ใบหน้าบนยอดเขา เพื่อความกระจ่างนะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อนักปีนเขาคนนั้นปีนขึ้นไปถึงยอดเขา บนนั้นเขาพบชายคนหนึ่งที่ใส่แค่เสื้อผ้าร่มและกางเกงสกี ไม่มีอุปกรณ์ปีนเขา และชายคนนั้นไม่มีใบหน้า


    ผมต้องขอโทษด้วยครับ สำหรับความสับสนที่เกิดจากการใช้คำพูดของผม จะพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกนะครับ


    เอาล่ะ เรื่องใหม่จะเริ่มต้นตรงนี้



  • * ครึ่งหนึ่งของงานของผมคือการค้นหาคนหาย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นภารกิจกู้ภัย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บจากการตกเขา ถูกไฟลวก (คุณจะต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าเคสนี้เกิดบ่อยมาก โดยเฉพาะกับพวกเด็กๆ ที่เมาเหล้า) ถูกสัตว์หรือแมลงกัด พวกเราเป็นทีมที่เข้มแข็งมาก เรามีมือฉมังที่มีความสามารถในการค้นหาร่องรอยของผู้สูญหายอย่างยอดเยี่ยม เพราะฉะนั้น มันจึงน่าหงุดหงิดถ้าเคสไหนที่เราไม่สามารถแกะรอยอะไรได้เลย


    มีอยู่เคสหนึ่งที่ทำให้เราทุกคนผิดหวังกันมาก ไม่ใช่เพราะเราไม่เจออะไร แต่เพราะว่าเราหาร่องรอยของผู้สูญหายเจอ แต่มันนำทางไปหาปัญหามากกว่าไปหาทางออกน่ะสิ 


    ชายแก่คนหนึ่งออกมาเดินท่องเที่ยวในป่าโดบใช้เส้นทางสำรวจธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว ภรรยาของเขาติดต่อเรามาเมื่อสามีเธอไม่กลับถึงบ้านในเวลาที่ควร ที่น่าห่วงไปกว่านั้นคือสามีของเธอเคยมีประวัติเป็นโรคลมชักและเธอกังวลว่าเขาจะไม่ได้กินยาและดันเกิดอาการขึ้นมาในขณะที่เดินป่าอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคุณสามีถึงคิดว่าการออกมาเดินป่าคนเดียวนั้นปลอดภัย หรือทำไมภรรยาของเขาไม่ตามเขาไปด้วย แต่ผมจะไม่ถามคำถามพวกนั้นหรอกนะครับ เพราะเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง คำถามพวกนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรในงานของเรา


    เมื่อมีคนหาย ภารกิจของเราก็คือการตามหาให้เจอ เราจึงออกค้นหาเขาตามมาตรฐานที่เราทำ และไม่นานเจ้าหน้าที่ของเราก็เจอร่องรอยว่าชายแก่คนนั้นได้เดินออกไปจากทางเดินหลัก เรารวมทีมกันและออกเดินตามทางที่เขาเดินไป โดยกระจายตัวเป็นรูปพัดเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การค้นหาให้กว้างที่สุด แต่อยู่ๆ เราก็ได้วิทยุว่าให้รีบกลับไปตรงจุดที่เจ้าหน้าที่แกะรอยของเราอยู่ เรารีบกลับไปทันที เพราะคิดว่าแบบนี้คงหมายความว่าเจอผู้สูญหายแล้วแต่เขาได้รับบาดเจ็บและเราต้องรวมทีมเพื่อช่วยคนเจ็บออกมาให้ได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อเราไปถึง ผมเห็นเพื่อนรวมงานของผมยืนอยู่ลำพังที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง มือทั้งสองข้างของเขากุมหัวไว้ ผมถามเพื่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงชี้นิ้วไปยังบนกิ่งหนึ่งของต้นไม้นั่น


    คุณต้องไม่เชื่อแน่ สิ่งที่ผมเห็นคือไม้เท้าช่วยเดินของคนแก่ห้อยต่องแต่งอยู่บนกิ่งไม้ที่สูงอย่างน้อยก็สามสิบฟุตจากพื้นดิน สายจับของตัวไม้เท้าถูกพันรอบก้านต้นไม้อย่างเรียบร้อยเหมือนกับมีใครขึ้นไปผูกเอาไว้ คุณไม่มีทางที่จะโยนไม้เท้าขึ้นไปได้สูงขนาดนั้นแน่ๆ และเราก็ไม่เห็นร่องรอยว่าชายแก่คนนั้นจะปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ได้ยังไง เราตะโกนเรียกชื่อเขา แต่ก็แน่นอนล่ะ ไม่มีใครตอบกลับมา พวกเราถึงกับต้องเกาหัวด้วยความงุนงงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น


    เราออกตามหาชายแก่คนนั้นต่อแต่ก็ไม่พบเขา สุนัขดมกลิ่นก็ตามกลิ่นเขาได้ถึงแค่ระยะก่อนถึงต้นไม้ต้นนั้นเท่านั้น ในที่สุดการค้นหาก็ถูกยกเลิก เนื่องจากเรายังมีภารกิจอื่นๆ อีกที่ต้องจัดการ อีกอย่างเมื่อถึงจุดนี้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้แล้วล่ะครับ


    ภรรยาของเขาโทรหาพวกเราทุกวันเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อถามว่าเจอตัวสามีของเธอหรือยัง มันน่าเศร้ามากที่ได้ยินเสียงของเธอที่ค่อยๆ สิ้นหวังลงทุกๆ ครั้งที่โทรมา ผมไม่แน่ใจว่าทำไมเคสนี้ถึงรบกวนจิตใจเราได้ขนาดนี้ แต่คงเป็นเพราะความไม่น่าเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงคำถามที่ว่า ไม้เท้าของเขาขึ้นไปอยู่บนต้นไม่ได้ยังไง หรือมีใครฆ่าเขาแล้วโยนมันขึ้นไปโชว์ไว้เหมือนถ้วยรางวัลงั้นเหรอ ? เราค้นหาเขาอย่างสุดความสามารถ สิ่งนี้ก็เลยดูเหมือนจะเป็นการแกล้งปั่นหัวเราเล่นของใครบางคน


    จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังคงพูดถึงเคสนี้กันอยู่บ้างเป็นครั้งคราว



    -----------------------------------------


  • * เคสเด็กหายเป็นเรื่องที่เราทำงานด้วยความรู้สึกปวดหัวใจมากที่สุด ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ใด มันเป็นเรื่องยากเสมอ เราหวั่นใจทุกทีที่การค้นหาของเรานำไปสู่การค้นพบผู้เสียชีวิต ถึงแม้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ปกติแต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ เดวิดก็เคยพูดถึงอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่ไม่น่าจะเจอพวกเด็กๆ หรือที่ที่เด็กๆ ไม่น่าจะเข้าไปได้ ผมได้ยินเรื่องพวกนั้นมามากกว่าที่ผมเจอด้วยตัวเองนะครับ เพราะฉะนั้นผมจะเล่าประสบการณ์ตรงของผมเรื่องหนึ่งให้คุณฟัง


    คุณแม่ลูกสามคนหนึ่งออกไปปิกนิกในสวนสาธารณะที่มีทะเลสาบเล็กๆ พร้อมกับลูกๆ ของเธอ ลูกของเธอสามคนอายุ 6 ขวบ 5 ขวบ และ 3 ขวบ ตลอดเวลาที่ลูกๆ เล่นกัน เธอจับตามองพวกเขาโดยไม่ให้คลาดสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว บริเวณนั้นมีเพียงเธอและลูกๆ ตามลำพัง ไม่มีคนอื่น ซึ่งส่วนนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


    เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเธอเก็บของและเดินทางกลับไปยังที่จอดรถ โดยมีทะเลสาบอยู่เบื้องหลังเธอลึกเข้าไปในป่าประมาณ 2 ไมล์ เธอเดินมาตามทางเดินที่ปูไว้อย่างดี จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะหลงทางระหว่างเดินกลับมาที่จอดรถ นอกจากคุณจะเด๋อด๋าตั้งใจเดินออกนอกเส้นทางไปเอง ลูกทั้งสามของเธอเดินนำอยู่ข้างหน้า แต่แล้วเธอก็ได้ยินเหมือนเสียงใครบางคนเดินตามมาข้างหลัง เธอหันหลังกลับไปดู เธอบอกว่าใช้เวลาประมาณ 4 วินาทีหรือมากกว่านั้นเล็กน้อยที่เธอละสายตาไปจากเด็กๆ เมื่อหันกลับมา ลูกชายวัยห้าขวบของเธอก็อันตรธานหายไป เธอคิดว่าเขาคงเดินหลบออกจากทางเดินเพื่อลงไปฉี่ข้างทาง เธอถามลูกอีกสองคนว่าเขาหายไปไหน แต่ทั้งคู่บอกว่ามีผู้ชายร่างใหญ่หน้าตาน่ากลัวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าข้างๆ เขาจับมือน้องแล้วพาเขาเดินเข้าป่าไป น่าแปลกมากที่เด็กทั้งสองคนไม่ได้ดูตกใจกลัวอะไร เธอเล่าให้พวกเราในภายหลังว่า ลูกทั้งสองคนของเธอดูเหมือนถูกวางยาเพราะพวกเขาดูงุนงงและดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


    เธอตระหนกตกใจมาก เธอลนลานตามหาลูกของเธอไปรอบๆ เธอตะโกนร้องเรียกชื่อเด็กชาย และเธอพูดว่าเหมือนจะได้ยินเสียงลูกตอบกลับมาครั้งหนึ่ง เธอรู้ตัวว่าไม่สามารถค้นหาลูกๆ ด้วยตัวเองในป่านี้ได้แน่ เธอจึงโทรหาตำรวจเพื่อให้ส่งพวกเรา หน่วยกู้ภัย เข้าพื้นที่ในทันที ทีมของเราออกค้นหาตัวเด็กผู้ชายครอบคลุมพื้นที่หลายไมล์ แต่ก็ไม่มีแม้แต่ร่องรอยเดียวของผู้สูญหาย สุนัขดมกลิ่นของเราก็จับกลิ่นอะไรไม่ได้เลย ไม่มีเศษเสื้อผ้าหรือพุ่มไม้หักๆ ที่พอจะเป็นจุดสังเกตได้ว่ามีคนเคยมาตรงนี้ แน่นอนล่ะ คุณก็รู้ว่าเราก็แอบสงสัยในตัวแม่ของเด็กอยู่เหมือนกัน แต่คุณจะดูออกเลยว่าเธอเองก็เหมือนจะขาดใจตายไปพร้อมกับเรื่องที่เกิดขึ้นข้างหน้านี้


    เราค้นหาเด็กชายอยู่หลายสัปดาห์โดยได้รับความช่วยเหลือจากอาสาสามัครจำนวนมาก แล้ววันหนึ่ง เราก็ได้รับวิทยุรายงานว่าพบศพและต้องการให้เราไปยันยัันตัว เมื่อผู้พบศพบอกว่าเจอศพที่ไหน คุณเชื่อไหมว่าไม่มีพวกเราคนไหนเชื่อเลย เรายังคิดกันด้วยซ้ำว่าน่าจะเป็นเด็กคนอื่น แต่เมื่อเราไปถึงพื้นที่นั้นซึ่งห่างจากจุดที่เด็กชายหายตัวไปถึง 15 ไมล์ เราจึงได้พบศพของเด็กที่เราค้นหากันมานาน


    ผมพยายามคิดให้ออกว่าเด็กชายเดินทางมาถึงจุดที่พบเขาเป็นศพได้ยังไง แต่ผมก็ไม่เคยได้คำตอบเลย มันเป็นความบังเอิญที่มีอาสาสมัครคนหนึ่งอยู่บริเวณนั้นพอดี เพียงเพราะเขาคิดว่าน่าจะลองไปหาในที่ที่คนอื่นจะไม่ไปหรือที่ที่เหมาะกับการทิ้งศพเพื่ออำพราง เขาปีนขึ้นไปยังเนินเขาสูงแห่งหนึ่ง เมื่อขึ้นไปได้ครึ่งทาง เขาส่องกล้องทางไกลแล้วเห็นร่างเด็กชายถูกฝังอยู่ในซอกหินเล็กๆ บนนั้น เขาจำได้ว่านี่คือเด็กที่ทุกคนกำลังตามหาจากสีเสื้อที่ร่างนั้นใส่


    นั่นเป็นเมื่ออาสาสมัครคนนั้นรายงานเข้ามาและเราก็เดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าวทันที เราใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการนำร่างเด็กชายลงมาและไม่มีใครอยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาตัวเองเห็น ไม่เพียงแต่ที่ตรงนี้ไกลจากจุดที่เขาหายตัวไปกว่า 15 ไมล์ แต่เขาไม่มีทางที่จะขึ้นมาบนเนินเขานี้ด้วยตัวเองได้แน่นอน ด้วยความชันขนาดนี้ ต่อให้มีอุปกรณ์ปีนเขาก็ยังเป็นเรื่องยากเลย ไม่มีทางเลยที่เด็กห้าขวบจะปีนขึ้นมาได้แน่ๆ ที่แปลกไปกว่านั้นร่างของเด็กน้อยสมบูรณ์ดี ไม่มีร่องรอยบาดแผลอะไร ถึงรองเท้าจะหายไปก็จริงแต่เท้าของเขาก็ยังสะอาดและไม่เปื้อนดิน เพราะฉะนั้นตัดความเป็นไปได้ว่ามีสัตว์ป่าลากร่างของเขาขึ้นมาได้เลย และจากสภาพศพที่เราเห็น เขาเพิ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ไม่นาน เด็กคนนี้หายตัวไปกว่าเดือนนะครับ แต่ร่างของเขายังดูเหมือนเพิ่งเสียชีวิตมาแค่วันเดียวหรือมากที่สุดก็สองวันเท่านั้น


    เรื่องทั้งหมดมันน่าประหลาดและมันก็เป็นงานที่น่าอึดอัดใจที่สุดงานหนึ่งของผมเลย เราทราบสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กชายจากนิติเวชว่าเป็นเพราะความหนาวเย็น เวลาการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณกลางดึกสองคืนก่อนที่พวกเราจะไปพบศพเขา



    งานนี้ไม่มีผู้ต้องสงสัย ไม่มีคำตอบ จนถึงปัจจุบันมันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าฉงนที่สุดที่ผมเคยเจอ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in