เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My Jninezexsky
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน HIGANBANA 2








  • ภายในห้องมืดมีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยจากด้านนอก ลอดเข้ามาตามช่องว่างเล็กๆ ของผืนผ้าม่านสีทึบ เตียงสี่เสาหลังใหญ่กลางห้อง นั้นเป็นเตียงเสาไม้โบราณที่ยังคงความหรูหราและศิลปะโรมัน ลวดลายของเสาไม้ถูกสลักเสลาจนสวยงาม ผืนเตียงสีขาวสะอาดดูโดดเด่นท่ามกลางห้องที่แสงสว่างเข้ามาเพียงรำไร 



    บนเตียงสี่เสาหลังใหญ่มีร่างของใครบางคนที่ยังคงนอนหลับสนิท กลุ่มผมสีดำสนิทตัดกับผิวขาวซีดยังคงเป็นเอกลักษณ์ แม้ว่าร่างกายมากกว่าครึ่งจะแปรเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม... 



    “เราจะทำยังไงกันดีครับคุณแจฮยอน ถ้าพวกในสมาคมรู้ต้องไม่ปล่อยคุณเจโน่ไว้แน่ๆ” หนึ่งในลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน



    “ถึงวันนี้ไม่รู้ ก็ต้องรู้เข้าสักวัน.. คนพวกนั้นหูตาเป็นสัปปะรดยิ่งกว่าอะไร” จองแจฮยอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ดวงตาเฉยเมยยังคงจ้องมองไปยังคนที่หลับใหล



    “ผมอยากจะฆ่าไอ้หมอนั่นจริงๆ” เสียงกัดฟันกรอดๆเพราะความโมโหของมาร์คลีดังขึ้นเบาๆ ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ติดคำสั่งของคุณแจฮยอนล่ะก็ ไอ้ฮันเตอร์นั่นไม่ได้มีชีวิตหายใจอยู่แบบนี้แน่



    “ใจเย็นไว้มาร์ค... อย่าพึ่งวู่วาม” แจฮยอนเอ่ยปรามลูกน้องในปกครองของตัวเอง



    “แต่ต้นตะ...”



    “หน้าที่ของนายตอนนี้คือเฝ้าต้นตระกูล..” แจฮยอนเเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะตวัดดวงตาเย็นเยียบมามองที่มาร์คลี เป็นเชิงเตือน 



    “ครับ” มาร์คลีโค้งให้คนเป็นนายก่อนจะก้าวถอยหลบให้จองแจฮยอนเดินเข้าไปภายในห้อง ส่วนตัวเองก็เดินออกมาข้างนอก เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับคนเป็นนาย 



    แววตาเป็นกังวลและร่องรอยของความเครียดที่แสดงออกมาคงแสดงได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมากจริงๆ 





    “ฉันจะทำยังไงดี” เสียงทุ้มเอ่ยรำพึงรำพันกับตัวเอง พลางจะถอนหายใจออกมาหนักๆ อะไรที่มันเปลี่ยนไปแล้วมันก็ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม จะโทษใครก็ไม่ได้ ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นแล้ว 



    สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือการทำให้ทุกอย่างไม่แย่ลงไปกว่าเดิม... แต่ในกรณีแบบนี้จองแจฮยอนก็รู้สึกมืดแปดด้านอยู่เหมือนกัน  มันเป็นไปได้ยากที่จะหาทางออก 



    พวกเขาไม่ทำร้ายมนุษย์ และไม่เคยที่จะแหกกฎทำหลายข้อตกลงให้เดือดร้อน แม้เลือดสัตว์ใหญ่จะไม่หอมหวานเท่ากับเลือดมนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังอดทน สะกดกลั้นสันดานดิบและเหยียบมันไว้ให้ลึกที่สุด 



    เป็นที่รู้กันดีว่าแวมไพร์ส่วนใหญ่แถวนี้จะเลือกอยู่แบบสงบสุขโดยไม่ข้องแวะเกี่ยวกับพวกฮันเตอร์ พวกเขาไม่ต้องการถูกฮันเตอร์ไล่ล่า — เราต่างใช้ชีวิตปะปนกับพวกมนุษย์ทั่วไปตามกฎเกณฑ์ที่พวกฮันเตอร์นั่นตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นข้อยุติของปัญหาระหว่างทั้งสองฝ่าย 



    แต่แล้วทำไม ถึงได้กลับกลายเป็นว่าต้นตระกูลต้องกลายเป็นแบบนี้... 




    “รีบตื่นขึ้นมาสักทีเถอะต้นตระกูล...” 



    มือเรียวเอื้อมไปลูบกลุ่มผมสีเข้มของคนที่นอนหลับสนิท ยิ่งพินิจใบหน้าของคนตรงหน้ามันก็ทำให้ร่างสูงได้ครุ่นคิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่เคยได้ฟังเมื่อนานมาก จนแทบจะลืมเลือน... นายท่านที่เป็นพ่อแม่ของอีเจโน่ได้เคยพูดไว้กับเขาเองก่อนที่ทั้งสองจะถูกกำจัด หลงเหลือก็แต่เพียงลูกชายคนเดียวที่อยู่ภายใต้การดูแลของจองแจฮยอนนับตั้งแต่นั้นมา “ถ้าหมอนั่นเป็นคนที่นายท่านบอกจริงๆ ก็คงจะดีใช่ไหม...”












    แว่วเสียงของใครบางที่คุ้นเคยแต่กลับนึกไม่ออกดังขึ้นอยู่ข้างหูเบาๆ น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง ชวนให้เคลิ้มหลับจนไม่อยากจะตื่นขึ้นมา “ถึงเวลาแล้วต้นตระกูล มันถึงเวลาแล้ว...” ประโยคซ้ำๆ เดิมๆ เอ่ยย้ำอยู่อย่างนั้นจนคนที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นสับสนไม่น้อย 



    ความมืดมิดที่ได้เห็นกับแสงสว่างรำไรสุดปลายทางตรงนั้น เงาของใครคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่แต่เขากลับมองไม่เห็นใบหน้าไม่เห็นสักนิดเดียว



    “ตื่นได้แล้วน่าต้นตระกูล ผมคิดถึงคุณจะแย่...” 



    จากเสียงที่เคยสั่นคลอนประสาท แปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นข้างหูอย่างชัดเจน ก่อนจะมีแรงโถมน้ำหนักบนตัวจนทำให้คนที่กำลังสะลึมสะลือสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที  ภาพในความฝันในตอนที่หลับกลับกลายเป็นภาพใบหน้าหล่อคมซึ่งอยู่ห่างใบหน้าของตนเองเพียงไม่ถึงคืบ  ลมหายใจอุ่นรินรดผิวแก้มจนร้อนผ่าว ไหนจะสายตาคมที่สะกดให้ดวงตาของคนที่ยังไม่ตื่นดีไม่อาจหลบสายตา



    “นะ..นาย” เสียงนุ่มที่ยากจะเปล่งเสียงออกมาทำให้เจ้าของเสียงขมวดคิ้วแน่น ทันทีที่ปะติปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ความรู้สึกวาบโหวงก็พลันแล่นเข้ามาทั่วท้อง ยิ่งยามที่ได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองอย่างชัดเจนกับก้อนเนื้อในอกที่กำลังเต้นถี่ระรัวอยู่ในตอนนี้  มันก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกบางอย่างถูกตีตื้นขึ้นมา



    มันเป็นความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้... ต้นตระกูลสูงส่งกลับกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน



    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!



    “จำผมได้ไหมครับต้นตระกูล..”  มือใหญ่ลูบเบาๆ ที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม ดวงตาคมยังคงจับจ้องไปยังดวงตาใสแจ๋วที่ยังมองตัวเองอย่างไม่ไว้ใจ  กว่าที่นาแจมินจะเข้ามาหาอีกคนได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย  หมาบ้าที่หวงเจ้านายถึงสองตัว แต่ที่เข้ามาได้ก็เพราะไอ้ตัวซีดที่ชื่อจองแจฮยอนนั่นล้วนๆ 



    ก็แหงสิ หมอนั่นเป็นคนบากหน้าไปตามนาแจมินถึงที่ หลังจากที่ปล่อยให้ลูกน้องตัวเองซัดเขาเสียหมอบแล้วฉวยเอาตัวต้นตระกูลกลับมา



    “ไม่ต้องมาถามฉัน” มือขาวผลักใบหน้าของอีกฝ่ายออกแรงๆ จนอีกคนยอมผละออกไป ก่อนที่ร่างโปร่งจะกระถดตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง ดวงตาใสมองปราดไปทั่วห้อง ก่อนจะพบว่านี่คือห้องของตัวเอง ทั้งเตียงสี่เสาหลังใหญ่ที่แน่นอนว่าแสนคุ้นเคย “ออกไปจากห้องฉัน ก่อนที่ฉันจะให้คนมาลากคอนายออกไป”



    “ไม่เอาสิที่รัก ไล่กันแบบนี้ ผมก็เสียใจแย่สิ” หน้าตาเสแสร้งนั่นทำให้เจโน่รู้สึกยุบยิบในอกอย่างบอกไม่ถูกแม้ว่าจะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่เหมือนเดิม แต่ความทะนงตนในศักดิ์ศรีอย่างต้นตระกูลก็ยังคงมีอยู่มากเกินกว่าจะลดลงมาได้  



    “แจฮยอน!!!” เสียงนุ่มเอ่ยตะโกนเรียกชื่อคนดูแลตัวเองดังลั่น แต่ก็ไม่ยักจะเห็นแม้แต่เงาของคนสนิท ยิ่งไปกว่านั้นเสียงหัวเราะที่ขัดหูของนาแจมินยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้กับต้นตระกูลเพิ่มอีกเท่าตัว



    “เรียกให้ตายก็ไม่มีใครเข้ามาหาคุณหรอก” นาแจมินทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนหนานุ่ม ข้างคนนั่งพิงหัวเตียง ท่าทางที่แสนจะดูรังเกียจตัวเองนั้นมันช่างน่าขัน ก็ดูเอาสิ พยายามจะกระเถิบหนีเขา แต่กลับดูลำบากพิลึก



    “อย่ามาเข้าใกล้ฉัน” 



    หวงตัวซะด้วย..



    “อะไรกันคุณ รังเกียจผมขนาดนั้นเชียว”



    “พวกต่ำๆ อย่างแก ฉันก็รังเกียจทั้งนั้นล่ะ”



    “คำก็ต่ำ สองคำก็ต่ำ นี่ต้นตระกูล ผมจะบอกอะไรให้นะ ว่าไอ้คนสูงส่งแบบคุณ มันก็เป็นได้แค่เมื่อก่อนเท่านั้นล่ะ" 



    “....”



    “ตอนนี้คุณมันก็ไม่ต่างจากพวกมนุษย์ธรรมดา ที่คุณเอาแต่ว่าต่ำหรอก”



    “ก็เพราะใครล่ะ ไม่ใช่เพราะแกรึไง!”



    “คุณควรจะขอบคุณผม ไม่ใช่มาโทษกันแบบนี้นะต้นตระกูล”



    “ขอบคุณบ้าบออะไรกัน ฉันต้องขอบคุณแกที่ทำให้ฉันกลายเป็นไอ้ตัวโสโครกแบบนี้งั้นหรอ”



    “งั้นผมขอถามคุณนะต้นตระกูล ที่คุณเป็นอยู่แบบเมื่อก่อนนี้ คุณมีความสุขดีใช่ไหม...”



    คำถามของอีกคนทำให้คนตัวขาวที่กำลังจะอ้าปากพูดปิดปากสนิท ความคิดของเจโน่มันเสียงดัง จนนาแจมินไม่ต้องเสียเวลารอคำตอบจากอีกฝ่าย ความสับสนที่อยู่ในตัวของเจโน่มันดังตีกันจนนาแจมินเองยังปวดหัวแทน 



    มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะทำใจไม่ได้อยู่ๆ จากแวมไพร์ที่มีอำนาจเหนือคนอื่นจะกลายเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนนึง



    “คุณไม่อยากหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี่หรือไง”



    “....”



    “ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงต้องเป็นคุณ แต่ยิ่งผมเห็นคุณผมก็ยิ่งผูกพัน“



    “....”



    “คุณเองก็อย่าปฏิเสธเลยว่าคุณไม่รู้สึกเหมือนผม” 



    ก็แน่สิ ก็บอกแล้วว่านาแจมินได้ยินความคิดของอีกคน ยิ่งความคิดนี้เขายิ่งได้ยินมันอย่างชัดเจน..



    ‘ทำไมถึงผูกพันกับหมอนี่แปลกๆ’



    ลีเจโน่นึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าอย่างถี่ถ้วน ทุกอย่างมันเหมือนมีแรงดึงดูดที่ทำให้เจ้าตัวเข้าหานาแจมิน และสิ่งที่น่าแปลกก็คือไอ้อาการที่เกิดขึ้นยามอยู่ใกล้อีกฝ่าย ไหนจะไอ้รอยสักที่ข้อแขนนั่นที่แผลงฤทธิ์ขึ้นมาจนน่ากลัว



    “แล้วคนอย่างนายจะมาช่วยอะไรฉันได้”



    “คำตอบนี้คุณน่าจะรู้ดีแก่ใจว่าผมช่วยอะไรคุณได้บ้างต้นตระกูล”  



    "อย่ามาอำกันเลยดีกว่า..." 



    ความเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจมากนั่นมันจะเป็นไปได้ยังไง ที่แค่พออีกฝ่ายโอบกอด และคอยผยุงตัวเองกับเสียงกระซิบบทสวดบางอย่างที่ดังข้างหูนั่น มันจะทำให้ความเจ็บปวดพวกนั้นค่อยๆลดลง



    ลีเจโน่ไม่อยากจะไม่เชื่อว่าพวกฮันเตอร์ชั้นต่ำ ที่ตราหน้าไว้ว่าจะช่วยชีวิตตัวเองได้มากขนาดนี้



    ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่นาแจมินเดินออกไปแล้ว แต่ลีเจโน่ก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น.. ร่องรอยของความสับสนฉายชัดอยู่บนใบหน้าขาวอย่า่งปิดไม่มิด



    “ใครก็ช่วยฉันไม่ได้ทั้งนั้น..” คำตอบที่รู้อยู่แก่ใจดี เป็นเจโน่ที่รู้ตัวดีว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นมันคืออะไร ต่อให้พยายามแค่ไหนสิ่งที่เป็นตราบาปพวกนี้มันก็ไม่มีทางรักษาได้



    แอ๊ด



    “ทำไมถึงปล่อยให้มันเข้ามาแจฮยอน” ต้นตระกูลตัวขาวอ้าปากถามทคนสนิทที่เปิดประตูเข้ามาในทันที อย่างไม่รีรอที่จะพูดคุยถึงเรื่องอื่น



    “ผมมีเหตุผลครับ”



    “เหตุผลอะไรของนาย นายคิดว่าหมอนี่จะช่วยฉันได้หรือไง” เขาไม่ต้องการให้ใครมาช่วยทั้งนั้น เรื่องนี้มันไม่มีใครช่วยเขาได้ทั้งนั้น



    “แต่...”



    “อย่าให้หมอนั่นเข้ามาหาฉันอีก นี่ไม่ใช่คำสั่ง แต่ฉันกำลังขอร้อง” ต้นตระกูลตัวขาวว่าก่อนจะเมินหน้าหนีออกไปทางด้านของฝั่งผ้าม่านที่ยังปิดสนิท



    “แต่เราก็ควรจะลองไม่ใช่หรือไงครับ”



    “นายคิดว่าคนที่ทำให้ฉันกลายเป็นมนุษย์แบบนี้มันจะมาช่วยฉันจริงๆ งั้นเหรอ”



    “แต่ต้นตระกูลผูกพันธะกับหมอนั่นไปแล้ว”



    “อย่าพูดถึงเรื่องบ้าๆนี่อีก”



    “ต้นตระกูลครับ ได้โปรดเชื่อผมอีกสักครั้งนึง.. ผมว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ คุณก็รู้ว่าพวกคนในสมาคม คงไม่ปล่อยคุณไว้แน่ๆ ถ้าเกิดรู้เรื่องนี้”



    “ฉัน-ไม่-เชื่อ” 



    ถ้ายกเรื่องความหัวรั้นก็คงต้องยกให้ต้นตระกูลอย่างเลี่ยงไม่ได้  คนสนิทอย่างแจฮยอนเองก็ได้แต่ก้มหน้ารับคำสั่งของอีกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าอีกคนจะกลายเป็นมนุษย์แล้วก็ตาม แต่เจ้านายยังไงก็คือเจ้านาย ต่อให้จะเป็นต้นตระกูลหรือลีเจโน่คนธรรมดา คนรับใช้เก่าแก่อย่างแจฮยอนก็ยังคงจะรับใช้แบบนี้ต่อไป  












    หลายวันที่ผ่านมา นาแจมินก็ยังคงเทียวไปเทียวมาหาคนตัวขาว ถึงอีกคนจะไล่ตะเผิดยังไง คนหน้าทะเล้นก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน แถมยังตีหน้ามึนอยู่กับอีกคนจนติดหนึบ



    “จะเข้ามาใกล้อะไรนักหนา”



    “ก็จะได้ป้อนข้าวคุณได้ถนัดๆไง”



    “ไม่ต้องวุ่นวาย ฉันกินเองได้” คนตัวขาวผลักอีกคนออกห่างๆ ตัวเองก่อนจะคว้าช้อนตักข้าวเข้าปาก เป็นมนุษย์นี่มันลำบากจริงๆ ต้องกินข้าววันละสามมื้อ จะไม่กินก็หิวอีก ไอ้กระเพาะที่อยู่ในท้องนี่มันก็โอดครวญเสียเหลือเกิน



    “อร่อยใช่ไหมล่ะ นี่ผมทำเองกับมือเลยนะ” เจโน่แทบจะเขวี้ยงช้อนที่อยู่ในมือทิ้ง เมื่อเห็นรอยยิ้มทะเล้นๆของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ยินดียินร้ายกับอารมณ์ของคนเอาแต่ใจ



    “ไม่เห็นจะอร่อย ที่ฉันกินก็เพราะหิวต่างหาก” 



    ก็ว่าไปนั่น จานข้าวพร่องไปกว่านี้แล้วนะต้นตระกูล ทำไมต้องปากแข็งตลอด 



    นาแจมินยังจำวันแรกที่สอนอีกคนให้กินข้าวได้อยู่ไม่ลืม เจ้าตัวทำท่าผะอืดผะอมเมื่อตักข้าวเข้าปาก จะว่าน่าสงสารก็ถูกแต่จะว่าน่าเอ็นดูก็คงถูกอีก  คนที่ไม่เคยใช้ชีวิตแบบมนุษย์ มันก็ลำบากแบบนี้ล่ะนะ



    “แล้วนี่แจฮยอนไปไหน” หลังจากที่อีกคนนั่งเงียบๆ ใช้เวลาไปกับการทานข้าวจนหมด จึงหันมาถามคนที่นั่งมองตัวเองทานข้าว



    “เห็นบอกว่าออกไปทำธุระ”



    “ทำไมถึงไม่บอกฉันกัน!! มันน่าจริงๆเลย”



    “เขาคงรีบ คุณอย่าไปโกรธคุณแจฮยอนเลย”



    “ปกติแจฮยอนไม่เป็นแบบนี้!! พอนายเข้ามาหมอนั่นก็ไว้ใจนายไปซะหมด” จะว่าต้นตระกูลหลุดมาดบ่อยๆก็คงจะใช่ เดี๋ยวนี้อยู่กับนาแจมินไม่กี่วันก็เริ่มจะเอาแต่ใจจนเคยชิน ไหนจะเปลี่ยนสรรพนามจากแก ไม่ก็พวกชั้นต่ำมาเป็นนายแทน.. แต่ก็ยังไม่ยอมเรียกชื่อจริงๆซักทีแบบที่แจมินหวัง



    “หวั่นไหวกับผมก็บอกต้นตระกูล”



    “นายสิหวั่นไหวกับฉัน”



    “กับคุณผมไม่หวั่นไหวหรอก แต่ใจสั่นเลยต่างหาก



    “พูดอย่างนี้ อยากได้อะไรกันแน่?”



    “ถ้าผมอยากได้คุณ จะให้ผมไหมล่ะครับ”



    “ฝันไปเถอะ!!” มือขาวโยนทิชชูใกล้ๆ มือใส่หน้าอีกฝ่ายก่อนจะเดินหนีออกมาจากห้อง ลงมาทางด้านล่างของคฤหาสน์หลังใหญ่ ภายในบ้านนั้นเงียบสงบเพราะภายในบ้านมีแค่ไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ ถ้าแจฮยอนไม่อยู่ ทั้งมาร์คลี กับจองอูก็คงไม่อยู่เช่นกัน  แบบนี้ก็เท่ากับทั้งบ้านเหลือแค่ลีเจโน่กับนาแจมิน



    ไอ้ฮันเตอร์ไม่ระบุประเภทนั่น..



    ลีเจโน่หงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนถูกกักขังให้อยู่แต่ภายในบ้านนี่มันคือเรื่องจริง เขาต้องมาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอย่างนี้เสียหลายวัน ยิ่งมีนาแจมินเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งชีวิตก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างวุ่นวาน ทั้งตีหน้ามึนใส่เขา ไล่ให้ตายก็ไม่ยอมไป แถมยังมีหน้ามากวนประสาท...




    ขาเรียวก้าวออกมาด้านนอกของคฤหาสน์ ก่อนจะเดินไปที่ศาลาหลังเล็กทางด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกับโซนป่าทิศด้านตะวันตกของประเทศ คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ห่างไกลจากผู้คนมันเหมาะสำหรับพวกแจฮยอนในการใช้ชีวิต ไล่ล่าอาหารก็แค่เพียงเลือดสัตว์ป่าเท่านั้น ส่วนตัวลีเจโน่ก็ได้เลือดจากทางโรงพยาบาลที่ใช้อำนาจของเงินซื้อมา



    อากาศช่วงหัวค่ำเริ่มเย็นขึ้นมา จนทำให้คนตัวขาวยกมือขึ้นมาถูแขนตัวเองเบาๆ สายลมเอื่อยที่พัดมาทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกแบบแปลกๆ



    “เป็นมนุษย์นี่เรื่องเยอะชะมัด” คนตัวขาวบ่นอุบ ตั้งแต่เป็นมนุษย์มันก็มีอะไรหลายๆอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยรู้สึกมาก่อนให้ได้เรียนรู้ ทั้งการกิน การนอนหลับวันละอย่างน้อยแปดชั่วโมงของมนุษย์ ไหนจะไอ้อาการหนาว หรือ ร้อน ที่ไม่เคยได้สัมผัสนี่ก็เหมือนกัน 



    อีเจโน่คิดถึงเมื่อก่อนชะมัด !!




    กรอบ..



    เสียงเหมือนใครบางคนเดินเหยียบใบไม้แห้งจนเกิดเสียงทำให้เจโน่หยุดชะงัก ขาที่กำลังก้าวเดินหยุดนิ่งทันที 




    “นายเหรอ แจมิน!!” คนตัวขาวตะโกนถามทั้งๆที่ยังไม่ได้หันไปมอง




    ข้อสำคัญที่ตอนนี้ลีเจโน่เริ่มจะหงุดหงิดก็คือ การดมกลิ่น หรือ ประสาทสัมผัสทั้งหมดที่เคยมีมันหายไปหมดแล้ว เหลือแค่ไอ้ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆทั่วไปแค่นั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าตัวก็ได้กลิ่น และรู้แล้วว่าคือใคร  เงาสูงใหญ่ที่ซ้อนทับเงาของเจโน่นั้นดูน่ารำคาญเมื่ออีกฝ่ายไม่มีการตอบรับ




    “ฉันไม่เล่นกับนายนะ” เจโน่ว่าก่อนจะหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่อยู่ข้างหลัง  ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นเมื่อหันกลับไปสบตากับคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง 



    ดวงตาสีแดงสดกับรอยยิ้มแสยะน่ารังเกียจ  ชุดคลุมสีดำสนิทจากเนื้อผ้าชั้นดี ที่สวมใส่อยู่บนร่างสูงชะลูด เมื่อสบตากับดวงตาที่แสนร้ายกาจคู่นั้น ทั้งร่างกายก็เหมือนจะถูกสะกดให้หยุดนิ่ง



    ก้อนเนื้อในอกอุ่นเต้นถี่ระรัว ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความตื่นตระหนกและตกใจ ลมหายใจที่ดังขึ้นชัดเจนนั้นทำร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย  มือใหญ่แสนจะเย็นเยียบเอื้อมมาสัมผัสที่ใบหน้าขาวของอีกคนก่อนจะลูบเบาๆ ที่แก้มขาวไล่มาจนถึงลำคอระหง นิ้วหัวแม่มือลูบเบาๆ ตามเส้นเลือดที่กำลังเต้นตุบๆ บริเวณลำคอ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงชีวิตของต้นตระกูลที่เปลี่ยนไปจากเดิม 



    ไหนจะความอุ่นร้อนจากเลือดภายในร่างกายของอีกคนยังคงแผ่กระจายออกมาจนรู้สึกได้ และไม่นับกลิ่นเลือดที่หอมเป็นเอกลักษณ์ยิ่งทำให้มุมปากหนายกยิ้มอย่างถูกใจ



    “ผมก็ไม่ได้มาเล่นๆเหมือนกันต้นตระกูล :)



    ลีเจโน่ได้แต่ยืนนิ่งจนแทบลืมลมหายใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่อันตรายกับตัวเองมากที่สุดคนนึงในตอนนี้..



    "เลือดคุณหอมมันโคตรจะหอม"



    "กล้าดียังไงมาแตะต้องตัวฉัน!!!" ความถือดีและหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวต้นตระกูลก็ยังคงไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย



    "โกรธแล้วเหรอต้นตระกูล ทำไมเสียงสั่นแบบนั้นล่ะ" ชายหนุ่มร่างสูงที่มีนัยน์ตาสีแดงเป็นเอกลักษณ์เอ่ยอย่างขบขัน เมื่อเห็นท่าทีของคนตัวขาวตรงหน้าที่ทำปากเก่งแต่น้ำเสียงนั้นกลับสั่นและเต็มไปด้วยความกลัว



    "อย่ามาจองหองใส่ฉัน โดยอง!!"



    "ผมชื่อคิมโดยองครับ กรุณาเรียกให้ถูกด้วย" รอยยิ้มที่ถูกแต่งเติมมุมปากกับดวงตาที่หยีโค้งนั่นอาจจะดูน่ามองแต่สำหรับลีเจโน่ที่รู้จักคนตัวสูงตาแดงนี่ดีกว่าใคร ย่อมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร



    "ก็แค่ตระกูลคิม.. ภูมิใจนักสิ ตระกูลกบฏอย่างพวกแกน่ะ อึก" มือใหญ่ที่ยังคงสัมผัสคอของต้นตระกูลเปลี่ยนมาเป็นกอบกุมรอบลำคอระหงของคนอวดดี ที่พูดจาดูแคลนกับตระกูลของตัวเอง



    "พูดใหม่อีกทีสิครับต้นตระกูล" มือใหญ่ออกแรงบีบลำคอขาวมากขึ้นจนเจโน่เริ่มจะหายใจไม่ออก ทั้งหงุดหงิด ทั้งอยากจะโทษทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองต้องกลายเป็นมนุษย์ที่ไร้ซึ่งความสามารถหรือพละกำลังที่จะต่อกร



    เป็นแค่มนุษย์ที่อ่อนแอ.. แค่เพียงลมหายใจหยุดลงนั่นก็เท่ากับความตาย...



    "อึก อะ..ไอ้พวกกบฏ" แววตาท้าทายของคนตัวขาวทำให้เจ้าของตาดุ ผลักร่างอีกคนให้พ้นทาง แรงสะบัดเพียงไม่มากแต่ก็ทำให้คนที่เป็นมนุษย์ยังไม่เต็มตัวนั่นล้มลงไปฟุบกองกับพื้นอย่างหมดท่าฃ



    "ใครกันแน่ที่กบฏต้นตระกูล คุณกลายเป็นมนุษย์แล้วจำไม่ได้หรอ?"



    "สู่รู้!!"



    "อะไรที่มันเกี่ยวกับพวกต้นตระกูลพวกผมก็สู่รู้แบบนี้ล่ะครับ"



    "แกต้องการอะไร"



    "ผมน่ะไม่... แต่คนอื่นน่ะมีแน่ครับ วันนี้ผมก็แค่แวะมาเล่นด้วย พอดีผ่านมาแถวนี้ได้กลิ่นเลือดหอมๆก็เลยตามมา แต่เข้ามาในบ้านต้นตระกูลซะอย่างนั้น.."



    "คิดว่าฉันจะเชื่อแกเหรอ" จะมีใครบ้ามาเดินเล่นแถวนี้กัน ทั้งห่างไกล ทั้งเต็มไปด้วยป่าทึบ



    "กลิ่นเลือดคุณมันส่งกลิ่นให้คลุ้งไปหมดแบบนี้  มันก็ลำบากคนได้กลิ่นนะครับ.. ระวังโดนขย้ำคอเอาล่ะ"



    "อย่ามาทำตัวเหมือนฉันเป็นมนุษย์!!"



    "ก็ต้นตระกูลเป็นมนุษย์แล้วหรือผมพูดอะไรผิด"



    "ฉันไม่ใช่!!!"



    "ออกไปให้ห่างจากต้นตระกูล" ชายหนุ่มร่างสูงเงยหน้ามองเจ้าของเสียงที่เดินเข้ามาใหม่ก่อนจะกระตุกยิ้มที่ริมฝากอย่างถูกใจ



    "ไม่ใช่เรื่องของพวกฮันเตอร์ อย่ามาวุ่นวายเลยดีกว่า"



    "น่าเสียดายที่คงจะต้องปฏิเสธ"



    "หึ ดูเหมือนว่าต้นตระกูลจะมีคนปกป้องเพิ่มขึ้นมานะครับ เดี๋ยวนี้หัดไปปรองดองกับพวกลูกครึ่งพวกนี้แล้วเหรอครับ" ดวงตาสีแดงทับทิมมองเยาะต้นตระกูลที่ถูกผยุงขึ้นมาจากความช่วยเหลือของคนที่เข้ามาใหม่  ถ้าคิมโดยองจำไม่ผิด หมอนี่มัน...



    "กลับที่ของคุณไปซะ ดูเหมือนว่าคุณกำลังทำผิดข้อตกลงอยู่อย่างไม่รู้ตัวนะครับ"



    "กฏอะไรไม่ทราบครับคุณฮันเตอร์"



    "คุณทำร้ายต้นตระกูล" นาแจมินเอ่ย ก่อนจะหันไปมองที่ลำคอขาวที่ขึ้นรอยนิ้วมือแดงเถือก



    "อ้อเหรอ... ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทำร้ายต้นตระกูล ผมเห็นแค่มนุษย์อ่อนแอคนนึงก็แค่นั้น"



    "คิมโดยอง!!!"



    "เป็นเกียรติมากครับที่เรียกชื่อจริงผม จำไว้ให้ดีล่ะลีเจโน่... สักวันคุณจะโดนกำจัดเหมือนที่พ่อกับแม่คุณเคยโดน" ร่างโปร่งพูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะวิ่งหายออกไปในชั่วพริบตา



    "ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!!!" คนตัวขาวตวาดใส่นาแจมินที่เข้ามาจับตามร่างกายของตัวเอง เพื่อสำรวจร่องรอยบาดแผลอื่นนอกจากบริเวณลำคอ



    "คุณ"



    "เพราะนายที่ทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นแบบนี้ ฉันต้องกลายเป็นมนุษย์อ่อนแอแบบนี้ก็เพราะนาย!!!"



    ใบหน้าขาวที่เริ่มขึ้นสีแดงเพราะความโกรธจัด เขาไม่เคยโดนใครดูถูกขนาดนี้มาก่อน คำว่ามนุษย์จากปากพวกเวรนั่นมันคือถ้อยคำดูถูกที่ยังกึกก้องในสมอง พวกมันคิดจะกำจัดเขาที่เหมือนกับที่เคยทำกับพ่อกับแม่ของเขากันอย่างนั้นสินะ



    "คุณฟังผมก่อนสิต้นตระกูล"



    "จะให้ฉันฟังอะไร คนที่ผิดมันก็คือนาย"



    "แล้วคุณไม่ใช่คนที่มากัดคอกินเลือดผมเองหรือไงต้นตระกูล!!" แจมินบีบไหล่เล็กของต้นตระกูลแรงๆเพื่อเรียกสติของอีกคนที่ยากจะควบคุม



    "ปล่อยฉัน อย่ามาจับ!!!"



    "ผมไม่ปล่อยจนกว่าคุณจะฟังผม"



    "ฉันเจ็บ ไอ้พวกชั้นต่ำ!!"



    "คุณจะดูถูกผมว่าต่ำยังไงก็ได้นะแต่คุณดูถูกตัวเองแบบที่กำลังทำอยู่แบบนี้ไม่ได้ คุณแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วต้นตระกูล"



    "ฉันไม่อยากเป็นมนุษย์ ไม่เอา..." คนตัวขาวส่ายหน้าแรงๆจนเส้นผมปลิวไม่เป็นทรงไปหมด "ฉันอยากได้สิ่งที่ฉันมีคืน รู้ไหมว่าฉันต้องรู้สึกยังไงกับการที่ต้องอยู่แบบนี้ มนุษย์มันอ่อนแอ ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องใช้ชีวิตแบบนี้"



    "เหตุผลมันไม่ใช่ว่ามนุษย์มันอ่อนแอ แต่เป็นคุณต่างหากที่อ่อนแอต้นตระกูล.. คุณมันอ่อนแอ คุณหวาดกลัวตั้งแต่เริ่มต้น.."  ดวงตาสีดำสนิทที่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาใสที่ถือดี ซึ่งลึกลงไปกลับเต็มไปด้วยความสั่นไหว



    "ผมปกป้องคุณได้ต้นตระกูล..." น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยอย่างหนักแน่นกับคนตรงหน้าที่ล้วนแล้วแต่สับสนในสิ่งที่กำลังเป็นอยู่



    "อย่างนายจะมาปกป้องอะไรฉันได้.. แค่ตัวนายเอาให้รอดก่อนเถอะ"



    "มากกว่าชีวิตผมก็ให้คุณได้..." แรงบีบที่ไหล่ทั้งสองข้างผ่อนลงก่อนจะดึงตัวคนตัวขาวเข้ามากอดแน่น มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเล็กที่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสั่นอยู่แค่ไหน เสียงโวยวายอู้อี้ที่หน้าอกตามประสาคนเอาแต่ใจไม่ใช่ปัญหาสำหรับแจมินเลยสักนิด



    ต้นตระกูลที่แสนถือตัวพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะดันตัวออกจากอีกฝ่าบ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพอหลังจากคืนนั้น กลิ่นของแจมินที่เคยทำให้เจ้าตัวหายใจไม่ออกในคราวนั้นกลับกลายเป็นกลิ่นที่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกดีและที่มากกว่านั้นคือ ก้อนเนื้อที่อยู่ในใจที่เต้นถี่ระรัวทุกครั้งจนรู้สึกร้อนไปทั่วหน้าเวลาที่อยู่ใกล้



    "นี่... ฉันอึดอัดนายปล่อยได้แล้ว" คนตัวขาวเอ่ยบอกเสียงแข็งเมื่อรู้สึกว่านาแจมินเริ่มกอดตัวเองนานขึ้นไปเสียแล้ว



    "ผมขอโทษที่ทำให้คุณอึดอัด"



    "อย่าพูดคำว่าขอโทษให้ฉันได้ยินอีก ฟังแล้วมันรู้สึกแปลกๆ แล้วจะปล่อยได้หรือยัง" ต้นตระกูลมองมาที่มือใหญ่ที่คงยังไม่ยอมละออกจากแขนของตัวเอง



    "ผมขอโทษ.."



    "ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าใช้คำนี้ ทำไมมนุษย์ถึงเข้าใจอะไรยากแบบนี้!" คนตัวขาวบ่นอุบ ก่อนจะผลักอีกให้พ้นทางเดินของตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป



    "โอ๊ะ!!" เสียงแหลมร้องเหวเมื่อแค่เพียงก้าวเดินต่อไปแค่ก้าวเดียว ความเจ็บที่ข้อเท้าก็เล่นเข้ามาจนเกือบที่จะล้มลงไปกับพื้น แต่ยังดีที่มีมือของใครบางคนที่คว้าตัวของคนตัวขาวไว้ได้ทัน



    "เจ็บเท้าเหรอคุณ"



    ต้องเป็นเพราะตอนที่โดนผลักแน่ๆ เขาถึงเจ็บแบบนี้ เวรเอ้ย



    "อย่าให้ฉันเจอนายอีกนะคิมโดยอง.."



    "หมอนั่นเหรอ?"



    "อย่าไปสนใจเลย ก็แค่มากวนประสาทฉัน"



    "แค่กวนแต่เล่นแรงจังนะครับ"



    "ที่มันแรงเพราะว่าฉันเป็นมนุษย์น่ะสิ หมอนั่นถึงทำแบบนั้นได้"



    "เข้าบ้านเถอะครับ คุณออกมาตากลมแบบนี้นานๆเดี๋ยวจะไม่สบายเอา"



    "เป็นมนุษย์นี่มันข้อห้ามเยอะแยะจริงๆ" คนตัวขาวก็ยังไม่วายบ่นไปเรื่อยขณะที่เดินเข้าไปในบ้านโดยมีอีกคนคอยประคองเป็นระยะ






    "นี่!!!"



    คนตัวขาวที่นั่งอยู่บนโซฟาหรูเอ่ยเรียกฮันเตอร์หนุ่มที่นั่งนวดข้อเท้าให้ตัวเองอยู่ แน่นอนว่าชายหนุ่มตาคมเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่โกรธเคืองแต่อย่างใดที่อีกคนเรียกจิกแบบนั้น



    "ว่าไงครับ?"



    "เมื่อกี้ตอนที่นายกอดฉัน ทำไมฉันไม่รู้สึกหายใจไม่ออกแบบวันนั้น ตอนได้กลิ่นจากตัวนายฉันก็รู้สึกแปลกๆ"



    "ก็ไม่เห็นแปลกเลยครับ คุณผูกพันธะกับผมไปแล้ว"



    "อย่าพูดถึงเรื่องนั้น...."



    "คุณใจแข็งมากเลยนะต้นตระกูล"



    "อย่ามาไร้สาระ"



    "ก็ผมรักคุณ... ไม่มีอะไรที่ผมต้องปิดบังความรู้สึกของตัวเอง"



    "ต่อให้ผูกพันธะกับนายแล้วฉันก็ไม่มีวันรักคนแบบนาย!!!"



    "หวังว่ามันจะเป็นอย่างที่คุณพูดได้แล้วกันนะครับ ถ้าวันนึงคุณเกิดรักผมขึ้นมาล่ะก็....."



    "ไม่มีวัน!!!"



    "คุณมันใจร้ายต้นตระกูล"



    "เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ นอกประเด็นไปใหญ่แล้ว"



    "...."



    "ฉันรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแรงมากๆตอนที่นายเข้ามาใกล้ฉัน มันร้อนไปหมด"



    "อาการที่คุณว่าน่ะ..."



    "?"



    "มันก็เพราะคุณเริ่มที่จะขาดผมไม่ได้แล้วไงล่ะเจโน่"



    "อย่ามาเรียกชื่อฉันแบบนั้น.."



    "ให้ผมเรียกคุณว่าต้นตระกูลแบบนั้นมันเมื่อยปากจะตายแล้ว เรียกเจโน่แล้วเหมาะกับคุณดี"



    "ลามปาม"



    "คนที่ผูกพันธะกันและกันมันก็มักจะเป็นแบบนี้ล่ะครับ ไม่ใช่คุณที่รู้สึก ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ยิ่งผมเห็นคุณเจ็บ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเจ็บไปด้วย"



    "...."



    "ให้ผมดูแลคุณเถอะเจโน่"



    "...."



    "พวกนั้นไม่ปล่อยคุณไว้แน่ๆ"



    เจโน่นึกย้อนถึงคำพูดของคนที่บุกเข้ามาในบ้าน ทั้งยังทำอุกอาจจนเกินกว่าที่คาดคิด คิมโดยองเป็นลูกหลานตระกูลคิมที่ไม่ถูกคอกับตระกูลของเจโน่มาแต่ไหนแต่ไร เรียกได้ว่าแก่งแย่งกันมาตลอดแต่ทางฝั่งนั้นก็ไม่เคยทำสำเร็จได้สักครั้ง  ที่ยิ่งกว่าคือถ้าเรื่องต้นตระกูลเปลี่ยนเป็นมนุษย์รู้ถึงหูพวกในสมาคม ลีเจโน่ก็คงไม่มีทางอยู่อย่างเป็นสุขแน่นอน 



    พวกแปลกประหลาดต้องถูกกำจัด ข้อนี้ใครก็รู้ดี ซึ่งมันก็เข้าทางกับพวกตระกูลที่จ้องจะทำลายต้นตระกูลให้สิ้นซาก ป่านนี้ก็คงจะวิ่งแจ้นไปบอกทางพวกสมาคมกันเรียบร้อยแล้ว



    "ยังไงก็ต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือไง"



    "ผมไม่ยอมให้คุณตายหรอก ถ้าคุณอยู่กับผม.."














    "พวกนั้นรู้เรื่องนี้แล้ว อีกไม่นานพวกคนในสมาคมก็ต้องรู้" แจฮยอนที่เดินวนรอบๆ ตัวของต้นตระกูลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด



    "แล้วฉันก็จะถูกกำจัด..." ริมฝีปากอิ่มเอ่ยต่อประโยคของคนสนิท รอยยิ้มบางๆที่ประดับบนใบหน้ากับดวงตาที่ไม่ได้ยิ้มตามันก็แค่การปกปิดความอ่อนแอของตัวเองเพียงเท่านั้น



    "พวกในสมาคมไม่กล้าทำอะไรคุณหรอกต้นตระกูล"



    "อย่ามาหลอกกันเลย ใครที่เป็นพวกทรยศมันก็ต้องถูกกำจัดทั้งนั้น"



    "แต่คุณไม่ได้ทรยศ"



    "แล้วตอนนี้ฉันเป็นอะไรล่ะ... ต้นตระกูลเหรอ? ไม่สิ ตอนนี้ฉันเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆคนนึง หรือนายจะบอกว่าไม่จริง"



    ลมหายใจกับก้อนเนื้อในอกที่มันเต้นอยู่ ผิวกายที่ฝ่ามือสัมผัสที่ยังอุ่นที่ต้นคอของตัวเอง 



    "คุณยังไม่ได้เป็นมนุษย์เต็มตัวต้นตระกูล ผมรู้สึกได้ กลิ่นของคุณมันผสมทั้งกลิ่นของคุณเองกับกลิ่นของนาแจมิน..."



    "กลิ่นของแจมิน?"



    "คุณลืมไปแล้วรึไงว่าคุณผูกพันธะกับแจมินไปแล้ว เลือดในตัวครึ่งนึงของคุณมันรวมกับของหมอนั่น"



    "อย่าพูดถึงแจมินได้ไหม!!" เสียงแหบเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อคนสนิทเอ่ยถึงใครอีกคนที่ทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้



    "คุณปฏิเสธเขาไม่ได้หรอกต้นตระกูล..."



    "เพราะหมอนั่นที่ทำให้ฉันต้องกลายเป็นแบบนี้"



    "บางทีผมว่ามันอาจจะถึงเวลาแล้วต่างหากต้นตระกูล.."



    "เวลาอะไรของนายแจฮยอน..." คนตัวขาวละสายตาจากสิ่งตรงหน้าหันมามองคนสนิทที่มองมาที่ตนด้วยสายตาที่จริงจังกว่าทุกครั้ง



    "คุณรู้ใช่ไหมว่ารอยสักที่แขนคุณมันคืออะไร..." แจฮยอนเอ่ยพลางเหลือบมองรอยสักที่พาดอยู่บนข้อแขนขาวอย่างเด่นชัด



    "มันไม่ใช่รอยสัก"



    "ถูก มันไม่ใช่รอยสัก"



    "มันคือตราบาป.." เจโน่พึมพำออกมาเสียงเบาเมื่อนึกถึงประโยคที่ได้ยินอยู่บ่อยๆจากใครสักคนที่ไม่เคยเห็น ทุกครั้งที่เจ็บปวดจากรอยนี่ไม่ใช่แค่เพียงความเจ็บปวดที่ทำให้ปวดร้าวไปทั่วทั้งร่างกาย แต่เสียงของใครสักคนที่เอาแต่พูดประโยคนั้นซ้ำๆ จนแทบจะอาเจียน



    “ผมขอโทษที่ไม่เคยบอกคุณเรื่องนี้ต้นตระกูล ผมว่ามันถึงเวลาที่คุณจะรู้ความจริงสักที”



    “ความจริงอะไร... นายปิดบังอะไรฉัน” คนตัวขาวรู้สึกได้เลยว่าหัวใจตัวเองมันเต้นแรงขึ้นจนต้องหายใจเข้าออกให้มากขึ้น สิ่งที่เจโน่สงสัยมาตลอดก็คือรอยสักฮิกันบานะที่แขนที่ทำให้ตัวแอบแทบใจจะขาดทุกครั้งที่มันกลับคืนขึ้นมามีชีวิต



    “จริงๆแล้วคุณเป็นมนุษย์ คุณไม่ได้เป็นแบบพวกเรา..”



    “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน นายพูดอะไรออกมา”



    “พ่อกับแม่ของคุณที่เป็นต้นตระกูลจริงๆ เขาช่วยคุณไว้จากพวกตระกูลคิม ก่อนที่คุณจะถูกพวกนั้นฆ่า ผมไม่รู้จะพูดยังไงให้คุณเข้าใจต้นตระกูล เรื่องมันนานมากแล้วจริงๆ พวกตระกูลคิมเคยฝ่าฝืนคำสั่งของสมาคม พวกนั้นฆ่ามนุษย์สองคน แต่พวกนั้นไม่ยอมฆ่าเด็กที่เป็นลูกของผู้ชายกับผู้หญิงที่โชคร้ายคนนั่น" ดวงตาสีเข้มเริ่มสั่นไหวหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่แจฮยอนกำลังเล่า “เด็กคนนั้นก็คือคุณ...”



    "แล้วถ้าฉันเป็นเด็กคนนั้น ทำไมฉันถึงเป็นแบบพวกนาย"



    แจฮยอนยกยิ้มที่เจโน่มองว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดที่เห็นมา “พวกเขาเปลี่ยนคุณ.. เลือดบริสุทธิ์ของต้นตระกูลที่อยู่ในตัวคุณมาจากพวกเขา ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงช่วยคุณ ทั้งๆที่ความจริงพวกเขาปล่อยให้คุณตายก็ได้ ถึงการเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นแวมไพร์ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่มันผิด ที่คนที่เปลี่ยนคุณเป็นต้นตระกูลที่มีเลือดบริสุทธิ์ นั่นเป็นข้อห้ามของทางสมาคม... ส่วนดอกฮิกันบานะที่อยู่บนแขนคุณ มันเป็นตราบาปที่พวกตระกูลคิมทิ้งไว้ให้คุณดูต่างหน้า.. แต่ผมเองก็ไม่มั่นใจเรื่องตราบาปของคุณเท่าไหร่นัก"



    "พวกเขาต้องตายก็เพราะฉัน"



    "เพราะพวกนั้นต่างหาก พวกนั้นหวังทำลายต้นตระกูลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร"



    "แล้วทำไมพวกนั้นถึงปล่อยฉันไว้ถึงตอนนี้ ถ้าฆ่าฉันตั้งแต่แรกก็จบ"



    "มันโจ่งแจ้งเกินไปในตอนนั้น พวกต้นตระกูลพึ่งตาย ถ้าฆ่าเพิ่มอีกคนทางสมาคมคงจะสงสัย จริงๆพวกเรามันก็ไม่ต่างกับมนุษย์เสียเท่าไหร่หรอกครับ เรื่องชิงดีชิงเด่นกันมันมีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น"



    "ถ้างั้นตอนนี้ฉันคงโดนพวกมันจ้องเล่นงานแล้วสิ"



    "แน่นอนครับ พวกนั้นจ้องคุณมาตั้งนานแล้ว แล้วที่คุณบอกว่าโดยองมาที่นี่เมื่อเย็น พวกมันคงส่งมาดูมากกว่าว่าคุณเป็นยังไง”



    "ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้นะ" เจโน่ถอนหายใจออกมาหนักๆ ทำไมความรู้สึกของมนุษย์มันถึงอ่อนแอยากที่จะควบคุมแบบนี้ นี่สินะ ความตายที่พวกนั้นต่างหวาดกลัว



    "คุณกลัว.."



    "กลัวสิ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในที่ที่มองศัตรูไม่เห็น จะตายตอนไหนก็คงไม่รู้ตัว"



    "พวกนั้นคงยังไม่กล้าทำอะไรคุณหรอกตอนนี้หรอก"



    "ถ้าฉันตายเรื่องทุกอย่างจะจบใช่ไหม"



    "ทำไมคุณพูดแบบนั้น"



    "พวกนั้นจะได้ในสิ่งที่ต้องการไปไง"



    "มันไม่จบแค่นั้นหรอกครับ พวกนั้นไม่ได้รักสงบแบบพวกเรา ถ้าพวกนั้นได้ขึ้นเป็นใหญ่ทั้งมนุษย์หรือทั้งแวมไพร์อย่างเราต้องเดือดร้อนไม่ต่างกันแน่ๆ ต่อให้มีกฎของพวกฮันเตอร์ไว้พวกนั้นก็คงไม่สน"



    "แล้วฉันจะช่วยอะไรได้ ขนาดช่วยตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย"



    "ยังไงคุณก็คือต้นตระกูล.. คุณยังเป็นต้นตระกูลจำเอาไว้" แจฮยอนว่าก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอดคนตัวขาวเพื่อปลอบประโลมคนที่กำลังหวาดกลัว



    กลิ่นหอมหวานของเลือดมนุษย์ที่ยั่วยวนใจแวมไพร์หนุ่มจนยากที่จะควบคุม ทั้งกลิ่นเลือดหอมหวานที่ลอยฟุ้งกับกลิ่นของเจโน่ผสมกันจนมั่วไปหมด แรงกอดรัดที่ร่างกายอุ่นๆ ยิ่งกอดรัดมากขึ้นเมื่อจมูกโด่งเริ่มสูดดมไปตามลำคอขาวจนสัมผัสกับผิวเนื้ออุ่นๆของร่างขาว



    “จะ..แจฮยอน” ต้นตระกูลตัวขาวออกแรงดันคนสนิทให้ออกห่างจากตัวเองแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อแรงที่มากกว่าของแจฮยอนที่กอดรัดนั่นมากเกินกว่าแรงขอเจโน่จนเกินไป



    “อยู่นิ่งๆต้นตระกูล..” แจฮยอนกดเสียงต่ำอย่างสะกดอารมณ์ที่กำลังก่อตัวให้ร่างขาวอยู่นิ่งๆ



    เจโน่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อตามคำสั่งของคนสนิททันที ยิ่งริมฝีปากเย็นๆ สัมผัสต้นคอก็ยิ่งทำให้เจโน่ออกแรงจิกที่บ่าของอีกคนแน่น หัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเพราะความตื่นตกใจกับการกระทำของแจฮยอน 



    นี่ล่ะอันตรายที่สุด ยิ่งมีกลิ่นเลือดมนุษย์มันยิ่งยากที่จะหยุดยั้งอารมณ์หรือชั่งใจกับอาหารตรงหน้าที่สามารถตกเป็นเหยื่อของตัวเองได้



    ดวงตาแจฮยอนวาวโรจน์ขึ้นมาชั่ววูบที่สัมผัสกับผิวเนื้ออุ่นๆ ของต้นตระกูล เส้นเลือดที่ต้นคอของอีกคนที่มันล่อตาล่อใจแวมไพร์หนุ่มอย่างถึงที่สุด แต่เสียงหัวใจที่เต้นถี่ระรัวของอีกคนที่ดังชัดเจนอยู่ที่หู แต่แรงสั่นน้อยๆ ในอ้อมกอดทำให้แวมไพร์ตัวขาวซีดได้สติก่อนที่จะทำอะไรมากไปกว่านี้



    "ผมขอโทษต้นตระกูล" แจฮยอนผละตัวออกจากต้นตระกูลตัวขาวที่ก้าวถอยหลังออกห่างจากแจฮยอนเช่นกัน แขนขาวดึงเสื้อสีขาวที่ถูกร่นไปกองที่ลาดไหล่ให้ขึ้นมาตามเดิมก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป



    "อย่าทำแบบนี้กับฉันอีก" เสียงแหบที่พยายามจะทำเสียงให้นิ่งที่สุดกลับกลายเป็นสั่นที่สุด



    "มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกครับ" 




    "ให้ตายสิ ต้นตระกูล ผมปล่อยให้คุณคลาดสายตาไม่ได้เลยจริงๆ" เสียงของบุคคลที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เจโน่เกลียดนักหนาที่ส่งมาให้อย่างตั้งใจก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเดินตรงเข้าไปหาคนตัวขาวโดยแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของด้วยการโอบกอดอีกคนเข้ามาหาตัวเอง



    "นายเข้ามาทำไม"



    "ได้ยินคุณร้องเรียกหาผม ผมก็เลยมา" แจมินว่าก่อนจะก้มลงไปใกล้ใบหน้าของอีกคนที่พยายามจะเบี่ยงหนี



    "ตลก ฉันไปเรียกนายตอนไหน"



    "คุณคิดอะไรผมก็รู้หมดนั่นล่ะ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ผมจะรู้ถึงความรู้สึกหรือความคิดของคุณ"



    "นาย!!"



    "แจมินครับ นาแจมิน" แจมินยังไม่วายแกล้งอีกคนที่โกรธจนหน้าแดง น่าขำจริงๆที่อีกคนตกอยู่ในอันตรายภายในจิตใจที่ร่ำร้องเรียกชื่อของเขาจนดังก้องหูไปเสียหมด



    "ผมขอตัวก่อนนะครับ" แจฮยอนว่าก่อนจะเดินหมุนตัวหันหลังเดินออกจากห้อง



    "อย่ายุ่งกับคนของผม..." แจมินเอ่ยเสียงเรียบ จงใจให้คนที่กำลังเดินออกไปได้ยิน ใช่ว่าแจมินจะไม่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฮันเตอร์หนุ่มเพียงแค่ยืนมองว่าแจฮยอนจะทำอะไรเจโน่เสียมากกว่า แต่ก็ยังดีที่แจฮยอนยังคงมีสติยับยั้งใจของตัวเองได้



    "ปล่อยได้แล้ว!!" คนตัวขาวสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของแจมินที่รัดแน่น แต่ก็แจมินก็เพียงแค่แกล้งหยอกให้อีกคนโกรธก็แค่นั้น ยิ่งเห็นต้นตระกูลหงุดหงิดก็ยิ่งถูกใจ



    "ทีกับผมหล่ะรังเกียจนัก"



    "อย่ามาหาเรื่อง" คนตัวขาวว่า



    "ผมไม่ได้หาเรื่อง ผมพูดเรื่องจริง ให้ตายสิ หึงคุณชะมัด" แจมินพูดออกมาหน้าตายเหมือนพูดปกติทั่วไป



    "อย่ามาพูดจาแบบนี้กับฉัน"



    "ผมพูดความจริงก็ยังไม่ยอมรับ.. คุณนี่มันยังไง"



    "...."



    "ในเมื่อคุณเป็นของผม ทำไมผมจะไม่มีสิทธิหวง"






    #myjmn 






    ตอนหน้าต้องจบแน่ๆค่ะ!!! 





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
yok0799 (@yok0799)
แพรวพราวนักนะแจมิน นายมันร้าย