เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My Jninezexsky
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน HIGANBANA 1




  • Note : ค่อยๆอ่านนะคะ เนื้อเรื่องในตอนนี้ค่อนข้างยาว 










    ชีวิตที่วงเวียนอยู่ในวงจรเดิมๆ คงเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย ปีแล้วปีเล่าที่ต้องใช้ชีวิตซ้ำๆเดิมๆพวกนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้พวกนี้ มันก็เหมือนการชดใช้บาปกรรมที่เคยได้สร้างไว้ 



    ชายหนุ่มรูปร่างสมส่วน ที่สวมใส่กางเกงเข้ารูปรัดกับช่วงขาเรียวยาวของเจ้าตัว เสื้อสีดำสนิทซึ่งตัดกับผิวขาวน้ำนมคว้านลึกจนเผยให้เห็นแผ่นอกบางสะท้อนต้องแสงไฟ ท่อนแขนขาวที่ประดับด้วยรอยสักของดอกฮิกันบานะสีดำที่ตัดกับผิวขาว ยังคงแฝงไปด้วยความอันตรายไม่ต่างจากฮิกันบานะสีแดงสด ลวดลายสีดำสนิท แม้จะดูงดงามด้วยลายเส้น แต่สำหรับใครที่รู้ความหมายของรอยสักนี้แล้วล่ะก็คงได้ถอยห่างกันอย่างไม่ต้องพูดถึง 



    ถึงจะอันตรายแต่ก็มีคนผู้คนไม่น้อยยังคงสนใจในความงดงามของเจ้าของรอยสักนี้



    นัยน์ตาสีดำสนิทที่เหมือนท้องฟ้าในยามค่ำคืนนั้นกวาดมองไปรอบตัวด้วยสายตาเฉยชา ผู้คนมากมายแม้จะรายล้อมอยู่รอบตัวแต่กลับไม่มีใครสักคนที่ทำให้เจ้าของผิวขาวพอใจ เสียงดนตรีภายในสถานที่นี้ยังปลุกเร้าอารมณ์ของคนที่เข้ามาใช้บริการให้เพิ่มสูงยิ่งขึ้น ไหนจะกลิ่นของน้ำหอมราคาแพงที่ลอยฟุ้งไปทั่ว 



    ไม่นับสิ่งเสพติดผิดกฎหมายอีกนับไม่ถ้วนที่อยู่ในกรอบสายตาก็ดูจะเป็นที่ชินตากับคนที่เห็นอะไรมามากมายนักต่อนัก  



    เงินที่ถูกละลายไปกับการเสเพลหรือหาความสุขให้กับตัวเองในสถานบันเทิงก็คงไม่พ้นงานบริการ งานบริการที่สัมผัสจับต้องได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอากลับไป.. 



    มันก็ก็เหมือนกับการลิ้มรสของอาหารชั้นเลิศ โอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้สัมผัสนั้นคงจะเป็นที่ติดตราตรึงในความทรงจำ  เพราะครั้งต่อไปอาหารชั้นเลิศที่เคยเป็นสิ่งที่คุณเลือก จะกลับกลายมาเป็นผู้ที่เลือกผู้ที่จะมาลิ้มรสชาติของความหอมหวานต่อไป 



    และมันคงไม่มีทางที่จะให้โอกาสคุณเป็นครั้งที่สอง... 



    หลายคนที่ต่างรับรู้ถึงกฎข้อนี้ดี แต่ก็ยังอยากลิ้มลองในความหอมหวานที่อาบยาพิษนั่น ตักตวง กัดกิน ลิ้มลอง อย่างตะกละตะกลาม และโชคชะตาของพวกโลภมากก็มักจะมีจุดจบที่ไม่สวยงามสักเท่าไหร่นัก




    "ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนไหมครับ" ใบหน้าขาวหันมามองทางต้นเสียงอย่างช้าๆ ดวงตาเรียวตวัดกลับจ้องมองที่อีกฝ่ายด้วยสายตาแสนยากจะคาดเดา จนทำให้ชายหนุ่มหน้าตาดีที่ต้องการเข้ามาสานสัมพันธ์อดประหม่าไม่ได้ 



    นอกจากจะขึ้นชื่อว่าอันตรายแล้ว ท่าทีหยิ่งผยอง กับนิสัยที่เป็นคนช่างเลือกก็ทำให้หลายๆคนที่เข้ามาพากันกินแห้วไปนักต่อนัก แต่ก็ว่าใช่จะไม่มีคนที่ต้องตา 



    หากได้เพียงแค่ต้องตาก็จะใช่ว่าจะต้องใจ ความสัมพันธ์เพียงแค่ข้ามคืน เมื่อรุ่งเช้าก็ไม่ทิ้งร่องรอยหรือเยื่อใยความสัมพันธ์



    "ผมอยากอยู่คนเดียว" ริมฝีปากสีฉ่ำเอื้อนเอ่ยความต้องการของตนเองออกไป ก่อนจะยกยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย และแน่นอนว่ารอยยิ้มของร่างโปร่งก็ยังใช้ประโยชน์ได้ดี จนผู้ชายหน้าหล่อที่คิดจะสานสัมพันธ์ในคืนนี้ยอมล่าถอยไปโดยดี แต่ก็ยังไม่วายไม่ละความพยายาม



    "ถ้าแบบนี้ วันหลังคุณห้ามปฏิเสธผมแล้วนะ" เสียงนุ่มทุ้มฟังระลื่นหูเอ่ย ก่อนจะวางแก้วเครื่องดื่มสีสวยลงบนโต๊ะ  "ถ้าไม่รังเกียจผม ก็หมดแก้วนะครับ"



    “อย่าลืมแล้วกันครับ”  ลีเจโน่ ตอบอย่างมีมารยาท ทว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ ของบางอย่างที่ลอยมาเตะจมูกทำให้ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความเฉื่อยชากลับเต็มไปด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นตัว ดวงตาคู่สวยสอดส่ายหาเจ้ากลิ่นที่ว่าไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบกับอะไร นอกจากผู้คนมากมายที่เอาแต่ตักตวงความสุขของตัวเองอย่างน่าไม่อาย



    “พร้อมกันรึยังครับกับความพิเศษในคืนนี้” เสียงดีเจที่อยู่บนเวทีดังขึ้นในหูของลีเจโน่อย่างชัดเจน จนร่างขาวต้องกลับไปสนใจบนเวที ที่มีร่างของดีเจตัวสูงยืนเด่นอยู่บนนั้น สิ่งที่เจโน่พอจะจับใจความได้ก็คือ สเปเชียลสเตจวันนี้จะมีแร็ปเปอร์คนพิเศษขึ้นมาแสดง ชื่อที่เจโน่ไม่คุ้นเคย


    แต่กลับน่าสนใจตรงที่ เจโน่ได้กลิ่นของสิ่งที่ตัวเองกำลังหาอยู่ชัดขึ้น เมื่อแร็ปเปอร์ตัวสูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมาบนเวที



    “นาแจมินงั้นเหรอ...” ริมฝีปากสีฉ่ำพึมพำชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ ในขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องที่ร่างสูงที่เด่นสง่าอยู่บนเวทีอย่างไม่ละสายตา เช่นเดียวกันกับคนบนเวทีที่มองตรงมายังคนตัวขาวซึ่งแทบจะเรืองแสงได้แม้ในความมืด ริมฝีปากฉ่ำน้ำสีสดนั่นกำลังเรียกชื่อตัวเองเหมือนกำลังจะสะกดแจมินให้มองแต่คนๆ นั้น จนสุดท้ายแล้วสติของนาแจมินก็ถูกดึงกลับมาเพราะเสียงเรียกของเพื่อนของตนที่ทำหน้าที่เป็นดีเจอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล



    มุมปากสีเข้มยกยิ้มเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูท่าทางสับสนไม่น้อย เมื่อเห็นตัวเองมองอยู่ ยิ่งอีกคนตื่นเต้นมากเท่าไหร่ กลิ่นหอมอ่อนๆแบบที่เจโน่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนมันยิ่งส่งกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น กลิ่นที่ปลุกสัญชาติญาณบางอย่างในตัวของเจโน่...



    มือเรียวสวยกำแก้วเหล้าสีเข้มในมือแน่นจนขึ้นข้อขาว เปลือกตาสีอ่อนปิดลงอย่างยับยั้งชั่งใจในความรู้สึกปั่นป่วนที่ก่อตัวอยู่ในตอนนี้ ทั้งกลิ่น ทั้งน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แหบพร่านั่น..  มันคืออะไรกัน?



    ร่างขาวขบริมฝีปากตัวเองแน่นจนได้กลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้งอยู่ในปาก จนในที่สุดร่างสูงโปร่งก็ทนไม่ไหว จนต้องลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก 



    ไม่ไหว... ถ้าขืนอยู่ในนี้ต่อไปไม่ไหวแน่ๆ



    บรรยากาศด้านนอกที่สงบกว่าด้านใน ทำให้เจโน่รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อยแต่ก็ยังคงปั่นป่วนไม่จางหาย ความรู้สึกที่เหมือนต้องการแต่กลับอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก นี่มันอะไรกัน



    “แปลก...” เสียงทุ้มเหมือนผู้ชายทั่วไปเอ่ยขึ้น ใบหน้าขาวแหงนหน้าขึ้นฟ้าก่อนจะหลับตาและสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเข้าไปจนเต็มปอด แต่ก็ไม่วายหวนนึกถึงเสียงของใครคนนั้น



    ไม่ใช่แค่แปลกธรรมดาแต่แปลกมากๆ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกแบบนี้เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้น  เหมือนกับ....



    “ไม่แปลกหรอกครับ” เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยขึ้นมาด้านหลังทำให้เจโน่ตกใจเล็กน้อย ด้วยความที่ร่างขาวเดินออกมาสูดอากาศนั้นค่อนข้างจะเงียบและเป็นส่วนตัว เนื่องจากเป็นส่วนที่เป็นมุมพักผ่อนสบายๆของผับที่ถูกแยกไว้ให้กับคนที่ต้องการผ่อนคลายอารมณ์ โดยไม่ต้องพึ่งเสียงดังๆแบบในผับนั่น



    พับผ่าสิ !!!



    ผู้ชายคนนั้น ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้....



    “คุณ....” เสียงของเจโน่หายเข้าไปในลำคอ เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ตัวเองเรื่อยๆ แม้จะตกใจไม่น้อยแต่เจโน่ก็เลือกที่จะเบี่ยงตัวหนี แล้วก้าวเดินเร็วๆ หนีอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้ที่อยู่ระยะห่างพอสมควรกลิ่นมันยังชัดเจนในจมูกของเขาขนาดนั้น 



    นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ระยะห่างเพียงไม่กี่เมตร ทุกอย่างมันยิ่งชัดเจนขึ้นกว่าเดิม หอมแบบที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน 



    แม้จะหอมแต่ก็ทำให้ตัวของเจโน่อึดอัดจนรู้สึกสับสนในความผิดปกติของร่างกายตัวเอง... ถ้าหากร่างกายของเจโน่สามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายได้ตามความรู้สึกอย่างที่มนุษย์ทำได้ เขาก็คงตัวเย็นเฉียบเพราะความหวั่นกลัวไปแล้ว



    แต่เพราะเขาไม่ใช่.. ทุกอย่างมันถึงยังได้เหมือนเดิม



    “จะรีบไปไหนครับ” ถึงแม้ว่าจะเดินเลี่ยงมาแล้วก็ตาม ก็ยังไม่วายที่อีกคนจะเดินตามมา ก่อนที่ข้อแขนขาวจะถูกคว้าด้วยมือที่ใหญ่กว่า 



    “ปล่อย ผมอึดอัด” เจโน่สะบัดแขนด้วยแรงไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมือใหญ่กว่าได้ แรงบีบที่ข้อมือที่แรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกเจ็บไปถึงกระดูก... นานแล้วที่เจโน่ไม่ได้สัมผัสกับความเจ็บปวดแบบนี้ 



    ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถมีแรงพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดได้แบบคนตรงหน้า...



    นอกเสียจากหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา



    “อึดอัดอะไรล่ะครับ” แขนแกร่งอีกข้างคว้าเอวของอีกฝ่ายเข้ามาหาตัวเอง จนตนเองเป็นฝ่ายกอดร่างสูงโปร่งจากทางด้านหลัง



    “ผมบอกให้ปล่อย !!” ความอึดอัดจากอีกฝ่ายทำให้ร่างโปร่งเริ่มหงุดหงิด ดวงตาที่เคยเป็นสีดำสนิทแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง..... 



    “ไม่เอาหน่า.. คุณสู้ผมไม่ได้หรอก พวกตระกูลสูงส่งแบบคุณมันอ่อนแอจะตายไป”



    “พูดบ้าอะไรของนาย”



    “โชคดีของผมจริงๆ ที่วันนี้ดันมาเจอพวกต้นตระกูล...”  แรงกอดรัดที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนเจโน่นิ่วหน้า ไม่ผิดอย่างที่เอะใจเลยสักนิด 










    NA JAEMIN PART 




    “มองไม่วางตาเลยนะมึง” เสียงของเพื่อนสนิทที่ดังขึ้นข้างหูไม่ได้ทำให้นาแจมิน ละสายตาจากร่างโปร่งของอีกคนได้... 



    “ทำไมไม่เคยบอกว่ามีพวกต้นตระกูลอยู่แถวนี้”



    “ก็เขาไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน...”



    “มั่นใจขนาดนั้นเชียว”



    “แล้วจ้องเขาขนาดนั้น คงไม่ปล่อยเหยื่อที่เล็งไว้ ให้ดิ้นหลุดเหมือนเคยสินะนาแจมิน” เสียงหัวเราะร่วนของเพื่อนสนิทที่เรียกได้ว่ารู้ใจกันทุกอย่าง



    “ก็ไม่แน่..”





    ประโยคสนทนาก่อนหน้านี้ที่อยู่ในหัวของนาแจมิน ทำให้เจ้าตัวยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เห็นหน้าตาแบบนี้แต่พยศเป็นบ้า ไหนจะลูกเล่นที่สารพัดจะมาหลอกล่อเขาให้ตายใจจนเกือบเผลอปล่อยไปก็หลายรอบ 



    จนสุดท้ายกว่าจะกำราบให้อยู่เฉยๆได้ก็คงต้องใช้วิธีนี้เป็นวิธีสุดท้าย....



    แรงมากมายที่ลากตัวของร่างโปร่งเข้ามาในห้อง ก่อนจะปิดประตูด้วยแรงไม่เบานัก แว่วได้ยินเสียงของอีกฝ่ายสบถหยาบคายมาไม่น้อย... อย่างที่นาแจมินจับใจความได้ทันก็คง ไอ้พวกชั้นต่ำที่กล้าดีมาสู่รูุ้เรื่องของตัวเอง



    “เลิกดิ้นสักทีไม่เหนื่อยบ้างหรือไง”



    “ถ้าเหนื่อยก็ปล่อยสิวะ”



    “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ปล่อย.... ยังไม่ได้เล่นกับคุณเลย ผมจะปล่อยได้ยังไง”



    “ต่ำ !! แค่พวกชั้นต่ำอย่างแกมาจับฉัน มันก็มากเกินพอแล้ว”



    “รู้หรือว่าผมเป็นใคร...” จมูกโด่งซุกไซ้เข้าที่ซอกคอขาวจนเจโน่เชิดหน้าขึ้น พยายามที่จะเบี่ยงหน้าหนี มือขาวเริ่มจิกเข้าที่แขนอีกฝ่ายจนเลือดซิบ แต่ก็ไม่ทำให้คนที่ตัวใหญ่กว่าสะทกสะท้าน.. ในความมืดที่ดวงตาของเจโน่เด่นชัดเพราะสีทอง.. แต่นาแจมินกลับมีดวงตาสีปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง.... ซึ่งแตกต่างกับร่างขาว



    “พวกชั้นต่ำ!!”



    “ชั้นต่ำอะไรจะทำให้คุณสนใจได้ขนาดนี้” เสียงทุ้มกระซิบใกล้ๆใบหูขาว ก่อนจะแกล้งขบเบาๆจนอีกฝ่ายเริ่มดิ้น ร้องโวยวายจนเสียงดัง คงจะอึดอัดล่ะสิท่า



    “....”



    “ไม่เอาน่า.. อย่าปฏิเสธเลยว่าคุณก็สนใจผมเหมือนกัน”



    “....”



    “ไม่งั้นคุณคงไม่เรียกชื่อผม...”



    ได้ยินเสียงอีกคนร้องเหอะออกมาเบาๆ แต่มันชัดเจนสำหรับนาแจมิน ด้วยระยะห่างที่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันแค่นี้



    “เรียกชื่อต้องสนใจด้วยรึไง” ปากแข็งจริงๆเลยนะ...



    “คุณโกหก...” โกหกได้ดังมากจริงๆ ที่บอกว่าชัดเจนสำหรับนาแจมินคือความคิดของอีกฝ่ายต่างหากที่ดังชัดเจนในหูของเขาขนาดนี้



    “....”



    “ตอนนี้น่ะ คุณกำลังสับสนอยู่ต่างหาก... ว่าผมคือใคร...”



    “สู่รู้!!”



    “อยากให้ผมบอกอีกไหมล่ะว่าคุณคิดอะไร....” ฝ่ามือหยาบที่อุ่นเหมือนคนทั่วไปสัมผัสเบาๆ ที่ต้นขาภายใต้กางเกงตัวสวย 



    “ในผับนั่นน่ะ.... คุณน่ะอยากสนุกกับผมแทบแย่... คุณน่ะอยากเป็นเจ้าของผมใช่ไหมหล่ะ”



    “แก!!”



    “อย่าปฏิเสธว่ามันไม่จริง...” 



    “....”



    “ผมน่ะ.. เป็นมากกว่าที่คุณคิดนะต้นตระกูล”



    “....”



    “คุณชอบกลิ่นของผมใช่ไหมล่ะ....” มือหยาบเลื่อนขึ้นมาสัมผัสส่วนที่สูงกว่านั้น หยอกเย้ากับสะดือของอีกฝ่ายจนอีกคนเริ่มดิ้น “คุณอึดอัดใช่ไหมที่อยู่ใกล้ผม...”



    น้ำเสียงทุ้มต่ำที่คอยกระซิบอยู่ข้างใบหู ทำให้เจโน่หลับตาแน่น ความรู้สึกที่ทั้งหวาดกลัวกับต่อต้านมันผสมปนเปกันไปหมด... หมอนี่อ่านใจของเขาออกงั้นหรือ... ทำไม ? 



    พวกชั้นต่ำพวกนี้ไม่มีทางทำได้ ไม่มีทางเด็ดขาด แค่กลิ่นไม่มีทางทำให้เขาอึดอัดได้ขนาดนี้ มันอึดอัดจนแรงที่เคยมีเริ่มเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ เมื่อยิ่งสูดดม



    “ก็บอกแล้วไง ว่าผมไม่ใช่พวกชั้นต่ำ..”



    สัมผัสจากปลายนิ้วร้อนสัมผัสลากไล้ไปตามผิวกาย เสื้อผ้าที่เคยอยู่บนร่างกายถูกถอดออกไปตอนไหนร่างขาวเองก็ยังไม่รู้ตัว เปลือกตาที่เคยปิดสนิทเปิดเปลือกตาขึ้นมามองใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังทาบทับตัวเอง...



    แผ่นอกสีแทนที่ถูกพาดด้วยรอยสักที่เจโน่ไม่สามารถมองเห็นมันได้ชัด เนื่องจากดวงตาที่เริ่มพร่าเลือน สติที่แทบจะคุมไม่อยู่เพราะกลิ่นหอมจากอีกฝ่ายที่ยิ่งส่งออกมามากขึ้นเรื่อยๆ  สองหูแว่วได้ยินเสียงสวดของใครสักคนที่ดังก้องไม่ยอมหยุด 



    “พวกชั้นต่ำที่คุณว่านี่มันอะไรนะ....”



    “....”



    “ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ว่าพวกคุณเรียกเราว่าอะไร ฮันเตอร์หรือพ่อมด?”



    “....”



    “แต่มันคงเป็นโชคร้ายของคุณจริงๆ ที่มาเจอกับแบบผม... เพราะต้นตระกูลแบบคุณ มันทำให้ผมอดใจไม่ไหวเลยล่ะ”  



    ริมฝีปากร้อนๆที่บดขยี้ลงมาที่ริมฝีปากสีฉ่ำอย่างแรงจนได้กลิ่นคาวของเลือด สัมผัสหนักหน่วงปัดป่ายตามร่างกายของอีกฝ่ายไม่เบา ทั้งรุนแรง จนผิวเนื้อขาวขึ้นรอยแดงช้ำน่ากลัว เสียงหวีดร้องที่ดังเคล้าคลอกับเสียงทุ้มต่ำของอีกฝ่ายเมื่อยามที่อีกคนกอดอีกฝ่ายด้วยแรงที่ไม่น้อย... เตียงหลังใหญ่สั่นเพราะแรงของอีกฝ่ายที่ส่งเข้าหาอีกฝ่ายเสียงดังจนน่ากลัว



    ลิ้นร้อนลากไปตามผิวกายขาวซีด ผิวแก้มเย็นชืดถูกริมฝีปากร้อนจูบซ้ำย้ำๆ จนต้องเบี่ยงหน้าหนี ดวงตาสีดำสนิทจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเรียวสีสว่าง แพขนตาสีดำสนิทที่เด่นชัดรับกับเปลือกตาสีอ่อนนัยน์ตาสีสวย มองกี่ทีก็ยังดูงดงามเสียจนไม่อาจะละสายตายิ่งได้สัมผัสกับผิวเนื้อขาวผ่องก็ยิ่งยากที่จะหยุดยั้ง



    "อึก.. เสียงอะไร" ริมฝีปากสีสดที่บวมช้ำเอ่ยขึ้นอย่างลำบาก เมื่อเสียงสวดที่เคยได้ยินก่อนหน้านี้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าตัวเริ่มจะประสาทเสีย ร่างขาวที่รู้สึกตัวทุกอย่างแต่เหมือนว่าร่างกายที่เคยเป็นของตนนั้นจะไม่สามารถขยับตัวได้ตามที่เคยเป็น ยิ่งพยายามก็ยิ่งรู้สึกเจ็บจนแทบจะหายใจไม่ออก ยิ่งมองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายก็ยิ่งยากที่จะคาดเดา...



    ฮันเตอร์.....



    เขาไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าพวกนี้มันมีอยู่จริง...ในเมื่อเขาแทบจะไม่เคยเจอพวกคนกลุ่มนี้เลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่เกิดมา เขาเคยได้ยินเพียงแค่คำบอกเล่าจากพวกผู้อาวุโส ที่เคยพร่ำบอกถึงพวกฮันเตอร์ที่พยายามจะล้างเผ่าพันธุ์ของพวกเค้า...



    "นิ่งซะ... ถ้าคุณไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้" ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดอยู่บนผิวแก้มค่อยๆ เคลื่อนไปจนถึงเปลือกตาจนร่างขาวหลับตาแน่น สัมผัสเบาๆ ที่เปลือกตาแน่นชัดในความรู้สึก จนยากที่จะลืมเลือน

    มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ...




    "ผมให้คุณเลือกนะต้นตระกูล... ระหว่างให้ผมฆ่าคุณ หรือ คุณจะมาเป็นทาสผม..." 



    มือหนาสัมผัสเบาๆ ที่เส้นผมนุ่มของร่างขาวซีด สายตาคมเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูยามที่จ้องมองอีกฝ่าย คงปฏิเสธไม่ได้ว่านาแจมินเองก็ถูกใจไม่ใช่น้อยกับแวมไพร์ตัวขาวซีดนี่ แรงบีบที่ไหล่เบาๆ คล้ายกับคนไม่มีแรงจากคนที่อยู่ใต้ร่างทำให้ฮันเตอร์หนุ่มหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แค่แรงจะต่อกรกับเขายังจะไม่มีแรงเลยต้นตระกูล...



    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่าจะมีแวมไพร์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้อยู่อีก... หรือเพราะคนๆนี้ไม่รู้ว่าฮันเตอร์แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ โดยปกติแค่ได้กลิ่นหอม... แน่นอนว่ามันไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นฮันเตอร์จริงๆ แต่สิ่งที่น่าจะทำให้สงสัยมันคือกลิ่นหอมที่ทำให้พวกแวมไพร์รู้สึกอึดอัดเวลาที่อยู่ใกล้เสียมากกว่า กลิ่นหอมนี่ไม่ได้ทำให้ตายแต่อย่างใด แต่มันช่วยให้อึดอัดและเริ่มหมดแรงลงไปเรื่อยๆ



    "ให้ตายสิ... ผมฆ่าคุณไม่ลงจริงๆนะต้นตระกูล..." ริมฝีปากร้อนเอ่ยชิดข้างใบหูขาวก่อนจะแกล้งพ่นลมหายใจใส่อีกฝ่ายอย่างหยอกล้อ



    "ชะ..ชั่ว" ริมฝีปากสีอิ่มที่พยายามต่อว่าอีกฝ่ายอย่างลำบาก แต่เจโน่คงไม่รู้หรอกว่าสภาพตนเองในตอนนี้มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยสักนิด...



    "จะชมอะไรกันนักล่ะครับ... เก็บแรงไว้เล่นกับผมดีกว่าไหม"



    ร่างขาวที่โดนอีกฝ่ายก่อกวนอารมณ์แทบอยากจะเข้าไปข้ำอีกให้ตายคามือ แต่เรี่ยวแรงกลับไม่เอื้ออำนวยที่จะให้ได้ตอบโต้ มันน่าหงุดหงิดนักทั้งที่ตนพิเศษกว่าคนอื่นทั้งปวง แต่กับแค่พวกฮันเตอร์ชั้นต่ำพวกนี้เขาจะแพ้อย่างราบคาบ



    "ผมชอบรอยสักของคุณนะ..."   ร่างสมส่วนประคองร่างกายของอีกคนที่อ่อนปวกเปียกให้ขยับตามที่ตนต้องการ ตอนนี้เจโน่ก็ไม่ต่างจากตุ๊กตาที่อีกคนจะทำอะไรก็ได้ ไร้ซึ่งฤทธิ์ของแวมไพร์ "ไม่สิ..มันไม่ใช่รอยสักนี่.... จริงไหม? "



    ลวดลายสีดำสนิทที่ข้อแขนที่ใครๆ ต่างคิดว่ามันคือรอยสักแต่แท้จริงแล้วมันก็คือตราบาปที่ติดตัวของอีกฝ่ายมาตั้งแต่กำเนิด... รอยสักที่ดูสวยงามแต่กลับอันตรายจนน่าหวาดกลัว



    "เจ็บไหม..." มือหนาสัมผัสเข้าเบาๆ บริเวณข้อแขนขาวตรงตำแหน่งรอยสีดำที่ก่อเกิดเป็นลวดลายสวยงาม



    หยดน้ำตาสีใสที่ไหลออกมาจากหัวตาของร่างขาวตกกระทบลงบนไหล่แข็งแรงความเจ็บปวดยามที่อีกฝ่ายสัมผัสกับรอยบาปนั่น รอยสักที่เคยนิ่งสงบกลับคืนขึ้นมามีชีวิต เส้นสีดำที่สร้างสรรค์เป็นดอกไม้ที่สวยงามนั่นกลับวิ่งวนไปมา จนอีกฝ่ายร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด  หน้าอกที่เคยไร้สิ่งที่เรียกว่าหัวใจที่ไม่เคยสูบฉีดดั่งมนุษย์ทั่วไป กลับบีบตัวเต้นตุบๆ กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จนร่างขาวเองก็ประหลาดใจไม่น้อย 



    มือร้อนที่โอบรอบเอวนุ่มนิ่มก่อนจะยกร่างขาวขึ้นมาตระกองกอดอยู่บนตักใบหน้าขาวซุกลงที่ซอกคอของอีกฝ่ายอย่างพอดิบพอดี ความร้อนจากร่างกายอีกฝ่ายที่ทำให้เจโน่รู้สึกตัวมากขึ้นสัญชาติญาณนักล่าที่ย่อมกระหายเมื่อเห็นเหยื่อที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัว 



    เส้นเลือดที่ขึ้นชัดเจนบริเวณลำคอมันยั่วยวนแวมไพร์ตัวขาวที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ได้ เขี้ยวแหลมคมค่อยๆ งอกออกมาจากแนวฟันสวย ก่อนที่จมูกโด่งจะสูดดมกลิ่นหอมของเลือดที่ลอยฟุ้งไปทั่ว เมื่ออีกฝ่ายยังคงสาละวนอยู่กับร่างกายที่เต็มไม้เต็มมือของร่างขาวซีด



    แวมไพร์ตัวขาวที่ดวงตาพร่าเลือนไปด้วยความกระหาย ค่อยๆกดเขี้ยวแหลมคมเข้าที่ผิวเนื้อของอีกฝ่ายด้วยแรงที่ไม่เบานัก ผิวเนื้ออุ่นที่ถูกเขี้ยวแหลมคมฝังเข้าไป จนเจ้าของร่างกายต้องปล่อยเลยตามเลย ถึงแม้จะแอบหวั่นใจไม่น้อยกับการกระทำของอีกฝ่าย ที่ยังคงไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆแม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ตาม 



    เสียงกลืนของเหลวที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือเลือดของแจมินที่อีกฝ่ายกำลังดูดกินอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นถูกใจเจโน่อยู่ไม่น้อย ทว่าร่างขาวซีดก็ถูกอีกฝ่ายรั้งต้นคอเบาๆเพื่อให้หยุดที่จะดูดเลือดของตน ความเจ็บแสบที่บริเวณต้นคอเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนาแจมิน แต่ก็ต้องยอมรับว่าแรงที่อีกฝ่ายกัดมามันไม่ได้น้อยเลยสัดนิด ไหนจะแรงดูดซึ่งแทบเรียกได้ว่าตะกละตะกลามของอีกฝ่าย 



    ไม่ใช่ว่าเขาไม่พอใจ แต่พอใจมากๆ ต่างหากล่ะ



    “นี่ต้นตระกูลคุณหน้ามืดขนาดกินเลือดผมเลยหรือ......”



    “.....”



    “ให้ตายสิ นี่คุณหาเรื่องเองนะ"



    ดวงตาสีสว่างตวัดมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง จะน่ากลัวก็ไม่หยอก แต่กลับไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายกลัวแม้แต่น้อย ดวงตาสีสว่างที่ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย หยดน้ำสีใสยังคงเปรอะเปื้อนนั้นตัดกันสิ้นเชิงกับแววตาอวดดีของอีกฝ่าย ไหนจะเขี้ยวแหลมคมที่งอกยาวออกมา รวมไปถึงเลือดสีแดงสดตามมุมปากของอีกฝ่าย... 



    เลือดของนาแจมินมันไม่ใช่แค่ติดอยู่ที่ปากอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ว่าเลือดของฮันเตอร์ที่ถูกดูดเลือดโดยแวมไพร์สูงส่ง มันกำลังไหลเวียนอยู่ในตัวของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ค่อยคลืบคลานเข้าไปทั่วร่างกายอีกฝ่าย กว่าที่จะรู้ตัวมันก็คงสายไป...



    กฎข้อห้ามของแวมไพร์ต้นตระกูล คงจะเป็นอีกข้อที่อีกฝ่ายไม่เคยสนใจสินะ...



    “คุณเลือกของคุณเองนะต้นตระกูล...” 




    จะว่าเป็นกฎไหมมันก็ไม่เชิง แต่สำหรับฮันเตอร์ที่พื้นเพแล้วแท้จริงคือพ่อมด แม้ส่วนมากฮันเตอร์ส่วนใหญ่จะคือพวกนักเวทย์ก็ตามแต่ เราแค่พิเศษกว่าคนอื่น หน้าที่ของฮันเตอร์ก็คือล่าแค่แวมไพร์ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับมนุษย์ แต่กับพวกต้นตระกูลที่แทบจะหาตัวจับได้ยากด้วยเพราะต่างใช้ชีวิตแบบทั่วไปจนแทบกลมกลืนไปกับมนุษย์ 



    พวกแวมไพร์ชั้นสูงหรือต้นตระกูลไม่ทำร้ายใคร นอกเสียจากจะมีใครมาทำร้ายหรือรบกวน เลือดที่พวกตัวขาวซีดพวกนี้กินอยู่ทุกวันเพื่ออยู่รอด มันก็มาจากเม็ดเงินที่สั่งสมกับอำนาจที่ทำให้สามารถซื้อเลือดจากโรงพยาบาลมาได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาที่จะฆ่าใคร แต่ก็นั่นหล่ะเลือดถุงมันจะหอมหรืออร่อยเท่าเลือดมนุษย์สดๆ ได้ยังไงกัน...



    “พูดบ้าอะไรของแก” แวมไพร์ตัวขาวซีดเอ่ยเสียงแข็งเมื่อเริ่มมีแรงมากขึ้นเมื่อได้ดื่มเลือดสดๆ จากอีกฝ่าย



    “นี่คุณไม่รู้หรือแกล้งโง่จริงๆ กันแน่ครับต้นตระกูล” ริมฝีปากสีเข้มคลอเคลียข้างผิวแก้มขาวซีด ลิ้นร้อนลากเลียไปตามผิวแก้มเย็นเยียบของอีกฝ่ายช้าๆ จนแวมไพร์ตัวซีดเบ้ปากอย่างรังเกียจ แต่มีหรือว่าฮันเตอร์ แบบนาแจมินจะสะทกสะท้านกับการต่อต้านของอีกฝ่าย



    “สามหาว พวกชั้นต่ำอย่างแกสิโง่



    “อย่าปากร้ายนักสิครับ”ฝ่ามืออุ่นร้อนสอดเข้าไปที่บั้นท้ายของอีกฝ่ายก่อนจะบีบเคล้น



    “อย่ามาจับตัวฉัน” ฝ่ามือร้อนที่สัมผัสกับร่างกายของคนตัวขาวถูกปัดออกทิ้งอย่างแรง ดวงตาที่เริ่มพร่าเลือนทั้งๆ ที่พึ่งได้ดื่มเลือดไปแท้ๆ กลับทำให้แวมไพร์ตัวซีดกลับรู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรงลงไปทุกที 



    “ก่อนจะให้ผมเลิกจับคุณ เอาให้คุณเลิกซบผมให้ได้ก่อนไหมครับต้นตระกูล”  แขนแข็งแรงเกี่ยวเอวอีกฝ่ายให้เข้ามาแนบชิดกับตัวเองมากขึ้น ผิวขาวผ่องที่เย็นเยียบนั้นแตกต่างกันสีผิวสีแทนสุขภาพดีที่เต็มไปด้วยความอุ่นร้อนของเลือดที่ยังคงไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย



    “ไอ้!! อื้อ” ริมฝีปากสีแดงสดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดเลือดของฮันเตอร์หนุ่ม ถูกริมฝีปากหนาประกบจูบอย่างแรง ลิ้นร้อนกวาดไปทั่วแนวฟันขาวอย่างจงใจ ลิ้นร้อนยังคงเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมหยุด มือขาวที่เกาะอยู่ที่บ่าของอีกฝ่ายจิกเกร็งแน่นเมื่ออีกฝ่ายรุกรานจนแทบจะขาดใจ เสียงน้ำชื้นแฉะดังสลับกับเสียงหอบหายใจหนัก ยิ่งทำให้แวมไพร์ตัวซีดพร่าเบลอไปหมด



    สัญชาติญาณของแวมไพร์ต่อเรื่องเซ็กส์มันไวอยู่แล้ว แค่จับหรือสัมผัสนิดหน่อยก็แทบจะกระโจนขย้ำกันให้ตายไปข้างนึง ด้วยพละกำลังที่มากกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่สถานะตอนนี้แวมไพร์ตัวซีดกลับหมดแรงจนน่าขายหน้า



    ก้อนเนื้อข้างซ้ายที่ไม่เคยสัมผัสถึงการเต้น กลับรู้สึกว่าก้อนเนื้อนั่นกำลังเต้นตุบอยู่เบาๆ พร้อมทั้งความร้อนภายในร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น เหมือนว่าไอร้อนที่อยู่ในร่างกายมันลอยฟุ้งขึ้นมาจนรู้สึกได้ 



    มันไม่ใช่ตัวตนของเขาเองเลยสักนิด ลมหายใจหอบถี่ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าหวานเชิดขึ้นสูงเมื่ออีกฝ่ายฝังใบหน้าลงกับซอกคอของตัวเอง ขบกัดอย่างรุนแรงจนเจ็บจี๊ด ไหนจะสัมผัสจากฝ่ามือร้อนๆที่ลากไล้ปัดป่ายไปทั่วร่างกายจนร้อนผ่าวไปหมด ยิ่งสัมผัสยิ่งทรมานเมื่อรอยสักที่เป็นตราบาปเริ่มจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าของร่างอีกครั้ง



    “เจ็บนิดเดียวน่าต้นตระกูล” เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยพ่นประโยคขัดหูดังขึ้นเบาๆ ก่อนจะดันตัวของแวมไพร์ให้หันหน้าเข้ากับบานกระจกใหญ่ที่สะท้อนร่างสองร่างที่ซ้อนทับกันอยู่



    มือขาวจิกผ้าปูที่นอนแน่นเมื่อความเจ็บปวดของข้อแขนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างขาวสะอาดที่สะท้อนกับกระจกบานใหญ่ช่างดูสวยงามเหมือนรูปปั้น แต่คงจะดูงดงามกว่านี้ถ้าในดวงตาคู่นั้นไม่ได้ฉายแววของความเจ็บปวด ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งยามที่ร่างกายของอีกฝ่ายแทรกเข้ามาภายในร่างกายยิ่งทำให้เหมือนร่างกายของคนตัวขาวซีดจะฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ 



    รอยสักที่อยู่บนหน้าอกสีแทนที่ทาบทับกับแผ่นหลังของอีกฝ่ายในตำแหน่งที่ใกล้กับหัวใจยิ่งทำให้ก้อนเนื้อนั่นยิ่งบีบรัด



    “อ๊า อึก ออกไป”  ใบหน้าขาวซบลงกับพื้นเตียงอย่างหมดทางสู้ แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ยิ่งตามมาทาบทับ เอวสอบยังคงขยับสะโพกหมุนวนเป็นวงกลมเบาๆคว้านไปทั่วร่างกายอีกฝ่ายอย่างเสน่หา ยิ่งอีกฝ่ายปฏิเสธความเจ็บปวดมันก็เริ่มมากขึ้น แต่แวมไพร์ต้นตระกูลคงจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด



    “อย่าปฏิเสธผมเลยต้นตระกูล ผมรู้ว่าคุณก็ต้องการมัน” รอยรักสีแดงช้ำถูกฝากฝังไปทั่วแผ่นหลังขาว มือหยาบกร้านจับบั้นท้ายของอีกคนไว้มั่นก่อนจะสอบสะโพกเข้าหาคนตัวขาว เสียงร้องแหบถูกกลัดกลั้นแต่ก็ยังคงหลุดออกมาให้ฟังเป็นระยะๆ สร้างความพึงพอใจให้อีกฝ่ายอย่างมาก ยิ่งจ้องมองไปที่กระจกบานใหญ่ที่สะท้อนภาพของตัวเองแล้วก็ยิ่งหลงใหล 



    ภาพที่ร่างขาวถูกซ้อนทับจากนาแจมิน ส่วนล่างของเราทั้งคู่ยังคงเชื่อมต่อกันอย่างไม่ยอมหลุด เสียงเนื้อที่กระทบจนเกิดเสียงที่น่าอายฟังดูหยาบโลน นั่นกำลังขยี้ศักดิ์ศรีของคนที่เกิดในชนชั้นสูง



    “ร่างกายของคุณเป็นของผม”



    “อ๊ะ เจ็บ พะ..พอ”



    “เรียกชื่อผมสิ...”



    “อึก ไม่.. อ๊า ไม่” พยศสิ้นดี แรงกระแทกไม่น้อยที่ถูกส่งเข้ามาทำให้อีกคนจิกเล็บแน่นมากขึ้นเรื่อยๆจนกลัวเหลือเกินว่าผ้าปูที่นอนจะหลุดติดมืออีกคนมา



    “ผมบอกให้เรียกชื่อผมไงต้นตระกูล” ฝ่ามือร้อนสอดเข้ามาที่แผ่นอกของอีกฝ่ายแล้วดันขึ้นมาจนแผ่นหลังแกร่งแนบกับแผ่นหลังอีกฝ่าย  ใบหน้าขาวกับแก้มที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฝาดอย่างไม่น่าเชื่อ



    “นี่มันอะไร อึก” สายตาแวววาวของแวมไพร์ตัวขาวจ้องมองบานกระจกที่สะท้อนใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อของตัวเอง เหมือนกับเลือดในร่างกายกำลังวิ่งไหลเวียนอยู่ไปทั่วร่างกายในตอนนี้



    บอกทีว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง นี่มันเรื่องโกหกทั้งเพ !!!



    “ตกใจละสิต้นตระกูล... คุณคงยังไม่ชิน...” มือหยาบยังคงทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนล่างของร่างกายถูกกอบกุมด้วยฝ่ามืออุ่นร้อน สัมผัสหนักเบาสลับเคล้าคลอจนดวงตาพร่าเลือนไปหมด ลืมไปหมดแล้วว่าร่างกายเคยต่อต้าน อารมณ์ที่ยากจะควบคุมชักนำทุกอย่างให้เป็นไปตามที่สมควร 



    “ผมชอบผิวของคุณตอนนี้มากกว่าตอนที่ขาวซีดแบบนั้นซะอีก”



    “อึก ร้อน ฮื่อ นายทำอะไรฉันกันแน่”



    “ร้อนตรงไหนละที่รัก...” เกลียด เกลียดน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะควบคุมร่างกายที่ไม่รักดีของตัวเองได้นั้นื “ตรงนี้...” มือร้อนอีกข้างที่กอบกุมเอวนุ่มนิ่มเลื่อนมาขยำที่สะโพกอวบที่เต็มไม้เต็มมือ จนเจ้าของร่างกายร้องออกมาอย่างไม่พอใจ



    “เอามือสกปรก อึก ของแกออกไป!!” ไม่เคยรู้สึกตกเป็นรองใครแบบนี้มาก่อน ยิ่งความร้อนแล่นไปทั่วร่างกายจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ระอุออกมาจากภายในอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัส ไหนจะเหงื่อเม็ดโตที่เริ่มผุดขึ้นมาตามร่างกายไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าก็ตาม ทุกอย่างมันผิดแปลกไปหมด



    “หรือว่าคุณร้อนตรงนี้...” เอวแกร่งสอบสะโพกเข้าไปในตัวอีกฝ่ายจนโดนจุดที่ทำให้อีกคนร้องออกมาเสียงสั่น ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าภายในที่กำลังตอดรัดตัวตนของอีกฝ่ายอย่างไม่ขัดขืน..



    “หยุดทำตัวตัวทุเรศๆแบบนี้กับฉันนะ อ๊ะ”



    “ถ้าจะให้ผมหยุด คุณก็คงต้องหยุดครางให้ได้ก่อนนะต้นตระกูล”



    กล้ามเนื้อที่ผ่านการออกกำลังกายมาเป็นอย่างดี สีผิวสีแทนที่ช่างดูตัดกับผิวเนื้อสีขาวของอีกฝ่าย จากร่างกายที่ขาวซีดกลับแปรเปลี่ยนเป็นผิวขาวที่มีสีเลือดฝาดไปทั่วร่างกาย ยามที่มีอารมณ์... ส่วนหนึ่งก็เพราะเลือดของนาแจมินที่กำลังไหลเวียนอยู่ในตัวของอีกฝ่าย... 



    เลือดของพ่อมดชั้นสูงที่ค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในทุกส่วน



    “เจ็บ อึก ปล่อย ฉันเจ็บ!!” ใบหน้าน่ารักที่เริ่มส่ายไปมากับผืนเตียง จนเส้นผมยุ่งเหยิงไปหมด เจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกาย เลือดอุ่นที่กำลังไหลเวียนนี่มันทำให้เขาเจ็บ...



    “รู้ไหมว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น”



    “...”



    “การที่คุณกินเลือดผมไป มันเท่ากับคุณผูกพันธะกับผม คุณรู้บ้างไหม”



    “...”



    “คุณจะเป็นเจ้าของผมและผมเองก็จะเป็นเจ้าของคุณ”



    “....”



    “อื้ม เจโน่ เรียกชื่อผมสิคนดี” เสียงครางต่ำที่ดังอยู่ข้างใบหู ถ้อยคำที่กล่าวออกมาทำให้ทั้งร่างชาวาบไปทั่ว



    นี่มันเรื่องตลกร้ายอะไรกัน..



    “ดูสิ ว่าคุณต้องการผมแค่ไหน เจโน่



    ทั้งเรือนร่างและจิตวิญญาณของคุณกำลังถูกผมกลืนกินทีละน้อย... 










    ร่างโปร่งที่นอนคว่ำหน้าลงไปหมอนใบใหญ่ เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวเนียน ผ้าห่มสีขาวสะอาดยับยู่ยี่ตามสภาพของการใช้งานปกคลุมช่วงเอวได้รูปอย่างหมิ่นเหม่ ทั้งหมดทั้งมวลของภาพเหล่านี้ตกอยู่ในสายตาคมที่ยังจ้องมองอีกฝ่ายไปละสายตาไปไหน ส่วนมือหยาบเองก็ยังคงกลัดกระดุมเม็ดสวยให้เข้าที่ให้เรียบร้อย รอยแสบที่ต้นคอยังคงทำให้เจ้าตัวรู้สึกรำคาญใจไม่น้อย แต่ต่อให้รำคาญใจยังไง ก็คงไม่เท่าอีกคนที่มีคำถามมากมายในหัวที่ดังออกมาจนเขาเองอดที่จะยิ้มไม่ได้...



    “หายเจ็บรึยังคุณ” เสียงทุ้มต่ำของแจมิน เอ่ยถามแวมไพร์ ? ไม่สิ ตอนนี้คงเรียกแวมไพร์ได้ไม่เต็มปากแล้ว



    “อึก..ออกไป” แค่เสียงพูดยังจะไม่มีแล้วแบบนี้หรอยังจะมาไล่เค้าอีก ไม่อวดเก่งไปหน่อยหรือต้นตระกูล



    แค่เห็นปากสีแดงช้ำนั่นยังคงอวดดีไม่เลิก นาแจมินเองก็อดจะเดินเข้าไปฟัดจูบแรงๆเสียไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมาซึ่งปกติแล้วจะเป็นการขัดขืนจากอีกฝ่ายแต่แปลก อีกคนไม่มีการขัดขืนหรือต่อต้านอะไรทั้งนั้น มือขาวที่ยกขึ้นมาจับไหล่ของเขาแน่น



    “อย่าเข้ามาใกล้” ดวงตาเรียวที่ช้อนมองอีกฝ่ายอย่างขอร้อง



    “แต่ผมอยากอยู่ใกล้คุณนี่นา..” จมูกโด่งกดลงที่แก้มขาวซ้ำๆ ในความน่ารำคาญนั้นมันแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ยังคงอึดอัดกับอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้ยินเสียงสวดบทอะไรนั่นแล้วก็ตาม แต่ความเจ็บที่ข้อแขนข้างซ้ายมันก็ยังคงไม่จางหาย



    “อึก.. แค่กๆ” ของเหลวสีแดงสดไหลออกมาตามริมฝีปากสีสดของอีกฝ่าย ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ รอยสักที่ข้อแขนที่หลับใหลนิ่งสนิท บัดนี้กลับเคลื่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าในครั้งนี้มันกลับทำให้เจ้าของร่างกายเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิมจนเรียกได้ว่าทุรนทุรายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 



    คนตัวขาวยังคงไอออกมาไม่หยุด ยิ่งเจ้าตัวไอ เลือดสีสดก็ยิ่งไหลออกมามากเท่านั้น คราบเลือดสีแดงสดที่กระเด็นมาจนเลอะตัวของคนผิวสีแทน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นาแจมินตกใจแต่อย่างใด แต่ที่น่าตกใจมันคือรอยสักที่กำลังมีชีวิตนั่นมากกว่า



    เขาควรจะทำอะไรสักอย่าง !!



    นี่มันไม่ปกติเหมือนกับที่เขาเคยรับรู้มาจากการอ่านพวกตำราที่คนเป็นพ่อโยนให้เลยสักนิด



    เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของร่างขาวกรีดร้องออกมาอย่างสุดจะทน เจ็บจนอยากจะหยุดหายใจในแต่ละครั้งที่รู้สึกว่ารอยสักนั่นกำลังเคลื่อนไหว มันเจ็บยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าหัวใจของตัวเองเริ่มเต้นและบีบรัดอย่างรุนแรง



    ตราบาปไม่มีวันลบเลือน



    คำพูดของใครบางคนที่ดังก้องอยู่ในหัวของเจโน่ ไม่ว่าจะได้ยินมามานานมากแค่ไหนแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังจดจำน้ำเสียงกับใบหน้าของคนๆ นั้นได้เป็นอย่างดี...



    ร่างขาวที่สั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ได้แต่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มือหนาค่อยๆประคองตัวของอีกฝ่ายขึ้นก่อนที่จะสัมผัสเข้าที่ข้อแขนของอีกฝ่าย ริมฝีปากร้อนที่อยู่ชิดข้างใบหูนิ่มนั่นพึมพำอะไรสักอย่างที่ไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้น ฝ่ามือร้อนกดลงบนแขนนั่นเหมือนพยายามสะกดสิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนไหวให้หยุดอยู่นิ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไปพร้อมๆกับสติของเจโน่...







    แจมินจ้องมองร่างขาวจัดที่นอนนิ่งหลังจากเจ้าตัวสลบไป ข้อแขนขาวยังปรากฏให้เห็นรอยสักที่ยังคงอยู่ แต่กลับหยุดนิ่งไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เคลื่อนไหวมีชีวิตจนเกือบจะฆ่าคนตัวขาวอยู่รอมร่อ ดวงตาคมที่ไล่มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาในหัวก็ยังคงคิดถึงคำบอกกล่าวของพวกผู้ใหญ่ที่เคยกล่าวให้ฟังไว้ว่าแวมไพร์ต้นตระกูลที่เป็นตราบาปของแวมไพร์ชั้นสูง กล่าวกันว่า



    ชนชั้นสูงที่ไม่อาจอาจเอื้อมแต่กลับมีมลทินที่ไม่สมควร แม้ว่าเลือดเนื้อในกายจะบริสุทธ์ แต่ตราบาปก็ยังไม่มีวันลบเลือน 



    ท่าทางคนที่ใครต่างพูดถึงจะอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ และเขาเองก็ถูกใจอีกฝ่ายไม่น้อย พอใจมากจนมากที่สุดเลยก็ว่าได้



    ฮันเตอร์แบบเขาถึงจะเป็นผู้ล่าแต่ก็ล่าเฉพาะพวกที่สร้างความเดือดร้อนหรือแหกกฎที่เคยตกลงกันไว้เท่านั้น ส่วนพวกที่ไม่ได้ฝ่าฝืนนั่นก็ยังคงปล่อยผ่านเลยได้ แน่นอนว่าเจโน่เองก็อยู่ในจำพวกที่สอง แต่ที่เขาล่าคนๆนี้ก็เพราะความถูกใจล้วนๆ ไม่ใช่แค่อยากได้แค่ตัว แต่ทั้งหมดที่เป็นเจโน่ต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องการ และสิ่งที่พอจะทำได้มันก็คือการผูกพันธะกับอีกฝ่าย 



    อันที่จริงก้อย่างที่บอกว่าเค้าไม่ใช่ฮันเตอร์เต็มตัว เขาแค่สืบเชื้อสายพวกนักเวทย์ที่ยังคงมีสัญญากับพวกแวมไพร์อยู่ก็เท่านั้นเอง พวกเราไม่ใช่ศัตรูกันแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ใครฝ่าฝืนกฎข้อห้าม จะไม่มีคำว่าปรานีจากทั้งสองฝ่าย...



    แม้อยากจะเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายให้มากกว่านี้แต่ก็กลัวว่าอีกคนจะเจ็บตัวเอาเสียเปล่าๆ มันน่าขันสิ้นดีที่พวกต้นตระกูลจะอึดอัดแค่เพียงได้กลิ่นจากเขา ทั้งๆ ที่แทบจะไม่มีแวมไพร์ตนไหนได้กลิ่นด้วยซ้ำ พฤติกรรมแบบนี้มันเรียกว่าการต่อต้านรึเปล่านะ เขาเองก็ไม่แน่ใจ 



    แต่อีกไม่นานหรอก จากที่เคยอึดอัด อีกคนจะขาดเค้าไม่ได้เสียมากกว่า เค้าอดใจรอไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำในวันที่เลือดของเค้าได้ไหลเวียนในตัวของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ ขอแค่ผ่านคืนนี้ไปก่อน แล้วเรื่องทุกอย่างมันจะดีเอง




    ก๊อกๆๆ



    เสียงเคาะประตูที่น้ำหนักสม่ำเสมอจนแจมินเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ก็ยังคงก้าวเท้าไปที่หน้าประตูเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนของตัวเองที่เจ้าตัวพึ่งโทรตามเมื่อก่อนหน้านี้



    แอ๊ด



    พลั่ก!!



    แรงโถมตัวเข้ามาอย่างแรงจนร่างของเค้ากระเด็นเข้ามาในห้อง พร้อมกับร่างที่ไม่คุ้นเคยที่กำลังคร่อมทับตัวของตัวเองอยู่ ดวงตาสีอร่ามบ่งบอกได้ชัดว่านี่คือแวมไพร์ แต่การบุกรุกเข้ามาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ด้วยจำนวนฝั่งนั้นที่มากกว่า ที่สามารถล็อคตัวเขาได้อยู่หมัด  น้ำหนักของฝ่ามือหนักๆ ที่กระแทกตามใบหน้าของเขาจนได้กลิ่นคาวของเลือด แขนทั้งสองข้างที่ถูกดึงขึ้นมาจากไอ้พวกสวะสองตัวนั่น ก่อนที่ไอ้หน้าขาวที่อยู่ตรงหน้าเขาจะซัดหมักหนักๆ ลงมาที่ใบหน้าของเขานับครั้งไม่ถ้วน เล็บแหลมคมของมันที่ยื่นออกมาของทั้งสองคนที่จับตัวเขาไว้ จิกลงตามลำแขนจนเลือดออก



    “พวกชั้นต่ำอย่างแกไม่มีสิทธิ์”  เสียงรองเท้าที่กระทบพื้นด้วยน้ำหนักที่เท่ากันของใครอีกคน พร้อมกับน้ำเสียงเย็นเยียบ  ใบหน้าคมเข้มเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายก่อนจะกระตุกยิ้มออกมาทั้งๆที่ตามมุมปากยังคงมีเลือดไหลอยู่ก็ตาม



    “มั่นใจเหรอว่าชั้นต่ำ?” เสียงแหบเอ่ยก่อนจะถุยเลือดที่อยู่ในปากออกจนกระเซ็นไปโดนเท้าอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงหน้า



    “ต้นตระกูลไม่ควรแปดเปื้อนเพราะพวกชั้นต่ำอย่างแก”



    “ถ้าผูกพันธะแล้วจะทำไงดีล่ะ” พอได้ยินคำว่าผูกพันธะแววตาที่เคยสงบนิ่งกลับกระวนกระวายขึ้นมาจนน่าขัน



    “บัดซบ!!” ได้ยินหมอนั่นสบถเสียงดังลั่นก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องที่มีใครอีกคนนอนอยู่ ส่วนอีกสามคนที่ยังคุมตัวเขาอยู่ก็จ้องหน้านาแจมิน ปานจะฉีกเลือดฉีกเนื้อกันเสียให้ได้ ถ้าเดาไม่ผิดพวกนี้คงเป็นพวกที่ดูแลต้นตระกูลล่ะสิ  แค่เห็นรอยสักรูปไม้กางเขนที่หลังใบหูของแต่ละคนก็พอจะเดาได้



    “เจโน่” ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ร่างสูงโปร่งก็แทบจะทำอะไรต่อไม่ถูก เมื่อเห็นอีกคนยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปจากตัวอีกฝ่าย แค่เพียงเล็กน้อยที่เปลี่ยนไปเขาก็สามารถสังเกตได้ ในเมื่อจองแจฮยอนดูแลคนของต้นตระกูลมาตั้งแต่ยังเล็ก 



    ชายหนุ่มร่างสูงที่มีอายุนับหลายร้อยปีค่อยๆเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจที่เข้าออกซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แวมไพร์ควรจมี แต่ตอนนี้เจโน่กลับหายใจเหมือนดั่งมนุษย์ทั่วไป สิ่งที่น่ากลัวที่สุดมันกำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก..


    ตอนแรกกะว่าจะลงในตอนเดียวให้หมด แต่เปลี่ยนใจแยกเป็นสองตอนคงจะดีกว่า ไม่งั้นยาวกว่านี้แน่ๆ อัพพาร์ทจบของเรื่องนี้ไม่เกินวันเสาร์นี้แน่นอนค่ะ 




    TAG #myjmn



    จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกในสมาคมรู้ว่าต้นตระกูลถูกเปลี่ยน.... แน่นอนว่าคนพวกนั้นต้องหาทางกำจัดเจโน่อย่างไม่ต้องคิด



    ตอนแรกกะว่าจะลงในตอนเดียวให้หมด แต่เปลี่ยนใจแยกเป็นสองตอนคงจะดีกว่า ไม่งั้นยาวกว่านี้แน่ๆ อัพพาร์ทจบของเรื่องนี้ไม่เกินวันเสาร์นี้แน่นอนค่ะ กำลังใจคือคอมเมนต์ ชอบไม่ชอบยังไงก็อย่าลืมบอกกันเน้อ ถ้ามีคำผิดตรงไหนสามารถทักมาบอกได้เลยนะคะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
yok0799 (@yok0799)
ดีมากเลยอะ ดีๆๆๆๆๆๆๆ ดีจนอยากร้องไห้ๆๆๆๆๆ