เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอบอ่านไดอารี่.. 2009 เกาหลีเบื้องต้น101keep an ire on him
2009 เกาหลีเบื้องต้น101 - Day 2/1
  •      Ssamziegil ยังไม่ตื่น แต่ฉันตื่นแล้ว จริงๆแล้ววันนี้ Ssamziegil ขอลาพักร้อนต่างหาก แต่ฉันกับเพื่อนว่าจะออกไปตะลุยแดดของโซลซะหน่อย เพื่อนฉันบอกว่า วันนี้เป็นวันหยุดอย่างเป็นทางการ ร้านรวงต่างๆพากันปิดหมดเราจึงต้องเลือกไปที่ที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา

            ท้ายที่สุดเราทอยลูกเต๋าไปออกที่ นัมซานโซล ทาวเวอร์ (N Seoul Tower) เพราะเพื่อนฉันบอกว่าครั้งล่าสุดที่เธอมา คือตอนเธออายุเพียงแค่สามขวบ ด้วยจรรยาบรรณของเพื่อนที่ดีฉันบอกไม่ได้หรอก ว่ามันผ่านมานานกี่ปีแล้ว เราไต่ขึ้นเนินที่เล่นเอาหอบใหญ่ๆอยู่หลายรอบ หวังจะขึ้นเคเบิ้ล เพื่อมาพบว่ามันใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีในการเดินทาง เพื่อนฉันไม่บ่นอะไรเหมือนเด็กน้อยที่เกาะอยู่หน้าสุดที่หันมาถามคุณพ่อว่า “หมดแล้วหรือ” แต่แววตาของเธอพูดออกมาดังกว่าหนูน้อยคนนั้นเสียอีก

    ฉันแอบส่องดูโซลที่เวลานี้แสงแดดส่องประกายเมืองทั้งเมืองให้เจิดจ้าจนแสบตา แสงสะท้อนจากแม่น้ำฮันส่องเข้าตาฉันเป็นระยะ ทั้งที่มันอยู่ตั้งไกลลิบซะขนาดนั้น แม่กุญแจเล็กใหญ่ถูกผูกติดไว้กับรั้วเหล็ก หากแต่วันนี้ประชากรที่มา แลดูจะเป็นครอบครัวมากกว่าคู่รัก

    เพื่อนปล่อยให้ฉันถ่ายรูปอย่างหนำใจ ซักพักเธอจึงหันมาถามว่าฉันอยากขึ้นไปดูข้างบนไหม ใจฉันเฉยๆ ฉันพอใจแล้วกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบแล้วหันไปถามเธอด้วยคำถามเดียวกัน เธอตอบกลับมาว่าเธอก็ไม่อยากขึ้นเหมือนกันเพราะตอนนี้ความโล่งของกระเพาะกำลังสร้างปัญหาให้เธออยู่ ไม่มีปัญหาฉันเริ่มรู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน ฉันถามเธอว่า ร้านค้าต่างๆจับมือกันปิดแบบนี้เราจะไปหาอะไรทานได้ที่ไหน เธอเสนอให้ไปต่างประเทศ ฉันหยุดเดิน มองหน้าเธอ เธอหัวเราะด้วยสาสมอารมณ์หมายว่า อำฉันได้ จุดหมายปลายทางลำดับต่อไปคือ ย่านอิแทวอน (Itaewon) ย่านที่มีคนต่างชาติอยู่พอๆกับเจ้าบ้าน ทำให้ชาวโซล ขนานนามย่านนี้ว่าต่างประเทศ

           เราก้าวลงรถเมล์สีเหลืองที่เราขึ้นจากนัมซานทาวเวอร์ ฉันอยู่ตรงส่วนใดของโซลกันล่ะนี่ ฉันเดินตามเพื่อนฉันต้อยๆเหมือนลูกเจี๊ยบเดินตามแม่ไก่ รอหนอนตัวนุ่มๆ ที่แม่ไก่จะหามาประเคนให้ถึงปากนั่นไง เราเดินเข้าออกซอยอยู่หลายซอย ฉันเองก็ไม่รู้ว่าแต่ละร้านต่างกันอย่างไร หลักๆที่ฉันเห็นความต่างคือ ร้านที่เปิดกับร้านที่ปิด และแล้วเราก็เลือกโดยผ่านความเห็นชอบจากเราทั้งคู่ ทั้งที่เราตั้งใจจะไปอีกร้านแต่กลับโดนนายหน้าต้อนมาอีกร้านนึงซะงั้น ด้วยความที่เห็นเป็นร้านเนื้อย่างเหมือนกันเราเลยคิดว่าคงไม่ต่างกัน แต่เพื่อนของฉันกลับไม่ประทับใจที่นี่เลยซักนิด ฉันบอกเธอว่ามันก็อร่อยดีนี่นา เธอส่ายหน้า บ่นตั้งแต่เครื่องเคียง พาลไปถึงการหมักหมู เพื่อนฉันแทบไม่แตะอาหารเลยแล้วยังต้องมารอฉันทานอีกตั้งนาน สำหรับค่าเสียหายในมื้อนี้ ฉันไม่รู้เลยแม้แต่น้อยเพราะเพื่อนของฉันทำการฆ่าเวลาในการรอฉันด้วยการชิงเดินไปจ่ายเงินซะก่อน ฉันถามเธอว่าทำไมต้องทำอะไรเร็วๆด้วย เธอยิ้มพลางเถียงกลับมาว่า เธอเปล่าทำอะไรเร็วนะ แต่ฉันทำอะไรช้ากว่าคนอื่นต่างหาก

    .. เออ นั่นสินะ ฉันลืมนึกไปฉันมักมองอะไรผ่านมุมมองของฉันอยู่เสมอ

     จากนั้นฉันก็หอบหิ้วหัวใจอันห่อเหี่ยวของเพื่อนออกมาจากร้านหมูย่าง ระหว่างเดินข้ามถนน ฉันสังเกตเห็นคนออกันอยู่หน้าร้านร้านหนึ่ง และแล้วเราก็พากันมาหยุดอยู่หน้าร้านขาย Kebab ฉันหลงเชื่อให้ได้เลย ว่านี่ฉันคงยังใช้ชีวิตอยู่อีกฟากโลกหนึ่งแต่ต่างกันตรงที่ ที่นี่อากาศเดาง่ายกว่ากันเยอะ

             ฉันเห็นเพื่อนฉันทานน้อย ฉันเลยซื้อ Kebab ให้เธอทานแลกกับค่าหมูย่างที่เธอจ่ายให้ฉันเมื่อครู่ ฉันเองคงต้องขอผ่าน ฉันทานมากเกินไปแล้ว อาหารที่นี่ให้มาปริมาณมาก มากซะจนสามารถทานได้สองคนแบบสบายๆแต่ฉันดันกินหมดได้ด้วยตัวเองซะนี่

     เป้าหมายถัดไปของเราคือห้าง Lotte Duty Free ในวันหยุดแบบนี้ ห้าง Lotte อื่นๆ จะปิดทำการ แต่ที่ Duty Free นี้ ดูเหมือนจะเปิด 365 วันต่อปี ฉันต้องทำหน้าที่ลูกที่ดี ด้วยการหาซื้อของตามรายการที่คุณนายที่บ้านสั่งไว้ เพื่อนของฉันตาลุกวาว เมื่อเจ้าหน้าที่บอกเราว่าเราสามารถหิ้วสินค้าออกมาได้เลย หากเป็นสินค้าที่ทำในประเทศเพื่อนฉันเลยซื้อของตามบัญชาการของแม่เธอเช่นกัน เราสองคนเข้าร้านนั้น ออกร้านนี้ ดูเหมือนเธอจะเพลิดเพลินยิ่งกว่าฉันเสียอีก 

     เพื่อนฉันเล่าว่าเราจะเจอนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นพากันมากระจุกตัวกันอยู่ที่นี่ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด แม้แต่พนักงานต้อนรับ ยังกล่าวต้อนรับเราเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย โดยมิได้นัดหมายเราสองคนหันมายิ้มให้กัน แล้วจึงหันไปกล่าวตอบเธอเป็นภาษาญี่ปุ่น 

    ฉันแปลกใจเล็กน้อย เพราะกว่าครึ่งชีวิตของฉันโดนเหมาว่าเป็นชาวจีนมาโดยตลอด แต่ตั้งแต่ที่ฉันมาเหยียบที่โซลชาวต่างชาติคิดว่าฉันเป็นคนเกาหลี ชาวเกาหลีทุกคนที่ฉันมีโอกาสได้พูดคุย คิดว่าฉันเป็นคนญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นสองคนที่เจอที่ Guesthouse คิดว่าฉันเป็นคนสิงคโปร์และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด หนุ่มชาวไทยสองคนที่ฉันเจอบนรถไฟใต้ดิน คงไม่คิดว่าฉันเป็นคนไทยละมั้ง ถึงได้พูดเรื่องสัปดนซะเสียงดังขนาดนั้น ฉันจึงต้องแสร้งรับบทเป็นคนต่างชาติไปโดยปริยาย ฉันปล่อยให้ตัวเองขำกับสิ่งที่เพิ่งเจอจนคนรอบข้างคงคิดว่าฉันสติไม่ดีรึเปล่านะเก้าอี้ว่างสองตัวข้างฉันเป็นเครื่องยืนยันงั้นเหรอ แต่คงไม่ใช่หรอกเป็นเพราะทุกคนมีเก้าอี้เป็นของตัวเองแล้วตะหากล่ะ

    ..นี่ฉันมองในมุมของฉันด้านเดียวอีกหรือเปล่าเนี่ย..

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in