เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#wirunfica week before valentine
Be Mine (UshiOi / Haikyuu)
  • Fan Fiction Haikyuu!! 

    Ushijima Wakatoshi x Oikawa Tooru

    by Wirunyupha



    Be Mine





    Note

    • ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง Be Mine ของ Infinite หลังจากติดใจทำนอง ลามไปถึงเอ็มวี Dance Performance และอื่น ๆ ก็เลยไปขุดหาเนื้อเพลง...เพราะรู้ความหมายเท่านั้นแหละค่ะ แม่ขา มันใช่มาก มันอุชิโออิมาก ๆ ...ทนไม่ได้ค่ะ
    • ความดราม่าช่างหอมหวาน
    • เครดิตคำแปลเพลง จากที่นี่เลยค่ะ









    지켜봐 왔잖아

    니 사랑을 긴 이별을

    늘 상처받을 바엔 난 게 나아



    똑바로 봐 우는게 싫어서 그래

    아픈게 힘들어 그래

    그런 널 볼 때마다





    ฉันได้แต่เฝ้าดู

    ความรักและการเลิกราอันแสนจะยืดเยื้อของเธอ

    ถ้าได้แต่เป็นฝ่ายเจ็บตลอดล่ะก็มาอยู่กับฉันจะดีกว่า



    ดูฉันให้ดี ๆ สิ ฉันแค่ไม่ชอบเวลาที่เธอร้องไห้

    ความเจ็บปวดน่ะมันหายยาก

    ฉันเองก็เห็นเธอเจ็บแบบนั้นมาตลอด









    ภาพของเด็กหนุ่มที่นั่งไร้ชีวิตอยู่ที่ม้านั่งตัวหนึ่งในสวนสาธารณะ เป็นภาพที่อุชิจิมะเห็นจนชินตา



    ทว่า การที่เห็นเป็นประจำนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาปรารถนาจะเห็นมัน



    บรรยากาศรอบตัวเด็กหนุ่มคนนั้นเต็มไปด้วยความเซื่องซึม นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มักจะเป็นประกายเสมอกลับหมองลง สายตานั้นล่องลอยไปไกล ...ไปยังที่ที่อุชิจิมะไม่มีวันเอื้อมถึง



    “…โออิคาวะ”



    ทดลองเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ไม่คาดหวังถึงปฏิกิริยาตอบกลับ ทว่าคน ๆ นั้นก็ยังชะงัก สายตาเลื่อนลอยกลับมาโฟกัสอีกครั้ง พอหันมาพบว่าคนเรียกคือเขาก็เงียบไป



    “…อุชิวากะจัง”



    โออิคาวะเพียงพึมพำชื่อเขาเสียงแผ่ว ก่อนจะเบือนสายตากลับไป มองทอดไปอย่างไร้จุดหมาย



    เห็นดังนั้น อุชิจิมะจึงทรุดตัวลงนั่งบ้าง คนข้าง ๆ ไม่ได้เอ่ยต่อว่าอะไร เพียงเหลือบสายตามาอีกครั้งแล้วหันกลับไปเหมือนเดิม ราวกับว่าการที่เขามานั่งข้าง ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร



    ซึ่งก็เป็นตามนั้น...



    “เหมือนเห็นภาพเดิม ๆ ซ้ำเลยเนอะ” คนที่ปกติจะพูดมากแต่กลับเงียบอย่างครุ่นคิด จู่ ๆ ก็โพล่งขึ้นมาอีกรอบ อุชิจิมะเห็นรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านั้น แต่ความสดใสจอมปลอมนั้นไม่ส่งไปถึงแววตา



    “ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ แล้วนายก็เดินมาเจอ แล้วก็นั่งข้าง ๆ มองฉันนั่งเหม่อ”



    “…อืม”



    เขาได้แต่ส่งเสียงในลำคอ ด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรตอบกลับไปดี



    “อุชิวากะจังเคยไล่ตามอะไรสักอย่างไหม?”



    คำถามนั้นเรียกสีหน้าประหลาดใจจากคนฟัง “เช่น?”



    “คนที่เก่งกว่า สิ่งที่อยากได้ ความฝัน ความสำเร็จ ความสุข ...ความรัก”



    “…”



    “ไล่ตามเหมือนคนบ้า อยากจะได้สิ่งนั้นมาไว้ในมือ พอถึงจุดที่จะเอื้อมคว้าได้ นายก็เกิดกลัวว่า ควรจะก้าวข้ามเส้นกั้นข้างหน้าไปดีไหม” 



    นัยน์ตาสีน้ำตาลสะท้อนความเจ็บปวด แสงอาทิตย์ยามเย็นกระทบใบหน้านวลราวกับภาพฝัน ...หยุดจังหวะหัวใจคนมองและสะเทือนใจคนมองในเวลาเดียวกัน



    “…โลกนี้ไม่มีอะไรง่ายอยู่แล้ว”



    โออิคาวะยิ้มให้กับคำพูดนั้น “นั่นสิ ฉันก็รู้ข้อนั้นดีอยู่แล้ว”



    “ฉันก็มีสิ่งที่ไล่ตาม”



    “หืม?”



    คราวนี้นัยน์ตาทอประกายเศร้าคู่นั้นหันสบกับเขาอย่างสนใจ ภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในแก้วกระจกใสทำให้อุชิจิมะอดยิ้มไม่ได้



    อย่างน้อยนายก็หันมามองฉัน



    “…แต่ไล่ตามไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ได้แปลว่าคน ๆ นั้นจะหันกลับมา



    “…”



    “ฉันไม่เคยอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”



    โออิคาวะเลิกคิ้ว “ไหงกลายเป็นนายที่มาดราม่าใส่ฉันล่ะ”



    อุชิจิมะยักไหล่ “บางครั้งนายก็ความรู้สึกช้า”



    “หา? คนอย่างฉันเนี่ยนะ?”



    เซตเตอร์คนเก่งหงุดหงิดขึ้นมาทันที “กล้าดียังไงมาว่าฉันความรู้สึกช้า นายความรู้สึกเร็วตายแหละ”



    “อย่างน้อยก็เร็วพอที่จะรู้ว่านายเป็นแบบนี้เพราะอิวาอิสึมิ”



    ความเงียบทอดตัวลง แผ่กระจายเป็นวงกว้างรอบกาย ทันทีที่สิ้นสุดคำพูดของเขา



    นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นเบิกกว้าง สิ่งที่สะท้อนในนัยน์ตาคือความตื่นตระหนก คล้ายจะแตกร้าว ก่อนที่จะกลับมาสงบนิ่ง พร้อมกับรอยยิ้มฝืดเฝื่อนบนใบหน้าหล่อเหลา



    “…ความรู้สึกเร็วจริง ๆ แหละ”



    “พวกนายเป็นเพื่อนกัน”



    “ใช่” คำพูดนั้นตอบรับทันทีราวกับไม่ต้องคิด ก่อนที่คนพูดจะสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยต่อ “ใช่... พวกเราเป็นเพื่อนกัน”



    “…นายกำลังถลำลึก”



    “ถอนตัวตอนนี้ก็ยากแล้วด้วย” โออิคาวะหัวเราะ ...หัวเราะในเรื่องที่ไม่ควรหัวเราะ หัวเราะกลบเกลื่อนความเจ็บปวดในใจ



    ยิ่งอีกฝ่ายปกปิดความเจ็บปวดนั้นเมื่อไหร่ อุชิจิมะยิ่งรู้สึกจุกในอกมากขึ้นเท่านั้น



    “เขาอยู่ข้าง ๆ ฉันมาตลอดแท้ ๆ ตอนที่เห็นว่าสำคัญก็เป็นตอนที่ฉันเสียเขาไปแล้ว”



    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เสียงนุ่มนั้นแหบพร่า พร้อมกับหยดน้ำใสที่ค่อย ๆ ไหลอาบผิวแก้ม



    “เพื่อนเหรอ... ใช่ พวกเราเป็นเพื่อนกัน เพราะคำนั้นฉันเลยถอยห่างออกมาไม่ได้ แต่ยิ่งอยู่ใกล้ ก็ยิ่งถลำลึก ...ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ” 



    อุชิจิมะขยับเข้าไปใกล้ เสียงสะอื้นที่หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มบีบรัดหัวใจเขาจนไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป



    “สำหรับเขาฉันก็แค่เพื่อนคนหนึ่ง อาจเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ฉันพลาดเองที่คิดไปไกลกว่านั้น ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ฉัน... ฉันได้แต่มองอิวะจังหัวเราะกับผู้หญิงคนนั้น”



    “โออิคาวะ...”



    “หัวเราะอย่างมีความสุข หัวเราะแล้วหันมามองฉัน สายตาแบบนั้นที่ฉันไม่เคยเห็น... ฉันทำอะไรไม่ได้ ฉันพูดออกไปไม่ได้”



    เด็กหนุ่มตัวสูงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น



    โออิคาวะไม่ขัดขืน ไม่พูดว่าอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ร้องไห้... ร้องอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน หยดน้ำตามากมายพร่างพรูออกมาจากคนที่มักยิ้มอย่างสดใส และทำเหมือนไม่มีอะไรทำให้เจ็บปวดได้



    คำพูดของคนที่กำลังสะอื้นดังสะท้อนอยู่ในหัวของเขา



    ‘ฉันทำอะไรไม่ได้ ฉันพูดออกไปไม่ได้’





    내꺼 하자

    내가 널 사랑해

    내가 널 걱정해

    내가 널 끝까지 책임질게



    มาเป็นของฉันสิ

    ฉันรักเธอ

    ฉันเป็นห่วงเธอ

    ฉันจะดูแลเธอไปจนวันตาย



    Do you hear me…

    ..ได้ยินหรือเปล่า? 





    ตัวเขาเองก็พูดคำเหล่านี้ออกไปไม่ได้เช่นกัน



    ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านสวนสาธารณะแห่งนี้ เขามักจะเห็นภาพเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนั่งเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย พอเขาเดินมานั่งข้าง ๆ อีกฝ่ายก็ไม่ว่าอะไร นั่งกันสักพักก็จะแยกย้ายกันไปเอง



    แต่วันนี้ต่างออกไป ...ความเงียบในยามปกติถูกทำลายด้วยเสียงสะอื้นราวกับจะขาดใจ



    ทุกครั้งที่เสียงกลั้นสะอื้นนั้นดังขึ้น อุชิจิมะรู้สึกราวกับโดนกรีดแทงหัวใจซ้ำ ๆ ...ความเจ็บปวดนั้นเขารับรู้ได้โดยไม่ต้องมีใครมาอธิบาย



    โออิคาวะเจ็บปวดที่คนที่ตัวเองรักมีความสุขกับคนอื่น



    ตัวเขาเองเจ็บปวด...ที่คนที่ตัวเองรักร้องไห้เพราะความรักที่มีให้คนอื่น





    젖은 기억 박힌 눈길 끝 내

    품에서 죽길 바래

    잘린 마음이 흘린 눈물 삼키는 건 나지막이 들린 너라도

    감추는 나



    ความทรงจำทั้งหมดที่ชุ่มไปด้วยน้ำตานั้น

    ได้แต่หวังว่ามันคงสลายไปพออยู่ในอ้อมแขนฉัน

    ถึงจะได้ยินเสียงกล้ำกลืนน้ำตาอย่างแผ่วเบาด้วยหัวใจอันแตกสลายของเธอ

    ฉันก็จะซ่อนมันไว้เอง





    “…บ้าจริง เสื้อนายเลอะหมดแล้ว”



    เสียงอู้อี้ดังมาจากคนที่อาการดีขึ้นแล้ว อุชิจิมะแอบยิ้มกับคำพูดนั้น แล้วส่ายศีรษะเบา ๆ



    “ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ...นายไหวไหม?”



    “ไหว ๆ แค่ร้องไห้เอง ฉันไม่ได้บาดเจ็บหนักหนาสาหัสอะไรนะ”



    โออิคาวะขืนตัวออก แต่อุชิจิมะกลับกอดเขาไว้แน่น เสียงทุ้มกระซิบข้างหู



    “เพราะเจ็บปวดถึงร้องไห้ ถึงนายจะไม่มีแผลอะไร แต่ในใจนาย... นายก็รู้ดี”



    เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ...ก่อนจะถอนหายใจ



    “บางครั้งนายก็ฉลาดจนน่ากลัวเลยนะ อุชิวากะจัง”



    “…หึ”



    “หัวเราะอะไร”



    เสียงเริ่มจะแว้ด ทำให้อุชิจิมะยอมปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมแขน โชคดีที่สวนสาธารณะในเวลานี้ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปผ่านมา ไม่อย่างนั้นภาพนักเรียนม.ปลายหนุ่มสองคนกอดกันกลมคงได้เป็นข่าวลือในเร็ว ๆ นี้



    เมื่อผละออกมาให้เห็นหน้ากันชัด ๆ อุชิจิมะจึงเห็น... ดวงหน้าของอีกฝ่ายซีดเซียว ตาบวมช้ำ จมูกรั้นขึ้นสีเรื่อแดง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เห็นแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้



    “…ขอบใจ”



    “ไม่เป็นไร”



    “…ไม่ใช่แค่เรื่องผ้าสักหน่อย”



    โออิคาวะทำปากขมุบขมิบ ขณะเช็ดหน้าเช็ดตาตน ก่อนจะยื่นคืนให้เขา ทว่าอุชิจิมะไม่รับคืน



    “อะไรล่ะ”



    “นายเอาไปเถอะ”



    “ไม่ได้ นายเป็นเพื่อนฉันหรือไงฮะ ให้ของกันง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ”



    “…ฉันไม่ได้เป็นเพื่อนนายเหรอ?”



    โออิคาวะเบ้หน้า “คู่แข่ง”



    “แปลว่าฉันก็ก้าวข้ามเส้นกั้นนั่นได้สินะ”



    “หา?”



    คนที่ปกติฉลาดกว่าชาวบ้านเกิดงงขึ้นมากะทันหัน อาจเพราะร้องไห้จนสติยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง ถึงอย่างนั้นก็ยังน่าเอ็นดูในสายตาอุชิจิมะอยู่ดี



    “ถ้านายยังเป็นแบบนี้อีก...” อุชิจิมะเกริ่น ขณะที่นัยน์ตาสีนิลจับจ้องไปยังสายตาสงสัยของอีกฝ่าย “...ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะฟังนายบ่นหรอกนะ”



    โออิคาวะนึกอยากขำ แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่หลุดยิ้ม “ระวังเถอะ เสื้อนายจะต้องเปื้อนจนซักไม่ได้”



    “ให้มันเปื้อนไปเถอะ ถ้าจะทำให้นายรู้สึกดีขึ้น”



    คำพูดนั้นทำเอาคนฟังชะงัก อุชิจิมะคว้ามือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายมาไว้ สัมผัสนุ่มนั้นพาให้รู้สึกไม่อยากปล่อยทิ้ง เขาอยากจะกุมมือข้างนี้ไว้ตลอดไป... หรืออย่างน้อยก็นาน เท่าที่จะนานได้



    “อะไรของนาย ท่าทางแปลก ๆ นะ”



    สายตาหวาดระแวงที่ส่งมาทำให้เขาเผลอขยับยิ้ม ทว่าก็ยังไม่ปล่อยมือข้างนั้นอยู่ดี



    “ฉันไปส่งนะ”



    “เดินกลับเองได้น่า”



    “ให้ฉันไปเถอะ”



    “…ตามใจ”



    ท่าทางรั้น ๆ นั่น... อุชิจิมะห้ามใจตัวเองไม่ให้ก้มลงไปสัมผัสแก้มขาวนั่น เด็กหนุ่มบีบมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นอีกนิดจนคนโดนจับมือหันมามอง แต่ก็ไม่ได้บอกให้เขาปล่อยมือแต่อย่างใด



    บางที... โออิคาวะเองก็อาจจะอยากให้ใครสักคนมากุมมือตนเองไว้



    อาจจะเป็นอิวาอิสึมิ... ใช่ ก็ต้องเป็นหมอนั่นแหละ แต่ตอนนี้... สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงเท่านี้



    ถ้าจะทำให้นัยน์ตาคู่นี้กลับมาเป็นประกายสดใสอีกครั้ง ไม่ว่าอะไรเขาก็ยอม





    다투진 않을까 상처 또 안을까

    끊임 없는 아픈 고리에

    항상 소리 없는 전쟁 넌 무리해

    걱정의 방패로 난 니 앞에

    나는 달 처럼 니 주윌 돌고 돌아

    불이 커져 버린 니 사랑은 놓고 날 봐

    깊이 패여 버린 상처 덮어줄게

    웃게할게 내걸로 만들게



    เธอยังจะสู้อีกหรือเปล่า เธอยังจะเจ็บอีกมั้ยนะ

    ในวงจรแห่งความเจ็บปวดอันยาวนานนี้

    มีแต่สงครามเงียบตลอดมา มากเกินกว่าเธอจะรับไหวแล้ว

    ด้วยโล่แห่งความห่วงใยนี้ ฉันจะยืนอยู่เบื้องหน้า

    คอยคุ้มครองอยู่รอบกายเธอราวกับพระจันทร์

    แสงสว่างในความรักของเธอน่ะดับไปแล้ว ฉะนั้นทิ้งมันไปแล้วมองมาที่ฉันซะ

    ฉันจะปกป้องรอยแผลบาดลึกของเธอเอง

    จะทำให้เธอยิ้ม แลัวทำให้เธอเป็นของฉัน



    FIN



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in