เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สักวันหนึ่งSuphanat Sophonudomsin
เมื่อผมได้นั่งคุยกับ บก. salmon
  • "ไหนน้องลองสรุปหนังสือเล่มนี้ให้ได้ในประโยคเดียวซิ"
    "เอ่อ...อ่า...เอิ่ม...เอ่ออออ... มันกระจัดกระจายมากเลยอ่ะพี่ ไม่รู้จะรวบยังไงดี"
    "นั่นแปลว่าหนังสือเราไม่ได้มีความชัดเจน หนังสือที่จะตีพิมพ์ออกมาน่ะ มันต้องดูการตลาดด้วยนะ พิมพ์ออกมาแล้วมันต้องขายได้ แล้วตอนนี้หนังสือแนวท่องเที่ยวนี่มันล้นตลาดมากเลย ยิ่งเป็นญี่ปุ่นด้วยแล้วนี่ยิ่งดับเลย เราต้องคิด ว่าทำยังไงคนถึงจะหยิบหนังสือเรา ต้องคิด ว่าเขียนยังไงมันถึงจะขายได้"

    ผมเซเหมือนโดนความจริงเตะก้านคอแถมกระทืบซ้ำอีกสิบตีน
    นั่นสินะ
    หนังสือกูมันมีอะไรดีวะ
    ทำไมคนเขาต้องซื้อหนังสือมึงด้วย
    นักเขียนหน้าใหม่ ชื่อก็ไม่มี ซ้ำซากจำเจ เสียดายตังค์

    'เช็ดแม่งเอ้ยยยยยยยยย!!!'
    คืองี้ เมื่อประมาณ 4-5 เดือนที่แล้วผมไปเที่ยวญี่ปุ่นมาครับ
    แล้วไหนๆ ก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวแล้วใช่มะ ก็เลยกะคลอดหนังสือออกมาเล่มนึงซะเลย
    แล้วผมก็เป็นไอพวกไม่เคยเขียนอะไรยาวๆ ด้วยดิ งานที่เคยเขียนนานๆ ทีมันอย่างมากก็แค่ 2-3 หน้าเอสี่ แล้วนี่นับประสาอะไรกับการเขียนหนังสือเป็นเล่ม ความยาวเป็นร้อยหน้า
    คิดแล้วก็ถึงกับต้องเอามือก่ายหน้าผาก

    ผมไปเที่ยวโดยไม่มีภาพโครงร่างหนังสืออยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าเจออะไรก็หยิบมาเขียน ความเป็นตัวเราที่เล่าผ่านภาษาของเรามันคงมีเอกลักษณ์อยู่ในระดับนึงล่ะมั้ง ภาษาเราก็ไม่ได้แย่นี่
    พอกลับมาเมืองไทยผมเลยใช้เวลาหมกหมุ่นอยู่กับมันวันละเกือบสิบชั่วโมง ผมทำอย่างนั้นอยู่ 27 วันถ้วน หนังสือของผมก็คลอดออกมาเป็นรูปธรรม เป็นชิ้นเป็นอันเสียที
    ผมกลัวมากเลยนะตอนเริ่มเขียนอะ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าไว้ข้างต้นว่าผมไม่เคยเขียนอะไรยาวๆ เพราะงั้นการเริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้แม่งเลยเป็นอะไรที่ยากชิบหาย นี่กูจะจับอะไรมาใส่ดี จะจับอะไรมาไว้ตรงย่อหน้าไหนดี จะเล่าอะไรก่อน อะไรหลัง อะไรควรเล่า อะไรไม่ควรเล่า อะไรเล่าไปก็ไม่มีใครอยากรู้
    ผมเริ่มจะมาทรงตัวได้ก็เมื่อมันผ่านไปประมาณ 60% แล้วนู่นล่ะ ที่งานผมเริ่มเรียบเนียนสมูธอย่างกับใช้ซันซิลค์มากขึ้น เพราะงั้นงานส่วนท้ายๆ มันก็เลยเขียนง่ายขึ้น เร็วขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แล้วก็มีความเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้นอีกด้วย

    แต่พอย้อนกลับไปรีไรท์ส่วนต้นเท่านั้นล่ะ
    "เช้ดโด้วววววว นี่กูเขียนอะไรลงไป นี่ใช่กูแน่ๆ ใช่มั้ย นี่ใช่กูจริงดิ"
    "กากสัส เชี่ยเอ้ยยยย!!!"

    ผมรีไรท์อยู่นานมาก
    แต่มันก็คือการรีไรท์น่ะครับ ในเมื่อโครงเรื่องมันถูกกำหนดลงไปหมดแล้ว การแก้แค่ภาษามันก็เลยไม่ได้ทำให้งานมันดีขึ้นสักเท่าไหร่
    จริงๆ มันจะแก้เยอะกว่านี้ก็คงได้แหละ แต่พอเจออย่างนี้ ประกอบกับอะไรหลายๆ อย่าง มันทำให้ผมหมดไฟในการจะถอนรากถอนโคนรื้อปรับโครงใหม่ไฉไลกว่าเดิมหรืออะไรแบบนั้นแล้ว

    แล้วผมก็ใช้ต้นฉบับที่แค่รีไรท์นั่นล่ะ ส่งสำนักพิมพ์ไป

    ที่แรกที่ผมส่งคือ a book
    (2 เดือนผ่านไป ตัดภาพมา ฟึ่บ)
    นั่งเรียนอยู่ อยู่ดีๆ ก็มีอีเมลเข้า

    "เนื่องด้วยสำนักพิมพ์ a book ในเครือ บริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ท่านได้สละเวลา และให้ความไว้วางใจในการส่งต้นฉบับมาให้กับสำนักพิมพ์ แต่เนื่องจากว่าต้นฉบับของท่านไม่ตรงกับความต้องการ และกลุ่มเป้าหมายของทางสำนักพิมพ์ เราต้องขอแสดงความเสียใจแก่คุณ...
    สำนักพิมพ์ a book หวังว่าจะได้รับความไว้วางใจจากท่านอีกในโอกาสต่อไป"

    ปึ้งงงงงง
    เหมือนโดนค้อนปอนด์ทุบหัว
    "ซั๊สสสสสสสสสส!!!"
    ความเฟลเข้ามาแทนที่ บรรยากาศรอบตัวเหมือนมีพู่กันสีเทามาป้าย
    'เออแม่ง ครั้งแรก มึงจะหวังเหี้ยไรมากวะ หนังสือก็เล่มแรก โดนปฏิเสธก็ครั้งแรก มึงเป็นเทพเทวดามาจากไหนหรือเขาถึงจะต้องรับมึงอะ สู้ต่อดิวะ'
    ผมค่อยๆ รวบเอาเศษเสี้ยวที่แตกกระจายขึ้นมา แบกเศษเหล่านั้นกลับหอมานั่งซ่อมนั่งต่อมันกลับเข้าด้วยกันคนเดียวอย่างเงียบๆ

    แล้วอีกสองวันให้หลัง ผมก็ลองส่งไปที่สำนักพิมพ์ salmon ดู
    จนมาวันนี้ ประมาณเดือนนึงผ่านไป
    สำนักพิมพ์แซลมอนมาจัดอีเวนท์ "มหแบหนังสือแห่งชาติ" ที่เซนทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ซึ่งมีกิจกรรมย่อยชื่อ Meet the Editor ที่จะให้เราส่งต้นฉบับเข้าไปก่อนวันงาน แล้วเขาจะเลือกบางคนขึ้นมา แล้วจับเราไปนั่งคุยกับบก. สองต่อสองอย่างแนบนิดชิดใกล้และไพรเวทกว่าใคร
    ผมเลยรีบส่งต้นฉบับเข้าเมลทันที แล้ววันต่อมาก็มีโทรศัพท์ติดต่อมา

    "สวัสดีค่ะ โทรจากกิจกรรม Meet the Editor ของสำนักพิมพ์แซลมอนนะคะ จะแจ้งให้ทราบว่าคุณได้รับเลือกน่ะค่ะ แล้วมาพบกันที่งานเวลาบ่ายสองโมงวันอาทิตย์ได้เลยนะคะ ขอบคุณค่ะ"

    เช้ดดดด!
    ได้ว่ะ!
    แล้ววันนี้เป็นไงล่ะ
    คุยกับบก.มา
    เซเลยมั้ยล่ะ

    คือพี่บก. เขาไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นหรอกนะครับ ออกจะใจดีซะด้วยซ้ำ
    สิ่งที่พี่เขาทำวันนี้คือแนะนำครับ แนะนำจริงๆ
    แนะนำจนผมรู้สึกเหมือนคนตาบอดเดินสะเปะสะปะไม่รู้เหนือรู้ใต้ แล้วพี่เขาก็มากระซิบบอกว่ามีทางไหนให้ไปบ้าง แต่มันมีหลายทางนะ แล้วมันก็ไกลด้วย ลองไปหาพาหนะที่เหมาะกับตัวเองดู แล้วลองไปทีละทาง ทางนี้ไม่เวิร์คก็ลองทางอื่น อย่างน้อยก็ดีกว่าเดินไปเรื่อยไม่มีเป้าหมายนะ

    "ปีๆ นึงมีคนส่งต้นฉบับกันตั้งเท่าไหร่ สมมติตีเป็นสักพันคน แล้วคนที่ได้ตีพิมพ์จริงๆ ล่ะเท่าไหร่ เอ้าให้ไปเลยร้อยคน แล้วร้อยคนนั้นน่ะมันใช่ว่าจะเกิดทุกคนนะเว้ย อาจจะเกิดจริงๆ แค่คนสองคน หรืออาจจะดับหมดเลยก็ได้"

    "ถ้าเทียบกับการวิ่งแข่งนะ มันก็เหมือนเราต้องหาลู่ของตัวเองให้เจออะ แล้วยิ่งถ้าเวลาผ่านไป ลู่อื่นๆ ก็จะมีคนจับจองมากขึ้นเรื่อยๆ ลู่ที่จะให้เราแทรกตัวเข้าไปก็จะลดน้อยลง เพราะงั้นก็อย่าเอ้อระเหยลอยชายมากไปนะ"

    "เรื่องน่ะมันมีอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องเดียวกันด้วยซ้ำ แต่คนที่หยิบมันมาเล่าต่างหากที่ต่างกัน เรามองมันด้วยมุมมองแบบไหน ด้วยแว่นสีอะไร ถ้ามุมมองของเรามันแปลกพอ เด่นพอ มีอะไรให้ผู้อ่านมากพอ แล้วจับมันมาเขียนในลู่วิ่งของเราเอง นั่นล่ะ เราถึงจะอยู่ได้ในวงการหนังสือเว้ย"

    "อย่างวิชัยเนี่ย ตอนนั้นพี่ไปเที่ยวจีนด้วยกันมา มีอยู่ครั้งนึงรอข้ามถนนอยู่ด้วยกัน แล้วไอ้วิชัยมันก็พูดถึงสิ่งที่มันคิดสิ่งที่มันเห็น ณ ตอนนั้นขึ้นมา แล้วมันทำให้ทุกคนแบบ เช็ดโด้ว มึงมองแบบนี้ได้ยังไง เห็นมั้ย นี่ล่ะคือสิ่งที่เราต้องมี มุมมองที่ไม่เหมือนคนอื่นล่ะ"

    "เอาพี่เบนซ์อีกคน New York First Time เคยอ่านใช่ปะ ไปนิวยอร์กมันก็ธรรมดาใช่ปะ ใครๆ ก็ไปกัน แต่ไอนี่มันเล่าด้วยกิมมิกที่ว่า 'ครั้งแรก' ไง ทำนั่นทำนี่ครั้งแรก พอมีงี้มันก็เลยขายได้"

    "อย่างเนี่ย เราเป็นหมอใช่มะ ความเป็นหมอมันขายได้นะเว้ย เราอาจจะไปเที่ยวแล้วเล่ามันออกมาด้วยมุมมองของหมอดูสิ ไม่ได้บอกให้ทำเป็นความรู้สุขภาพจ๋าขนาดนั้นนะ แต่อาจจะแบบ การที่มาริโอ้มันเอาหัวโหม่งอิฐได้เนี่ย มันต้องมี Anatomy ยังไง ลองเอามาผสมกับความ Pop ดู ถ้าเราทำมันให้ดีได้อ่ะ พี่บอกเลยว่าแม่งขายได้"

    "แล้วอีกอย่าง การเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่จะก้าวเข้ามาในวงการได้เนี่ย มันต้องมี 'ใบเบิกทาง' นะ อย่างวิชัยมันเอาเรื่องในโรงแรมมาเล่าใช่ปะ มันเป็นอะไรที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปสัมผัสประสบการณ์แบบนั้นได้อะ แล้วมันเอามาเล่าด้วยความตลกโปกฮาของมัน แล้วเป็นไง ปังเลย หลังจากนั้นถ้าเราจะเปลี่ยนแนว จะขายอะไรเราก็จะขายได้ละ แต่สำคัญคือเราต้องมีชื่อก่อน ซึ่งเราสามารถใช้ความเป็นหมอที่มีเป็นใบเบิกทางได้นะ เพียงแต่ว่าจะทำมันออกมาในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง"

    แล้วที่สำคัญมาก
    "นักเขียนไม่ใช่ Artist อันนี้สำคัญมากจริงๆ นักเขียนจริงๆ เขาไม่ได้นั่งรออารมณ์มาค่อยมานั่งจับปากกาเรียงถ้อยคำอะไรลงไป แต่เขาต้องหมั่นฝึกฝน หมั่นเก็บไอเดีย จดโน้ต เขียนบ่อยๆ เขียนทุกวัน ไม่มีอารมณ์ก็ต้องเขียน ต้องทำให้มันเป็นนิสัย แล้วเราจะพัฒนาขึ้นมาเอง"
    "มันเหมือนเก็บชั่วโมงบินนั่นแหละ ถ้าชั่วโมงบินเราต่ำเราจะไปสู้อะไรได้"

    มีอีกหลายเรื่องที่ผมยังไม่ได้เล่าให้ทุกคนฟัง
    เพียงแต่ที่เล่าไปข้างบนนี้เป็นสิ่งที่มันกระทบความรู้สึกของผมมากๆ
    มากจนทำให้ผมต้องกลับมานั่งสำรวจตัวเองว่าตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ ผมอยู่ในบันไดขั้นไหนของเส้นทางนี้หรอ
    ผมเงยหน้ามองทางข้างหน้า แล้วก็พบว่าบันไดขั้นต่อไป และขั้นต่อๆ ไปมันทอดยาวออกไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทอดยาวจนหายเข้ากลีบเมฆไปจนไม่เห็นปลายทาง
    'เฮ้อออออ'
    ผมปล่อยตัวเองนั่งจมอยู่กับภวังค์ความคิดล้านแปดที่โถมทะลักเข้ามา

    'จะถอยแล้วหรอไอ้ทุเรศ'
    'ถอยเชี่ยไรล่ะสัส กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น'
    'เอ้าลุกเว้ย! มีทางอีกไกลให้ไป เลิกนั่งหงอยทำหน้าเป็นตูดลิงได้ละ ไปไปไป ลุก'

    เอาวะ กูอยากเป็นนักเขียน กูเลือกแล้ว
    มาสู้กันต่อไปบนเส้นทางนี้ละกัน.

    ปล. ขอบคุณพี่กาย กับพี่แบงค์ บก.ใหญ่แห่งแซลมอนมากนะครับ ที่ให้ทั้งประสบการณ์ คำแนะนำ และกำลังใจอีกมากมาย ที่พวกพี่บอกว่า "ถ้าวันนึงดังแล้วอย่าลืมแซลมอนนะ" ผมจะพยายามไปให้ถึงจุดนั้นนะครับ ^^

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Oumim Penpitchaya (@fb1943940325723)
ขอสอบถามค่ะ อยากส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์พอดี พึ่งมาเจอบทความนี้ อยากทราบว่าส่งทางไหนให้ a book คะ และชี้แจงอะไรไปบ้าง