เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
2AM Book Club: รีวิวหนังสือตามอารมณ์memiann
Fahrenheit 451 | ในเมื่อหนังสือทำให้คนคิดมาก ก็เผาทิ้งเลยดีกว่า!
  • จะทำยังไง ถ้าเราต้องอยู่ในโลกที่หนังสือทุกเล่มต้องถูกเผาทิ้ง เพราะมันทำให้คน "คิดมาก" เกินไป จนไม่มีความสุข?! ... แค่คิดตามก็น่าโมโหแล้ว หนังสือหน้าปกยับเรายังโกรธเลย นับประสาอะไรกับการมาเผาของรักของหวงทิ้งกันดื้อๆแบบนี้ล่ะ 

    "Fahrenheit 451" โดย Ray Bradbury เป็นนิยายคลาสสิกตั้งแต่ปี 1953  ที่ถูกตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยเนื้อหาที่ชวนคิดและสะท้อนสังคมได้ดีมากๆ ..... แถมยังมีปกที่หน้าตาหลากหลาย (สวยๆทั้งนั้นด้วย) เล่มที่เราซื้อมาเป็นแบบนี้
     
    แน่นอนว่าหนังสืออมตะแบบนี้ มีแปลไทยแล้วในชื่อเดียวกันเลย - "ฟาเรนไฮต์ 451" 

    แล้วทำไมหนังสือต้องชื่อนี้???? 
    เพราะ 451 องศาฟาเรนไฮต์ คืออุณภูมิที่ Ray Bradbury บอกว่าหนังสือจะลุกติดไฟได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งเชื้อเพลิง! โหยย เขาคิดมาแล้ววว
    ( อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้>>ตรงนี้<<เลย )
    เอาล่ะ...มา เข้าเรื่องกัน 

    เรื่องย่อ

    Guy Montag เป็นนักผจญเพลิง 
    ในโลกของเขา ที่ซึ่งโทรทัศน์เป็นใหญ่และวรรณกรรมใกล้จะสูญพันธุ์ นักผจญเพลิงมีหน้าที่จุดไฟแทนที่จะดับไฟ ...หน้าที่ของ Montag คือทำลายโภคภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายที่สุด นั่นคือหนังสือรวมถึงบ้านที่หนังสือเหล่านั้นถูกซุกซ่อนไว้

    Montag ไม่เคยตั้งคำถามถึงการทำลายล้างและความพินาศที่เป็นผลจากการกระทำของเขา แต่แล้วเมื่อเขาได้พบกับ Clarisse สาวน้อยเพื่อนบ้านผู้แปลกประหลาดที่แนะนำให้เขาได้รู้จักกับอดีตที่ผู้คนมิได้มีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว และปัจจุบันที่ผู้คนเห็นโลกผ่านทางความคิดในหนังสือ แทนที่จะเป็นการพูดคุยไร้สาระในโทรทัศน์ Montag ก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยรู้จักมา เขาเริ่มเก็บซ่อนหนังสือไว้ที่บ้าน และเมื่อการกระทำอันลักลอบของเขาถูกค้นพบ Montag ก็ต้องหนีเอาชีวิตรอด...

  • Fahrenheit 451 เป็นหนังสือขึ้นหิ้งคลาสสิกอีกเล่มนึง ที่อ่านง่ายมากๆ และเต็มไปด้วยข้อคิดให้ตกตะกอน โดยที่คนรักการอ่านน่าจะอินมากเป็นพิเศษ​ 

    คอนเซ็ปและข้อคิดในเรื่องนี้ สะท้อนสังคมได้ดีเลย มันเป็นเรื่องของการที่กลุ่มคนที่มีอำนาจ (อย่างรัฐบาล) ตัดสินใจแทนประชาชน ด้วยการจำกัดขอบเขตของสื่อที่ทุกคนเข้าถึงได้ อะไรที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ 'อาจนำภัย'มาสู่สังคม ซึ่งในกรณีนี้ คือหนังสือ...ก็จะถูกตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ด้วยการโดน ban ทิ้งทันที เป็นการปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้รับข้อมูลหรือความรู้ใดๆมาประกอบการตัดสินใจ และป้อนแต่ข้อมูลที่คัดกรองมาแล้ว (ซึ่งอาจจะบิดเบือนจากความเป็นจริง) เพียงอย่างเดียว 

    .... นี่เป็นระบบ censorship ที่หลายๆประเทศ รวมถึงไทยด้วยแหละ ยังต้องเจออยู่ทุกวัน มันเลยทำให้เราชื่นชมหนังสือเล่มนี้มาก เพราะถึงแม้จะถูกเขียนมานานแล้ว แต่ก็ยังเข้ากับสังคมในยุคปัจจุบันอยู่เลย (หรือคิดอีกแง่นึงคือ ปัญหานี้มีมานานแล้วแต่ไม่ได้รับการแก้ไขสักที....)

    คอนเซ็ปอาจจะฟังดูหนัก แต่เชื่อเราเถอะ ว่าวิธีการเล่าของผู้เขียน ทำให้เราไหลไปกับเรื่องได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกว่ากำลังอ่านอะไรที่ซีเรียสหรือมีน้ำหนักเยอะมากๆอยู่เลย

    ตัวละครในเรื่องนี้มีไม่กี่คน เราชอบพัฒนาการของตัวละครหลัก Guy Montag เขามีความขี้สงสัยและต้องการหาคำตอบ ...ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ Montag ได้พัฒนาไปเยอะ แทบจะพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ และทุกการเปลี่ยนแปลงของตัวเขาทั้งการกระทำและความคิด มีเหตุผลที่ดีรองรับทุกอย่าง ถึงบางครั้งจะตัดสินใจทำอะไรโง่ๆไปบ้างด้วยอารมณ์ แต่ก็ยังเข้าใจได้ ... ส่วนตัวละครอื่นๆ มีทั้ง likeable character (อย่าง Clarisse) และ unlikeable character (อย่าง Mildred) ปนๆกันไป มาเพิ่มน้ำหนักให้กับเรื่อง

    ในส่วนของการเขียนของ Ray Bradbury.. เขามีภาษาที่สวยและถูกจริตกับเรามาก โดยเฉพาะช่วงต้นเรื่อง ที่ต้องใช้การอธิบายสภาพแวดล้อมของสังคมและรายละเอียดทั้งหมด เราเห็นภาพชัดเจนมากกกก แล้วเราก็ชอบมุมมองการเปรียบเปรยของ Ray Bradbury ที่สุดเลย เขามีความคิดสร้างสรรค์แล้วก็มุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ดี 

    ช่วงกลางๆของเรื่องมีความช้าเนือยๆไปหน่อย เหมือนคนเขียนพยายามจะลากให้เรื่องไปทางไหนสักทาง แต่ก็ไม่ไปสักที ยังดีที่มีภาษาและการอธิบายสวยๆ มากู้ความเบื่อไม่ให้มากเกินไป ส่วนในช่วงค่อนไปท้ายๆ เรื่องทั้งหมดถีบตัวเองให้ไปไวขึ้นมากๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วฉึบฉับ การกระทำของ Montag เหมือน ripple effect ที่ขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อยๆ และใหญ่โตขึ้นในตอนท้าย ก่อนจะตู้มมม จบ

    ที่สำคัญ เราชอบตอนจบของเรื่องนี้ มันกึ่งเป็นปลายเปิดและปิดสำหรับเรา (เอ๊ะ อะไร..!) คือมันเป็นบทสรุปที่เหมาะสม มีเรื่องที่ได้รับการคลี่คลาย ในขณะที่ก็มีสิ่งอื่นที่เปิดให้จินตนาการเราคิดต่อไปถึงอนาคต เอาเป็นว่ามันเป็นตอนจบที่เราค่อนข้างประทับใจเลยแหละ 

    - - - - - - - - - -

    นอกจากนี้แล้ว Fahrenheit 451 ยังเป็นหนังสือที่ แทบทุกปกมีคอนเซ็ปและการออกแบบที่ดี คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องที่มีจุดเด่นชัดเจน อันที่เราชอบที่สุด เป็นคอนเซ็ปบุ้ค ออกแบบโดย Elizabeth Perez ซึ่งไม่ได้รับการตีพิมพ์ออกมาจริงๆหรอก แต่น่าสนใจมากเลย 

    | ภาพจากเว็บไซต์ของ Elizabeth Perez |
    ตรงหน้าปกจะมีไม้ขีดให้หนึ่งอัน และตรงสันจะเป็นตัวจุดไฟ ถ้าใครอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วไม่พอใจล่ะก็ สามารถจุดไม้ขีดเผาหนังสือทิ้งได้เลย! 

    ส่วนอีกอันเป็นปกกราฟฟิค ที่มานิ่งๆแต่เห็นภาพชัดเจน

    เห็นปกสวยๆแบบนี้แล้วก็ชื่นใจ :D
  • มาถึงส่วนย่อว่าเราชอบและไม่ชอบอะไรใน Fahrenheit 451 บ้าง

    The YESSS
    • สังคม วัฒนธรรม และโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาในเรื่องนี้ สร้างสรรค์และอมตะมาก รายละเอียดดีงาม น่าสนใจที่สุด
    • การเถียงกันเรื่องหนังสือ มุมมองที่ถูกเอามาถกกันน่าคิดตามมากๆ แล้วก็แทรกอารมณ์ขันนิดหน่อย ในความรู้สึกเราเหมือนได้อ่าน non-fiction ใน fiction เลย
    • ข้อคิด สะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆอย่าง
    • ความบานปลายในการกระทำของตัวเอก เริ่มจากความเอะใจสงสัยเล็กๆน้อยๆ แต่ขยับขยายไปเรื่อยๆ จนเรียกว่า.. ชีวิตชิบหายเลยแหละ 
    • ตอนจบ ไหนจะคลายปมในเรื่อง ไหนจะเปิดทางให้เราจินตนาการต่อไป แล้วไหนจะ twist ที่มาเหนือความคาดหมายนั่น!! เป็นตอนจบที่ค่อนข้างมี impact และดันให้เนื้อเรื่องที่ผ่านมาสตรองไปอีก
    • ขนาดหนังสือ เล่มเล่ม เบา พกง่าย หยิบไปอ่านข้างนอกได้คูลๆ

    The NAHHH
    • ช่วงเกือบกลางๆ เนื้อเรื่องเอื่อยๆเนือยๆ ช้าไปหน่อย
    • **SPOILER ALERT** Clarisse เราชอบนางมาก อยากให้อยู่ด้วยกันไปจนจบเรื่อง ไม่น่าด่วนจากไปแต่ต้น คือเราก็เข้าใจนะว่าการหายไปของนางต้องเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอกทำอะไรสักอย่าง แต่คาแร็คเตอร์ Clarisse มีมุมมองที่น่าสนใจหลายๆอย่าง จนเราเสียดายเพราะไม่ได้เห็นนางต่อจากนั้น **SPOILER ENDS**
  • สรุปแล้วววว.... ?
    Fahrenheit451 เป็นหนังสือที่ชีวิตนึงควรจะอ่านสักครั้ง วิธีการเล่าทำให้อ่านง่าย แต่แฝงข้อคิดสะท้อนสังคมต่างๆ รวมไปถึงการถกเถียงเรื่องหนังสือไว้เยอะแยะ ตลอดทั้งเรื่องมีภาษาเขียนที่สวย เปรียบเปรยดี แล้วโลกที่คนเขียนสร้างขึ้นมา ก็เต็มไปด้วยเอกลักษณ์และความสร้างสรรค์ ช่วงกลางอาจมีเฉื่อยๆน่าเบื่อนิดหน่อย แต่ตอนจบเราว่าทำให้คุ้มค่าที่จะอ่าน  
    สำหรับเรา ยิ่งชอบหนังสือเล่มนี้หลังจากอ่านเสร็จ แล้วได้ปล่อยให้ความคิดตกตะกอนสักพัก เหมือนเราได้ค่อยๆนึกตามและเข้าใจสิ่งที่คนเขียนต้องการจะสื่อ (หรือเราสมองช้า? ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...)

    - - - - - - - - - -

    ปกติเราจะให้ Rate คะแนนหนังสือ แต่สำหรับ Fahrenheit 451 เราอ่านและเขียนรีวิวค้างไว้ตั้งแต่เดือนกุมภา กว่าจะมากด publish ก็กรกฎาแล้ว (หายไปนานเลย แฮ่...) ตอนที่เขียนนั้นก็ไม่ได้ให้คะแนนหนังสือเอาไว้ มาให้ตอนนี้คิดว่าน่าจะไม่แฟร์ รีวิวนี้เลยขอไม่มีคะแนนนะคะ 

    - - - - - - - - - -

    สุดท้ายละ
    แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้เคยถูกสร้างเป็นหนังมาแล้ว แต่นู้นนนแหน่ะ ในปี 1966 เลย และเราได้ยินมาว่าตัวคนเขียนเอง กลับไม่ชอบหนังที่ถูกสร้างขึ้นมาเอาซะเลยค่ะ
    ใครสงสัยว่าทำไม Ray Bradbury ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ก็ลองไปดูกันได้นะ เราเองก็ยังไม่เคยดูเหมือนกัน 
    - - - - - - - - - -

    ข้อมูลหนังสือปิดท้าย ไปหาอ่านกันเถอะ หนังสือดีๆ :)
    ภาษาอังกฤษ 
    เรื่อง: Fahrenheit 451
    ผู้แต่ง: Ray Bradbury  
    มีหลายedition หลายปกมาก และหาไม่ยากเลยเพราะมีการตีพิมพ์ซ้ำเรื่อยๆ 
    ส่วนราคาก็ประมาณ 250 - 550 บาท แล้วแต่ฉบับเนอะ

    ภาษาไทย
    เรื่อง: ฟาเรนไฮต์ 451
    ผู้แปล: ต้องตา สุธรรมรังษี
    ISBN: 9786161806149
    ราคา: 165 บาท

    - - - ขอให้อ่านให้สนุก - - -

    | ภาพ header เป็นภาพปกหนังสือเล่มนี้เมื่อปี 1976 |

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in