เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
EVERY SINGLE PIECE OF YOU MAKES ME FALLa week before valentine
[JOHNNY/JAEHYUN] You're My Destiny
  • บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย, Y, BL

    หากไม่ชอบกรุณากดปิด

    บทความนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น

    Rating: PG

    Category: M/M

    Fandom: NCT

    Relationships: Johnny/Jaehyun, Taeyong/Ten (น่าจะ(?))

    Warning: Goblin (The Korean TV Series) Parody

    Note: ชื่อเรื่องน้ำเน่ามาก 555555555555555555555555555555 จะมีตอนต่อไหม ไม่รู้ เพราะนี่วูบ

     

    You’re My Destiny

    Wirunyupha / A Week Before Valentine

     


     

     

    1

     

    ตั้งแต่จำความได้ ชีวิตของจองแจฮยอน ไม่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘สบาย’ เลยสักนิด

     

    เขาไม่รู้จักพ่อของตัวเอง ไม่เคยพบหน้า มีเพียงมารดาที่เลี้ยงดูมาตลอดจนเก้าขวบ จู่ ๆ หล่อนก็ด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุ หลังจากนั้นแจฮยอนก็เติบโตมากับน้าสาวซึ่งเป็นญาติทางแม่ ทว่าครอบครัวนั้นก็ไม่ได้เลี้ยงเขาให้สุขสบายอะไร ยิ่งเมื่อพวกเขาต่างก็มีลูกของตัวเอง แจฮยอนอยู่ในสถานะที่ไม่ต่างอะไรกับภาระอีกก้อนให้ผู้ปกครองตามกฎหมาย

     

    พอแจฮยอนเรียนจบม.ต้น เขาตัดสินใจหาสมัครงานพาร์ตไทม์หารายได้เสริม จะได้หาเรื่องออกมาอยู่หอ ซึ่งน้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะยินดีเสียด้วยซ้ำ ยิ่งพอเขาบอกว่าจะจัดการค่าใช้จ่ายเอง ก็แทบจะถูกถีบหัวส่งออกมา

     

    แต่ถ้าคิดว่าสถานการณ์ที่บ้านย่ำแย่แล้ว ที่โรงเรียนหรือที่อื่นคงทำให้เขายิ้มได้บ้าง แจฮยอนขอบอกเลยว่า คุณคิดผิด

     

    เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ต้องพูดตรง ๆ ว่า ตั้งแต่สัมผัสชีวิตการเป็นนักเรียน เพื่อนคนสุดท้ายที่แจฮยอนผูกสัมพันธ์ด้วยคือตอนอายุ 12 ก่อนที่เขาจะเริ่มแยกไม่ออกว่า คนที่นั่งข้าง ๆ เป็นมนุษย์หรือวิญญาณ

     

    ใช่ แจฮยอนมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น

     

    มันเกิดขึ้นหลังงานศพของแม่ของเขา จู่ ๆ แจฮยอนก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวในสุสาน

     

    มีวิญญาณมากมายรายล้อมตัวเขา แต่ไม่มีแม่ของเขา และหนึ่งในนั้นก็ชี้มาที่เขาพร้อมกับเอ่ยว่า

     

    ‘เด็กคนนี้คือเจ้าสาวของก็อบลิน’

     

    แจฮยอนไม่เคยเข้าใจคำนั้นหรอก ผ่านมาสิบปีก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

     

    เจ้าสาวบ้าบออะไร ประการแรกคือเขาเป็นผู้ชาย หรือคำนี้ไม่เกี่ยวกับเพศอีกต่อไปแล้ว

     

    แล้วไอ้เจ้าสาวอะไรนี่มันมีอิทธิพลอะไรในวงการวิญญาณและสิ่งลี้ลับนักเหรอ ทำไมถึงได้มีวิญญาณแปลก ๆ จ้องจะเข้าหาเขาตลอดเลย

     

    เช่น ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้เนี่ย

     

    “เธอต้องช่วยฉันนะ ไม่งั้นฉันจะไม่ได้ไปเกิด”

     

    แจฮยอนนั่งเหม่ออยู่ที่ม้านั่งตรงป้ายรถบัส แม้จะนั่งอยู่ใต้ชายคาแต่ก็ยังจะอุตส่าห์มีละอองเม็ดฝนเล็ก ๆ กระเซ็นมาโดนหน้าได้ เด็กหนุ่มยู่หน้า ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงโหยหวนข้างหู

     

    “จริง ๆ นะ เพราะเธอเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน เธอช่วยพวกเราได้ เธอจะนำชัยชนะมาให้พวกเรา…”

     

    หล่อนไม่ได้มาแค่เสียง แต่มาพร้อมสัมผัมเย็นเยียบบนฝ่ามือ หล่อนคงจับมือเขา แล้วมากระซิบใกล้ ๆ เพราะลมเย็นจัดจนชวนขนลุกผะแผ่วอยู่แถวใบหู

     

    แต่คิดว่าแค่นี้ทำอะไรจองแจฮยอน ผู้มีประสบการณ์พบเจอวิญญาณมาสิบปีได้เหรอ

     

    เขาถอนหายใจ นึกเสียใจนิดหน่อยที่ไปสบตากับเจ๊แกเข้าตอนรอรถบัส ถึงทุกวันนี้เขาจะแยกวิญญาณกับมนุษย์ออกจากกันได้แล้ว แต่ก็มีบางครั้งที่แวบแรกที่เห็นมันแยกไม่ได้

     

    ยิ่งวิญญาณที่เพิ่งออกจากร่าง นั่นยิ่งแยกยากเลย

     

    แจฮยอนเห็นรถบัสจอดเทียบท่ารถ เขาลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะเมินวิญญาณข้างกายแล้วขึ้นรถกลับอพาร์ตเมนต์เสียที แต่หล่อนกลับรั้งเขาไว้ แรงกดมหาศาลทำให้แจฮยอนได้แต่นั่งนิ่งจวบจนรถบัสวิ่งจากไป และไม่มีใครอยู่ที่ป้ายรถอีก

     

    เขาตวัดสายตามองหล่อน

     

    “ช่วยขยับออกไปด้วยครับ”

     

    “ไม่ เธอต้องช่วยฉัน”

     

    “ก็ขยับออกไปสิครับ”

     

    น้ำเสียงของเขาคงเย็นเยียบกว่าสัมผัสของวิญญาณ หล่อนจึงถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    “ไม่เห็นใจดีเหมือนที่เขาว่ากันเลยล่ะ”

     

    แจฮยอนถอนหายใจ “จะให้ผมทำอะไรครับ เร็วหน่อย ผมไปทำงานต่อ”

     

    แล้วหล่อนก็ยิ้มกว้าง มีชีวิตชีวากว่ามนุษย์อย่างแจฮยอนเสียอีก



    นอกจากต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง แล้วก็เรียนหนังสือเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แจฮยอนยังมีงานบุญงานการกุศลที่ทำแล้วไม่ได้อะไรเลย นอกจากทรมานตัวเองและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัวเขาเองในบางที ก็คือการช่วยเหลือวิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณที่มีบ่วงเคราะห์ต่าง ๆ

     

    ว่ากันว่า (จากที่ฟังผี ๆ ทั้งหลายพูดกรอกหูมาตลอด จริง ๆ เพื่อนของแจฮยอนก็อาจจะเป็นผีพวกนี้นี่แหละ เพราะมนุษย์ปกติก็กลัวเขากันหมด) วิญญาณที่หมดอายุขัยแล้วออกจากร่าง จะมียมทูตมารับไปฟังคำพิพากษา เพื่อดูว่าจะได้ไปนรกหรือสวรรค์ แจฮยอนไม่เคยเจอยมทูตกับตัวสักครั้ง แต่ผีทุกคนที่เคยเจอก็บอกเขาว่า อย่าเจอเลย ไม่ใช่เรื่องดีหรอก

     

    คนเป็นไม่มีสิทธิ์ได้เจอยมทูต มีเพียงคนตายเท่านั้นที่จะได้รับเกียรตินั้น

     

    วิญญาณที่ป้ายรถบัสพาเขามาถึงอพาร์ตเมนต์เก่า ๆ ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ฝนยังคงไม่ซาเม็ด แจฮยอนต้องกางร่มมาตลอดทาง อาคารสีเทาทึบทึมบรรยากาศชวนหดหู่คลอด้วยเสียงฝนทำให้เขารู้สึกอยากเดินหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้เหลือเกิน

     

    แต่วิญญาณข้าง ๆ ไม่ให้เขาไปง่าย ๆ หรอก

     

    “ยังไงต่อครับ”

     

    เขาเอ่ยเสียงเบา เพราะกลัวจะมีคนอื่นได้ยินแล้วเข้าใจว่าเขาพูดคนเดียว (และมันก็เป็นแบบนั้นบ่อยเสียด้วย)

     

    “ฉันลืมของไว้ในห้อง ญาติไม่เอากลับไปให้ฉันตอนเขามาขนของออกไป”

     

    แจฮยอนเหลือบมองร่างขาวซีดโปร่งแสงนั่น แล้วถอนหายใจ

     

    “ห้องไหนครับ”

     

    “444”

     

    “…มีห้องนั้นอยู่จริง ๆ เหรอครับ”

     

    “จริงสิ เจ้าของอพาร์ตเมนต์ไม่ถือเรื่องฮวงจุ้ย”

     

    เด็กหนุ่มอยากไม่รับรู้สิ่งใด แต่ที่ทำได้คือเดินเข้าไปในอาคาร ขึ้นไปถึงชั้น 4 ห้อง 444

     

    บรรยากาศน่าวังเวงกว่าเมื่อครู่เสียอีก แจฮยอนเสยผมลวก ๆ อย่างหงุดหงิดใจ เขามาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย

     

    เขาลองกดออดดู ครั้งแรกเงียบสนิท ไม่มีสัญญาณตอบกลับมา เลยลองกดอีกครั้ง

     

    ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นในห้อง “สักครู่ครับ” ตามมาด้วยเสียงข้าวของหล่นหรืออะไรสักอย่าง แจฮยอนเหลือบมองวิญญาณข้าง ๆ หล่อนเกาะเขาเสียแน่น จนเขาเริ่มลังเลว่าตัวเองควรกลัวอไรกันแน่ ระหว่างคนกับผี

     

    ประตูแง้มเปิดออก ใบหน้าของเจ้าของโผล่มาอยู่ระหว่างประตู กำแพง และโซ่ที่เชื่อมตัวล็อกประตู เขาตัวเล็กกว่าแจฮยอน มีผมสีขาวซีดที่คงโดนกัดจนเสีย เพราะมันชี้ฟูไม่ค่อยเป็นทรง และนัยน์ตาดำกลมเหมือนลูกแก้ว ตัดกับผิวขาวจัดจนแทบจะกลืนกับสีผม

     

    บอกตรง ๆ ว่าน่ากลัวกว่าผีข้าง ๆ เขาอีก

     

    แจฮยอนกลืนน้ำลายอึกใหญ่

     

    “เอ่อ ขอโทษที่รบกวนครับ”

     

    “มีอะไร”

     

    เสียงนั้นเย็นจนชวนให้คนฟังสะท้าน แต่แจฮยอนก็ยังยิ้มสู้

     

    ส่วนผีสาวข้าง ๆ เขาตอนนี้ อีกนิดก็จะสิงร่างเขาแล้ว

     

    เขาเหลือบมองหล่อน แล้วพูดต่อ “เพื่อนของผมที่เช่าห้องก่อนคุณลืมของไว้ที่นี่น่ะครับ ยังไงช่วยหาให้หน่อยได้ไหมครับ เผื่อคุณไม่สะดวกให้ผมเข้าไปหาเอง”

     

    เจ้าของห้องขมวดคิ้ว “ของอะไร”

     

    “เอ่อ…” ของอะไรวะ

     

    “ต่างหู”

     

    หล่อนพูดเสียงเบา แต่อยู่กันแค่นี้ยังไงเขาก็ได้ยิน

     

    “อ่อ ต่างหู”

     

    “…ครับ?”

     

    และก็เหมือนเจ้าของห้องก็จะได้ยิน…?

     

    แจฮยอนตัวชาวาบ คนที่รับรู้ได้ถึงคนจากอีกโลกมีไม่กี่จำพวก เขาจะจำแนกให้ฟัง ตามที่ได้ยินพวกผีคุยกันมา

     

    พวกแรกคือวิญญาณด้วยกันเอง

     

    พวกที่สองคือก็อบลิน ที่ทุกวันนี้แจฮยอนก็ยังไม่เคยเจอ

     

    พวกที่สามคือเจ้าสาวของก็อบลิน ซึ่งตอนนี้น่าจะมีแค่เขาคนเดียว (พวกผีบอกว่ามีแค่ชาติละคน)

     

    พวกที่สี่คือพวกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับ เช่น หมอดู พ่อมดแม่มด ซึ่งทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีเหลือในสังคมปัจจุบันแล้ว

     

    และสุดท้าย คือยมทูต

     

    เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจัดอยู่ในประเภทไหน ที่แน่ ๆ ไม่ใช่หนึ่งกับสาม จะเป็นก็อบลิน เป็นประเภทที่สี่ หรือเป็นยมทูตกันแน่…

     

    ประตูปิดลงโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาถาม เจ้าของห้องหายไปครู่หนึ่ง แล้วกลับออกมาพร้อมต่างหูที่ห้อยไข่มุกสีขาวข้างหนึ่ง

     

    “นี่ใช่ไหม”

     

    อีกฝ่ายไม่ได้ถามเขาแล้ว แต่ถามผีสาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง หล่อนพยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางปลาบปลื้มดีใจเสียจนแจฮยอนอดยิ้มไม่ได้

     

    ถามว่าเขาช่วยเหลือพวกผีเร่ร่อนนี่เพื่ออะไร บางทีก็เพราะอยากเห็นอะไรแบบนี้แหละ

     

    เจ้าของห้องพยักหน้ารับอย่างพอใจ ก่อนจะโยนต่างหูให้เขารับ

     

    แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้แจฮยอนอย่างกระโดดลงจากตึกไปเลย

     

    “พรุ่งนี้ผมจะไปรับคุณนะครับ หมดบ่วงแล้วก็หมดเวลาที่นี่แล้ว”

     

    ข้อสรุปของคำถามตอนแรกของแจฮยอน

     

    ชายคนนี้เป็นยมทูต



    “ขอโทษที่มาสายนะครับ”

     

    แจฮยอนแทบจะก้มลงกราบชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มสวยที่ยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์ เตนล์เป็นเจ้าของคาเฟ่ที่เขาทำงานพาร์ตไทม์อยู่ เจ้าตัวไม่ใช่คนเกาหลี เป็นคนไทยที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ พออยู่ได้สักพักก็คิดอยากทำสถานที่ที่เป็นชุมชนให้คนไทยในเกาหลีและคนที่ชื่นชอบเมืองไทยได้มาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันได้ จึงเกิดเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ แถวมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่ไม่ห่างจากอพาร์ตเมนต์ของแจฮยอนมากนัก

     

    ทำเลที่ตั้งอพาร์ตเมนต์ของแจฮยอนนับว่าเป็นทำเลทอง อยู่ใกล้มหาวิทยาลัย มีร้านอาหารมากมาย และห่างจากโรงเรียนของเขาแค่ห้าป้ายรถเมล์ แต่ราคาก็ถูกแสนถูกเพราะผู้เช่าคนก่อนฆ่าตัวตาย เจ้าของอพาร์ตเมนต์เลยแทบจะห้องให้เขาฟรี ๆ แจฮยอนนึกขอบคุณความสามารถพิเศษของตัวเองก็ตอนนี้ ตอนที่คุยกับเจ้าของห้องคนเก่าที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดได้และได้ห้องนี้มาในราคาที่สบายกระเป๋าเขาที่สุด

     

    ก็นับเป็นเรื่องดี ๆ ไม่กี่อย่างในชีวิตของแจฮยอนล่ะนะ

     

    ส่วนเรื่องดี ๆ อีกอย่างก็คือการได้เจอคุณเตนล์ เจ้าของร้านที่ใจดี มีเมตตา ไม่เคยด่าทอว่าอะไรพนักงานในร้านเลย มีอะไรก็คุยกันตรง ๆ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ความช่วยเหลือพนักงานอยู่เสมอ อีกนิดจะคิดว่าเป็นนักบุญมาโปรดชีวิตอันยากลำบากของแจฮยอนแล้ว ทำงานกับคุณเตนล์มีแต่ความสุขจริง ๆ ดังนั้นแม้วันไหนจะเรียนหนักหนาสาหัส แต่แจฮยอนก็จะลากสังขารมาทำงานอยู่ดี

     

    เพราะแค่ได้เห็นเจ้าของร้านยิ้ม ก็รู้สึกเหมือนความทุกข์ทั้งมวลหายไปแล้ว

     

    “ตากฝนมาหรือเปล่าเนี่ย แจฮยอน” เตนล์ถามเขา เด็กหนุ่มส่ายหน้ายิ้ม ๆ เก็บร่มไว้ในที่เก็บร่ม แล้วขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเครื่องแบบของร้าน

     

    คาเฟ่ของเตนล์เป็นคาเฟ่กึ่งโคเวิร์กกิ้งสเปซ มีพื้นที่ให้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตฟรี นั่งคุยงาน หรืออ่านหนังสือ แล้วก็มีหนังสือให้อ่านเล่นด้วย หนังสือก็ไม่ใช่น้อย ๆ มีเป็นพันเล่ม แจฮยอนทำหน้าที่ส่วนจัดเก็บหนังสือ เช็กว่าหนังสือเสียหายหรือเปล่า มีเล่มไหนหายไปไหม เขาชอบใช้เวลาว่างนั่งอ่านหนังสือเล่นรอลูกค้าหรือคุณเตนล์เรียก ช่วงเวลาที่อยู่ในร้านของเตนล์ แจฮยอนจะรู้สึกอยากหยุดเวลาไว้ทุกที

     

    ไม่มีวิญญาณมาก่อกวน ไม่มีสายตาแปลก ๆ จากคนรอบข้างในโรงเรียน ไม่มีเสียงด่าทอจากคนที่บ้าน

     

    ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง

     

    แจฮยอนไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนหน้าหนังสือในมือ เป็นหนังสือเกี่ยวกับเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ทุกครั้งที่อ่านหนังสือพวกนี้ แจฮยอนจะคิดว่าถ้าเป็นไปได้ ถ้าเป็นมีเงินมากพอ เขาจะพาตัวเองออกไปจากเกาหลี ไปอยู่ไกล ๆ อเมริกาก็คงดี

     

    คิดภาพตัวเองเดินเล่นอยู่ในชิคาโก้แล้วก็อดขำไม่ได้ แจฮยอนฝันถึงเมืองแห่งหนึ่งอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่เด็ก ๆ ที่น่าแปลกคือเขาเพิ่งรู้ไม่นานมานี้นี่เองว่าเมืองนั้นคือชิคาโก้ เขามักฝันเห็นตัวเองเดินเล่นอยู่ในเมือง ข้าง ๆ เป็นผู้ชายคนหนึ่ง…

     

    แจฮยอนเงยหน้าจากหนังสือเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้อง

     

    เขาสบตากับผู้ชายตัวสูงคนหนึ่ง

     

    ชายหนุ่มตัวสูง…สูงกว่าแจฮยอนที่สูง 180 เซ็นเสียอีก ใบหน้าเรียบเฉยแต่เครื่องหน้าเหมือนรูปสลัก ริมฝีปากรูปปีกนก ผิวสีแทนทำให้ชายตรงหน้าดูราวกับนักกีฬา ช่วงไหล่กว้างใต้เสื้อโค้ตยาวที่สวมทับเสื้อคอเต่าสีดำอีกที

     

    เขายืนมองแจฮยอน

     

    แจฮยอนก็สบตาเขากลับไป

     

    แล้วตอนนั้น คำพูดหนึ่งที่แจฮยอนมักจะได้ยินอยู่เสมอก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

     

    ‘เธอคือเจ้าสาวของก็อบลิน’

     

    ‘ก็อบลินนี่คืออะไร’

     

    ‘ถ้าเจอก็จะรู้เองแหละ ก็อบลินก็คือก็อบลิน’

     

    ‘…ไม่เข้าใจเลย’

     

    ‘ไม่ต้องเข้าใจก็ได้ แต่จำไว้ ตอนที่เธอเจอก็อบลิน เธอจะรู้เอง’

     

    ‘…’

     

    ‘เพราะเขาเป็นโชคชะตาของเธอ’

     

    แจฮยอนรู้สึกร้อนวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

     

    มือของเขาสั่น ยิ่งสบตากับคนตรงหน้ายิ่งราวกับจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เด็กหนุ่มค่อย ๆ พยุงตัวเองยืนขึ้น ก่อนจะพึมพำเสียงเบา

     

    ทว่าอีกฝ่ายก็ยังได้ยิน

     

    “…คุณคือก็อบลิน?”

     

    ชายหนุ่มตรงหน้าชะงัก ก่อนจะเลิกคิ้วประหลาดใจ

     

    “ใช่”

     

    “…”

     

    “…แล้วเธอเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักฉัน”

     

    แจฮยอนไม่ตอบ เขาเก็บหนังสือเข้าชั้น ท่าทางที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องการจะหนีออกจากการสนทนาทำให้ก็อบลินเอ่ยปาก

     

    “จะไปไหน แล้วทำไมไม่ตอบคำถามฉัน”

     

    “ขอโทษครับ ไม่มีอะไรหรอก ผมคงเข้าใจผิดไปเอง”

     

    แจฮยอนไม่ยอมสบตาคู่นั้นอีก มันมีอะไรบางอย่างในนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนนั่น อะไรสักอย่างที่ทำให้แจฮยอนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

     

    “นี่”

     

    เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเรียก แจฮยอนก้มหน้าก้มตาเดิน ตั้งใจจะกลับไปที่เคาท์เตอร์ แต่ก็ชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นปลายรองเท้าหนังขัดมันมายืนตรงหน้า

     

    ชายคนนั้นมายืนตรงหน้าเขาได้ยังไง

     

    “…ตอนแรกก็จะไม่อะไร แต่เดินหนีแบบนี้มันมีพิรุธนะ รู้หรือเปล่า” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ

     

    แจฮยอนไม่ยอมมองตรงไปที่คนตรงหน้าเลย จนอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ เขาก็ถอยเท้าหนี

     

    แล้ววันนี้มันวันอะไร ทำไมไม่มีลูกค้ามานั่งชั้นนี้เลย!!

     

    “เธอเป็นใคร”

     

    “…”

     

    “ทำไมถึงรู้จักฉัน”

     

    “ผมไม่รู้จักคุณ ไม่รู้ด้วยว่าก็อบลินคืออะไร” แจฮยอนรีบตอบ “ผมแค่รู้สึกแบบนั้น”

     

    เหมือนเวลาหยุดเดิน

     

    “รู้สึก?”

     

    เสียงอีกฝ่ายประหลาดใจ

     

    ฉิบหาย

     

    แจฮยอนพยายามหาทางหนี แต่ตรงนี้มีแต่ชั้นหนังสือ แล้วคนตรงหน้าก็ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ เขาจะหนีออกไปได้ยังไง

     

    เด็กหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาอย่างสิ้นหวัง

     

    เขาหลับตาปี๋เมื่อก็อบลินเข้ามาใกล้กว่าเดิม

     

    “อย่าครับ!”

     

    “…อะไร”

     

    อีกฝ่ายยังคงงง

     

    แจฮยอนลืมตาขึ้นมามองนิดหนึ่งแล้วหลับลงไปอย่างรวดเร็ว

     

    ให้ตายเถอะ!!

     

    ถึงจะเห็นผีมาหลายปี เห็นวิญญาณมาก็มาก แต่ไม่มีใครเดินไปเดินมาโดยมีดาบอันเขื่องปักไว้กลางอกเหมือนหมอนี่สักคนเลยนะโว้ยยยยยยยยย

     

    อยากจะเป็นลม

     

    “นี่ เธอเป็นอะไรกันแน่เนี่ย”

     

    อีกฝ่ายเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาจริง ๆ และแจฮยอนไม่รู้ว่าตัวเองควรดีใจหรือเสียใจ

     

    เขาละล่ำละลักพูดออกไป

     

    “ขอโทษที่ทักไปแบบนั้นครับ คุณคงเป็นวิญญาณนักรบโบราณอะไรแบบนี้มากกว่า แต่ช่วยถอยออกไปเถอะครับ ดาบปักคาอกแบบนั้นผมเห็นแล้วจะเป็นลมจริง ๆ”

     

    “…”

     

    ถ้าตอนแรกเหมือนเวลาหยุดเดิน ตอนนี้โลกก็หยุดหมุนไปแล้ว

     

    แจฮยอนรู้สึกว่าโลกจะเงียบนานเกินไปแล้วเลยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นคือคนตรงหน้ามองเขาด้วยสายตาเหมือนโดนผีหลอก

     

    มันควรจะกลับกันหรือเปล่า

     

    “…คือ…”

     

    “เธอเห็นเหรอ”

     

    “ครับ?”

     

    อีกฝ่ายเสียงสั่นจนเขาตกใจ

     

    “เธอเห็น ‘ไอ้นี่’ เหรอ”

     

    อีกฝ่ายชี้ที่อก ที่ดาบเล่มยักษ์ยังปักคาอยู่

     

    แจฮยอนอยากเป็นลมจริง ๆ ภาพตรงหน้ามันชวนสะพรึงมาก แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับแกน ๆ

     

    ก็อบลินผงะ ถอยเท้าออกไปช้า ๆ ท่าทางเหมือนรับความจริงไม่ได้

     

    ปฏิกิริยาเหนือความคาดหมายทำให้แจฮยอนลืมกลัวไปชั่วขณะ

     

    อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบา แต่อย่างที่เขาบอก ห้องก็มีกันอยู่แค่นี้ ไม่ได้ยินก็หูหนวกแล้ว

     

    “เห็นได้ยังไง คนที่เห็นน่าจะมีแค่เจ้าสาวของก็อบลินสิ…”

     

    แจฮยอนถอนหายใจ

     

    ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาพยายามหนีห่างจากโชคชะตาหลายครั้ง แต่เหมือนพระเจ้าไม่เคยเข้าข้าง เขาเกลียดคำว่า ‘เจ้าสาวของก็อบลิน’ พอ ๆ กับชีวิตสับปะรังเคนี้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็วนมาเจอกับมันจนได้

     

    ในร้านที่เป็นเหมือนสวรรค์และบ้านที่แท้จริงของเขานี่เอง

     

    สุดท้ายเขาก็พูดออกมา

     

    “ใช่ครับ”

     

    อีกฝ่ายสะดุ้ง “ใช่อะไร”

     

    “ผมเป็น ‘เจ้าสาวของก็อบลิน’”

     

     

    TBC (?)


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in