เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Victoria Blogvixtoriagwyneth
- Reasons to be missed -
  • 21/07/2018



                             วันนี้คือวันครบรอบหนึ่งปีที่โลกได้สูญเสียหนึ่งในบุคคลสำคัญ หรืออย่างน้อยเขาคือคนที่สำคัญมากสำหรับฉัน และมั่นใจว่ามีความสำคัญกับใครอีกหลายคน


                             ในสมัยเด็ก กิจกรรมประจำครอบครัวของฉันคือการเปิดดีวีดีดูหนังด้วยกัน เราไม่เคยต้องไปโรงหนัง แค่ห้องเธียเตอร์ที่บ้านก็มากพอแล้ว คล้อยบ่ายวันอาทิตย์พวกเราถึงได้มารวมตัวบนโซฟาพร้อมถังป๊อปคอร์นกับน้ำอัดลมแก้วใหญ่ในมือ กิจกรรมเพียงอย่างเดียวที่รวมครอบครัวทุกคนเอาไว้ 

                            ในวันหนึ่ง ฉันโดนบังคับให้ดูหนังแอคชั่นด้วยความไม่เต็มใจ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการสุ่มดูหนังในวันนั้นจะกลายมาเป็นอิทธิพลใหญ่ในชีวิตมาจนถึงวันนี้




                             หนังที่เปิดวันนั้นคือ "Transformer"เรื่องราวของการร่วมมือ และการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ก้บหุ่นยนต์เพื่อแย่งชิง "เดอะคิวบ์" หรือ "ออลสปาร์ค" 

            
                            ขุมพลังงานมหาศาล สามารถสร้างภพและให้เติมชีวิตให้เต็มดาว เป็นที่ต้องการของเหล่า "ดิเซปติคอน" เพื่อใช้ในการกอบกู้เผ่าใกล้สูญพันธุ์ แปรสภาพจักรกลบนโลก สร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ นั่นจะทำให้มนุษย์จะถูกล้างเผ่าพันธุ์ มีเพียงกองทัพสหรัฐกับเหล่า "ออโต้บอท" จำนวนหยิบมือเท่านั้นที่ยืนขวางกลางระหว่างสงครามครั้งนี้ โดยมีตัวละครหลักคือ "แซม วิทวิคกี้" เด็กเนิร์ดไฮสคูลผู้ครอบครองแผนที่ที่จะนำไปสู่ขุมพลัง ต่อสู้ควคู่ไปกับผู้พิทักษ์ของเขา "บัมเบิ้ลบี"



                             ฉันยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี เหล่าหุ่นยนต์แปลงร่างที่แฝงตัวมาอยู่ในคราบรถยนต์ เครื่องบินรบ เฮลิคอปเตอร์ มันน่าทึ่งมากขนาดไหนที่รถยนต์ธรรมดาคันหนึ่งสามารถแปลงร่างให้ใหญ่ได้เท่ากับความสูงของบ้านสองชั้น ยังไม่นับฝั่งตัวร้ายที่แฝงตัวมาในร่างพาหนะทางอากาศหลากหลายรูปแบบ ยิงระเบิดสู้กันกลางเมือง ปืนกลบรรจุกระสุนจำนวนนับไม่ถ้วน เหล่าทหารผู้ยอมแพ้ไม่เป็น หน่วยงานลับสุดยอด 


                             สำหรับเด็กหญิงที่โลกทั้งใบเคยมีแค่ตุ๊กตาบาร์บี้ นั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยทีเดียว 


                             เมื่อภาพยนต์เรื่องTransformerได้ดำเนินมาถึงฉากจบ หลังศึกใหญ่ ทุกคนกลับไปเจอครอบครัว กลับไปหาคนรัก เหล่าออโต้บอทรวมตัวกันใต้แสงแดดสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ออคติมัสไพรม์ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้อย่างอหังการ ช่างเป็นคำพูดที่ฟังแล้วชวนฮึกเหิมใจอย่างน่าประหลาด 




                             ตามมาด้วยเสียงทำนองแปลกๆไล่เป็นจังหวะ เสียงกลองหนักๆ แม้จะเป็นเพียงแค่เด็กหญิงผู้ไม่ประสาในโลกดนตรี แต่ท่วงทำนองเหล่านั้นกลับดึงดูดใจฉันเอาไว้ได้อย่างชะงัก ใครจะไปคิดว่าเด็กหญิงอายุไม่เท่าไหร่จะมาให้ความสนใจกับเพลงที่มีแต่วัยรุ่นกับผู้ใหญ่เท่านั้นที่ฟังและเข้าใจ 





    และฉันได้ตกหลุมรักให้กับเจ้าของเสียงที่ไม่แม้แต่จะรู้จักชื่อ


                             หลังจากนั้นLinkin Parkได้กลายมาเป็นวงร็อควงแรกที่ฉันฟัง หัดร้องเพลงตามแม้จะไม่สามารถใส่อารมณ์ลงไปในน้ำเสียง ยิ่งได้รู้จักผลงานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรักมากขึ้นทุกวัน 

                             โอเค นั่นอาจจะฟังดูให้ความลำเอียงมากเกินไป แต่ฉันว่านั่นคือเรื่องปกติเมื่อคุณรักใครสักคนอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าเขาจะทำอะไร คุณก็พร้อมที่จะชื่นชมอยู่เสมอ



                             หลายครั้งความรักที่ยิ่งใหญ่ก็เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เราไม่คาดคิด แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะสามารถฟังเพลงร็อคได้โดยไม่รู้สึกหนวกหู 

                             ในทุกครั้งเมื่อถูกถามถึงวงดนตรีหรือเพลงโปรด ฉันไม่เคยลังเลที่จะบอกทุกคนว่า "linkin park" ถึงเวลาจะเปลี่ยนไป ใจบางคนจะบอกให้เลิกฟัง มีนักร้องใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน แต่ฉันไม่เคยหยุดที่จะกดเล่นเพลงของวงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร้องตามได้โดยไม่ต้องเปิดเนื้อเพลง


    ถึงแม้จะไม่ใช่รักแรก แต่เป็นรักที่ไม่เคยลืม



                             บางคนคงมองว่าเพลงก็เป็นแค่เพลง เชสเตอร์ก็เป็นแค่นักร้องอีกคนท่ามกลางนักร้องมากมาย บนท้องฟ้ายังมีดวงดาวอีกนับล้านที่เปล่งแสง ทำไมต้องให้ความสนใจมากขนาดนั้น? แต่ปราศจากเพลงของเขา ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้หรือเปล่า





                             ตอนอายุย้งน้อย ฉันยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือจำกัดปริมาณความเศร้าของตนเองได้ เมื่อครั้งหนึ่งที่ได้เริ่มร้องไห้ก็จะร้องต่อไปอย่างไม่มีวี่แววว่าจะหยุด                

                            ในช่วงเวลาที่ความเสียใจ ความผิดหวัง ความโกรธเข้าครอบงำ ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจมน้ำลึกลงไปเรื่อยๆและไม่มีอะไรจะจับคว้าเอาไว้ได้สักอย่าง มันเป็นอารมณ์ที่หม่นหมองจนไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ไม่ต้องคิดแม้แต่การจะเล่าให้เพื่อนฟัง แค่จะเปิดปากพูดสักคำฉันยังไม่อยากทำ มันคือเรื่องปกติถ้าคนเราเลือกที่จะปิดกั้นการรับรู้จากทุกสิ่งอย่างเมื่อเสียใจ


                             สิ่งเดียวในตอนนั้นที่ฉันสามารถรับรู้ได้คือเสียงเพลง มีเพียงเสียงของเชสเตอร์เท่านั้นที่สามารถเข้าถีงโสตประสาทการรับรู้ นอกเหนือจากท่วงทำนองของเขา ฉันก็ไม่อาจรับฟังอะไรได้อีกเลย




                            Leave out all the rest เป็นเพลงที่ฉันเปิดทุกครั้งเมื่อเกิดอะไรไม่ดีขึ้น ทั้งๆที่เนื้อร้องก็ไม่ได้ให้กำลังใจคนเศร้าสักเท่าไหร่ แต่ฉันกล้บรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทุกครั้งเมื่อได้ฟัง มันเหมือนกับว่ายังมีอีกคนที่รับรู้ความรู้สึกของเรา เข้าใจโดยไม่ตัดสิน อยู่เคียงข้างแม้ไม่รู้จักกัน เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว และการอยู่กับความเศร้าก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป เพราะฉันรู้ รู้ว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเสมอ 


                            สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อทุกอย่างจบลง หัวใจที่ผ่านเรื่องราวเจ็บปวดจะไม่ถูกเปลี่ยนให้แข็งกระด้าง ในทางตรงกันข้าม กลับจะยิ่งเรียนรู้ที่จะอ่อนโยนแม้ในช่วงเวลาแห่งความผิดหวัง และฉันขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้ฉันได้รู้จักเขา


                             แม้ว่าวันนี้Chester benningtonจะได้จากไป แต่สิ่งที่เขาเคยทำจะยังคงอยู่ ไม่มีวันถูกลืม ไม่มีวันจางหาย ท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ได้กลายเป็นตำนาน เป็นแรงบันดาลใจ เป็นความหวังให้แก่ผู้คนยามเมื่อแสงแห่งความหวังได้ดับลง ทุกคนจะได้รับรู้ ว่ายังมีแสงสว่างรออยู่เบื้องหน้าเสมอสำหร้บคนที่เชื่อในความหวัง 


    และแค่ความหวังก็มากพอแล้วที่จะทำให้ชีวิตคนหนึ่งคนสามารถเดินหน้าต่อไป


    - ???????? ?. ???????


                             
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in