เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าจากนักอ่าน นิยายจีนโบราณ (BL)themary
(รีวิว + สปอยล์) สวรรค์ประทานพร เล่ม 1
  • คำเตือน!  มีสปอยล์เล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะตั้งใจทำมาเป็นบันทึกการอ่านเก็บไว้ หากใครเข้ามาเพื่ออ่านรีวิวโดยเฉพาะ เลื่อนลงไปด้านล่างเลยค่ะ

    墨香銅臭 สวรรค์ประทานพร เล่ม 1

    โดย โม่เซียงถงซิ่ว 

    แปล ลาเวนเดอร์


              เปิดเรื่องด้วยการเกริ่นนำถึงตัวตลกสามภพ ซึ่งท่าทางจะโด่งดังไม่น้อย.. เล่าย้อนไปถึงประวัติความเป็นมาคร่าว ๆ ของคำนิยาม ‘ตัวตลกสามภพ’ นี้

              ตั้งแต่สมัยกระโน้นที่แคว้นเซียนเล่อยังยิ่งใหญ่ มี ‘องค์ไท่จื่อ’ ผู้ดีงาม ทั้งยังปรีชาสามารถ โดดเด่นเกินใครถึงขนาดถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสมบัติของชาติ พ่อและแม่ซึ่งเป็นเจ้าแคว้นและฮองเฮาต่างก็รัก หวังให้ลูกมีชื่อเสียงมีอำนาจเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่องค์ไท่จื่อหาได้สนใจไม่ สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือ “การช่วยเหลือปวงประชา”

              อ่านมาถึงตรงนี้ก็เอ้อ เอาแล้ว ไท่จื่อผู้นี้มีความฝันยิ่งใหญ่ดีแท้

              องค์ไท่จื่อ ตอนนี้ขอเรียกว่าเซี่ยเหลียน ขณะไปกำจัดผีตนหนึ่งก็เจอกับเทพสวรรค์ผู้หนึ่งเข้าพอดี ด้วยความโดดเด่นและความสามารถ ไป ๆ มา ๆ เซี่ยเหลียนก็บรรลุขึ้นสวรรค์เป็นเทพ การบรรลุขึ้นสวรรค์ของเซี่ยเหลียนสร้างปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดินโดยแท้

              จะกล่าวว่าเซี่ยเหลียนเป็นลูกรักของสวรรค์ก็ยังได้!


    (เซี่ยเหลียนได้รับบทนักรบบูชาเทพในพิธีที่จัดกันในแคว้นเซียนเล่อ ขณะกำลังเดินขบวนอยู่นั้น มีเด็กคนหนึ่งร่วงลงมาจากกำแพง เซี่ยเหลียนที่เห็นเข้าจึงเหินฟ้าไปรับไว้ได้ทันการ)


              เซี่ยเหลียนยิ่งใหญ่ได้พักหนึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นที่แคว้นเซียนเล่อ เจ้าตัวเลยต้องลงไปจัดการ ผู้คนคงคิดว่าเทพลงมาช่วยเรา สวรรค์อยู่ข้างเรา หารู้ไม่.. เซี่ยเหลียนกลับทำให้ปัญหาที่ว่าบานปลายขึ้นกว่าเดิม จบลงด้วยการล่มสลายของแคว้นเซียนเล่อ ชาวเซียนเล่อที่เคยเคารพบูชาเซี่ยเหลียนก็ตาสว่าง หมดศรัทธา เผาอาราม ทุบรูปปั้น เรียกได้ว่ากะจะทำลายเซี่ยเหลียนให้ย่อยยับเลยทีเดียว

              จากนั้นเซี่ยเหลียนก็ถูกขับออกจากสวรรค์ครั้งแรก

              จากไท่จื่อผู้เคยยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้.. แต่ลงสวรรค์ครั้งนี้เซี่ยเหลียนรู้แจ้งแล้ว สรรหาวิธีเอาชีวิตรอดสารพัด จนในที่สุด ฟ้าดินก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง เซี่ยเหลียนบรรลุขึ้นสวรรค์เป็นครั้งที่สาม!

              พอขึ้นสวรรค์ครั้งที่สาม ด้วยความยิ่งใหญ่ก็เลยทำให้ระฆังตกใส่เทพองค์หนึ่ง ทำวิหารบ้านเรือนล้มระเนระนาด จนถูกคิดบัญชีด้วยแต้มบุญแปดล้านแปดแสนแปดหมื่นแต้ม แต่เซี่ยเหลียนถูกขับออกจากสวรรค์สามรอบปานนี้ จะเอาแต้มบุญจากไหนมาจ่ายเล่า

              จึงต้องลงไปทำภารกิจแทนการชำระแต้มบุญ เซี่ยเหลียนลงมาในหมู่บ้านได้พักหนึ่งก็มีเทพชั้นผู้น้อยสองคนตามลงมา ฝูเหยาและหนานเฟิง ทั้งยัง.. มาจากตำหนักเสวียนเจินและหนานหยาง เจ้าตำหนักยังมีประวัติกับเซี่ยเหลียนกันมาก่อนเสียด้วย แต่เทพชั้นผู้น้อยทั้งสององค์ก็ยืนกรานว่าเต็มใจมา ถึงจะดูฝืนไปนิด ก่อนหน้านี้ได้มีการถามหาผู้ช่วยไปแล้ว ทว่าไม่มีใครเสนอตัว ใครจะอยากช่วยตัวตลกสามภพละคะ



              ภารกิจที่ได้รับคือการไปจัดการเจ้าบ่าวผี (ตามคำนิยามของคนในหมู่บ้าน) เซี่ยเหลียนต้องปลอมตัวเป็นเจ้าสาวและนั่งในเกี้ยว ขณะทำภารกิจเซี่ยเหลียนที่ได้เจอกับคน (?) ผู้หนึ่ง เขายื่นมือข้างหนึ่งเข้ามาในเกี้ยว เซี่ยเหลียนเองก็ตอบรับ จับมือที่ยื่นมาและลงไปยืนบนพื้น

              ระหว่างทาง เซี่ยเหลียนได้ลอบสังเกตอีกฝ่าย อาภรณ์สีแดง มีโซ่สีเงินบนตัวกระทบกันเกิดเสียงไพเราะน่าฟัง เมื่อเจ้าบ่าวผีหยุดนิ่ง เซี่ยเหลียนที่รอจังหวะมานานก็เตรียมเข้าโจมตี แต่ ‘เจ้าบ่าวผี’ ตนนั้น กลับกลายเป็นผีเสื้อเงินนับพัน​


    (อ่านถึงตรงนี้ต้องวางหนังสือแล้วพักหายใจ ตื่นเต้นเพราะเจ้าของผีเสื้อเงินมั้งคะ แค่ก) 


              ภารกิจเสร็จสิ้น เซี่ยเหลียนจึงกลับไปบนสวรรค์ เข้าข่ายมนตร์กระแสจิตก็มีเหล่าเทพสวรรค์พูดคุยกันเรื่องภารกิจที่เซี่ยเหลียนเพิ่งทำมา ข้อสงสัยบางข้อก็ได้รับคำตอบ บางข้อก็ไม่ได้ เซี่ยเหลียนมีเรื่องค้างคาอีกเรื่องหนึ่งจึงถามออกไป นั่นก็คือ เด็กหนุ่มผู้สั่งการผีเสื้อเงิน

              พอเซี่ยเหลียนพูดเช่นนี้ เหล่าเทพในข่ายมนตร์ต่างเงียบคล้ายหาเสียงไม่เจอในบัดดล เทพสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งก็คือมู่ฉิง เจ้าตำหนักเสวียนเจิน ตอบกลับมาว่า เซี่ยเหลียนเพิ่งไปเจอกับฮวาเฉิงเข้า เป็นครั้งแรกที่เซี่ยเหลียนได้ยินชื่อนี้ ทั้งเจ้าของชื่อยังถูกจัดอยู่ในสี่ประลัยกัลป์ คำนิยามที่เอาไว้นิยามมารร้ายแห่งภพผีที่อยู่ในระดับมหากาฬ ได้แก่ พรายกาฬจมนาวา โคมเขียวท่องราตรี อาภรณ์ขาวผลาญปฐพี และพิรุณโลหิตเชยบุปผา ซึ่งพิรุณโลหิตเชยบุปผาที่ว่าคือฮวาเฉิงนั่นเอง

              ตามจริง ในสี่ประลัยกัลป์นี้ระดับมหากาฬมีแค่สาม และเกือบมหากาฬอีกหนึ่ง ซึ่งก็คือโคมเขียวท่องราตรี (ชีหรง) ที่ใส่มาเฉย ๆ ให้ครบสี่ จะได้จำง่าย

              เหอ ๆ สงสารชีหรงเขานะคะ ทั้งทวยเทพทั้งภูตผียังกล่าวว่าเขามีรสนิยมต่ำทราม เหอ ๆ สงสารไปเถอะค่ะ ถถถถถถ

              เซี่ยเหลียนลงมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ได้ใช้บ้านร้างหลังหนึ่งสร้างอารามให้ตัวเอง อารามผูฉี บูชาไท่จื่อเซียนเล่อ หากเป็นเมื่อแปดร้อยปีก่อนไม่ว่าใครต่างก็ร้องอ๋อ แต่ในตอนนี้ไท่จื่อเซียนเล่อหาได้เป็นที่รู้จักไม่

              เซี่ยเหลียนซ่อมแซมอารามเสร็จก็ไปเก็บขยะ (...) ระหว่างทางกลับจากเก็บขยะ ได้เจอเด็กหนุ่มรูปงามผู้รอบรู้ สวมชุดสีแดงสด ซานหลาง คุยกันไปคุยกันมาเซี่ยเหลียนก็ชวนเขาไปอารามผูฉี ขาไปไปมือเปล่า ขากลับได้ขยะหนึ่งถุงกับ ‘คน’ หนึ่งคน



              เห็นท่าทางแบบนี้เซี่ยเหลียนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเสียทีเดียว ใช่ว่าเขาจะให้คนแปลกหน้ามาอยู่ด้วยอย่างไม่คิดสงสัย แอบหาวิธีมาทดสอบซานหลางเพื่อให้แน่ใจ หากเขาเป็นภูตผีแปลงกายมาย่อมเผยพิรุธ ถึงกระนั้น ซานหลางก็ไม่เผยพิรุธอะไรเลย หากเป็นภูตผีจริง เกรงว่าระดับนี้คงเป็นมหากาฬ 

              หุหุ..


              ต่อมาก็ได้พบนักพรตผู้หนึ่ง สภาพร่อแร่ใกล้ตาย เซี่ยเหลียนเข้าไปช่วยถึงได้รู้ว่าเขาหนีมาจากด่านป้านเยว่ และด่านป้านเยว่ในขณะนี้กำลังเกิดเรื่อง คล้ายจะเกิดอาถรรพ์ที่ด่านป้านเยว่แล้ว

              เซี่ยเหลียนเข้าไปในข่ายมนตร์กระแสจิตเพื่อสอบถามเรื่องด่านป้านเยว่ ดันไปเจอกับจังหวะที่เจ้าวายุแจกแต้มบุญเข้าพอดี จากตอนแรกที่จะถามเรื่องด่านป้านเยว่ แต่ถามไปก็ไม่มีใครสนใจ มีเพียงหลิงเหวินเทพฝ่ายบุ๋นที่สนใจเขา แต่หลิงเหวินก็แนะนำว่าเขาไม่ควรเข้าไปยุ่ง เซี่ยเหลียนมีหรือจะยอม จึงตัดสินใจไปตรวจสอบที่ด่านป้านเยว่ด้วยตัวเอง โดยมีซานหลางกับเทพชั้นผู้น้อยเจ้าเดิมสององค์ติดตามไปด้วย


              เรื่องที่ด่านป้านเยว่เสร็จสิ้น เซี่ยเหลียนก็กลับมาที่อารามผูฉี


              เหตุการณ์ด่านป้านเยว่ครั้งนี้ เซี่ยเหลียนได้แนบชิดกับซานหลางหลายครั้งหลายครา ความสามารถด้านการวิเคราะห์เป็นเลิศของเซี่ยเหลียน เข้าย่อมกระจ่างแจ้งทันที ตัวจริงของหนุ่มน้อยรูปงามสวมชุดสีแดงสดผู้นี้ คือเจ้าของผีเสื้อเงิน

              ฮวาเฉิง

     

     

    *********

    รีวิว

              ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นแฟนคลับแม่โม่นะคะ รู้จักเพราะปรมาจารย์นี่ละค่ะ ตอนอ่านปรมาจารย์จบก็ โหยยย สนุกมาก ชอบมาก แต่คิดไม่ถึงว่าชอบมากต้องทำยังไง พอมาอ่านสวรรค์ประทานพรก็คิดออกแล้วค่ะ ชอบมากต้องเขียนรีวิว! ทำให้ได้กลับไปอ่านเล่มหนึ่งอีกครั้ง พลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบเลยค่ะ อันที่จริง เราใช้เวลาอ่านเล่มหนึ่งนานมากนะคะ อ่านแล้วก็วาง อ่านทีละนิด เพิ่งมาอ่านรวดเดียวจนถึงเล่มสี่เมื่อไม่กี่วันก่อนค่ะ สถานการณ์เดียวกับปรมาจารย์ เรื่องนั้นก็รวดเดียวเหมือนกัน อ่านวันละสองเล่มไปเลยค่ะ

              ปล. เนื้อเรื่องที่นำมาเล่าด้านบนมีหลายส่วนที่ตัดออก บางส่วนที่สรุปให้รวบรัด ไม่ใช่เนื้อเรื่องทั้งหมดภายในเล่ม รีวิวด้านล่างนี้จะมีบางจุดที่เราไม่ได้เล่า แต่เป็นเนื้อเรื่องในเล่มค่ะ

              เล่มหนึ่งไม่มีอะไรมากค่ะ ฮวาเฉิงโผล่มากรุบ ๆ ให้ค้างคาใจ ตัวละครแต่ละตัวไม่ได้มีบทบาทมาก (ยกเว้นเซี่ยเหลียน) เนื้อเรื่องเน้นไปที่การทำภารกิจมากกว่า แต่เราว่าตั้งแต่เล่มนี้ก็มีการวางปมแล้วนะคะ ปมที่อาจไปเชื่อมกับเนื้อเรื่องในเล่มถัด ๆ ไป ทั้งป่าศพห้อยหัวของชีหรง เด็กชายที่พันผ้าพันแผลบนหน้า กับเสียงเด็กร้องเพลงตอนแห่ขบวนเกี้ยว มองข้ามไม่ได้สักจุดเลยจริง ๆ ค่ะ

              จากการอ่านปรมาจารย์เมื่อนานมาแล้ว เราขอบอกว่าสวรรค์ประทานพรเป็นเรื่องที่ ปม เยอะ มาก ค่ะ และเราชอบมาก เรื่องนี้จะเสพเนื้อเรื่อง หรือจะเสพคู่หลักก็ได้ค่ะ แต่เราว่าทั้งเรื่องก็มีคู่หลักไปเกี่ยวข้องหมดนะคะ..

              เรื่องฮวาเฉิง พอได้ข่าวว่าเซี่ยเหลียนขึ้นสวรรค์รอบที่สามก็ส่งผีเสื้อเงินไปทักทายตอนที่เซี่ยเหลียนนั่งในร้านน้ำชาร้านน้อยเผอิญพบ ถ้าไม่มาย้อนอ่านอีกรอบก็ลืมไปแล้วค่ะว่ามีฉากนี้ด้วย แสดงว่าฮวาเฉิงมาดักรอสินะคะ.. เราว่าฮวาเฉิงไม่ได้ปกปิดตัวตนแต่แรกแล้วค่ะ รอให้อีกฝ่ายหาคำตอบเอง แต่ใจลึก ๆ ก็อยากให้เขารู้แหละค่ะ แต่ไม่อยากทำให้อึดอัดใจ ทั้งเซี่ยเหลียนและคนรอบข้างก็มีลางสังหรณ์กันอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าราชาผีระดับนั้นจะว่างมาทำเรื่องแบบนี้ไง.. 

              เขินฉากที่ฮวาเฉิงไปรับเซี่ยเหลียนที่เกี้ยวมากค่ะ สมกับที่เฝ้ารอมานาน แล้วก็ในตรุคนบาปที่อุ้มเซี่ยเหลียนไว้ เพราะพื้นสกปรก?? และถึงจะอยู่ในคราบซานหลาง ฮวาเฉิงก็ออกตัวแรงมาก เรียกว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมคงน้อยไป ทั้งยุงทั้งไร แม้เข้าใกล้ก็คงไม่กล้าค่ะ

              ส่วนเซี่ยเหลียน เล่มนี้เล่าอดีตของเซี่ยเหลียนแบบคร่าว ๆ ในตอนเปิดเรื่อง หรือตอนไปทำภารกิจที่ด่านป้านเยว่ เซี่ยเหลียนก็มีบทบาทเล็ก ๆ ในสงครามด้วยนะคะ มากประสบการณ์จริง ๆ.. 


              ประโยคที่เราชอบจากเล่มนี้

    ‘กายอยู่โลกันตร์ ใจอยู่ธารท้อ’ 

              หลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เซี่ยเหลียนประสบพบเจอก็ทำให้รู้ว่า กายอยู่ ณ แดนโลกันตร์ ใจหรือจะอยู่ธารท้อได้ ทำให้นึกถึงคำพูดที่ว่า ไม่อยู่ในเหตุการณ์ แล้วจะไปรู้อะไร ขึ้นมาเลยค่ะ พอตกต่ำเหมือนอยู่โลกันตร์ ไม่มีใครเอาใจไปไว้ที่ธารท้อได้หรอกค่ะ หรือไม่อย่างนั้น คนผู้นั้นก็จิตใจแข็งแกร่งเกินไปแล้ว

     

              เล่มหนึ่งเนื้อเรื่องเหมือนในอนิเมะค่ะ แน่นอนว่ามีรายละเอียดบางอย่างที่อนิเมะไม่มี แต่ถ้าถามว่าอนิเมะหรือนิยายดีกว่ากัน ดีทั้งคู่ค่ะ แต่ถ้าอยากได้เนื้อหาครบถ้วน ฉบับนิยายคือตัวเลือกที่ดีที่สุดค่ะ เราดูอนิเมะก่อนอ่านนิยาย (คล้ายว่าตอนที่อนิเมะออกนิยายยังไม่ได้แปล หรือถ้าจำผิดก็ขออภัยด้วยค่ะ เอาพื้นที่ส่วนใหญ่ไปจำชื่อตัวละครในนิยายหมดแล้ว..) ในอนิเมะฉากฮวาเหลียนกรี๊ดแค่ไหน ในนิยายคูณไปอีกหนึ่งพันค่ะ และถึงจะดูมาก่อน แต่พอมาอ่านอีกรอบก็ไม่ได้รู้สึกสนุกน้อยลงเลย

              เราชอบการแปลฉายาของสี่ประลัยกัลป์มากค่ะ พิรุณโลหิตเชยบุปผา เห็นครั้งแรกต้องมีนิ่งบ้างแหละ การแปลส่วนอื่น ๆ ในเล่มก็ดีมากเช่นกันค่ะ

              คุ้มค่าที่จะซื้อ อย่าได้ลังเลค่ะ


              ขอสวรรค์ประทานพร ไร้สิ่งใดให้หวั่นเกรง           

              เจอกันครั้งหน้ากับรีวิวเล่มสองค่ะ ฟิ้ววว 

     

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in