คุณเคยคิดกันไหมครับ ว่าเราจะกลับมานั่งคิดถึงเด็กคนนึง เด็กที่เคยมีความรักบริสุทธิ แต่ผมกลับทำลายความรักอันแสนใสซื่อนั่นด้วยความปากหมาของผมเอง
14ปีก่อน
“พี่โมนด์ สุขสันต์วันวานเลนไทน์ฮะ”
กล่องของขวัญที่ถูกห่อด้วยกระดาษห่อของขวัญลายดอกทานตะวันที่เหลืองอ๋อยถูกยื่นมาให้ผม พร้อมกับโพสอิทสีเหลืองอ่อน
“พี่ขอบใจตะวันมากนะ”
ริมฝีปากของผมมันกระตุกเองส่งสัญณาณให้รู้ว่า เด็กนี่น่าแกล้งฉิบหาย ก่อนจะยื่นมือไปขยี้ผมที่ดูเหมือนจะไม่ได้สระมาแรมปี
‘เป็นแฟนกับตะวันนะ’
ข้อความในโพสอิททำผมหลุดขำพรืด ที่จำได้เด็กนี่น่าจะป.2อยู่มั้ง อะไรทำให้แก่แดดได้ขนาดนี้
“นี่ตะวัน คิดไงถึงขอพี่เป็นแฟนครับ”
“ก็ตะวันชอบพี่นี่นา เราควรที่จะเป็นแฟนกันไม่ใช่หรอ”
“แต่ตะวันยังเด็กอยู่เลยนี่ แล้วที่สำคัญ พี่ก็มีแฟนแล้วด้วย พี่ไม่สนใจเด็กมอมแมมแบบเราหรอก ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
อยู่ๆก็อยากอัดหัวเราะใส่หน้า
“ฮืออออ พี่โมนด์ใจร้าย!! จำไว้นะ!!ถ้าตะวันโตขึ้น ต่อให้พี่โมนด์คลานเข่ามาหาตะวัน ตะวันก็จะไม่แล!”
“งั้นเดี๋ยวพี่รดน้ำให้ จะได้โตไวๆน้า”
ผมรีบก้มไปหยิบสายยางพร้อมเปิดก๊อกฉีดใส่เด็กตัวกะเปี๊ยกที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้า ในที่สุดเด็กอ้วนก็ทนไม่ไหววิ่งเข้าบ้านไป หึ ส่วนผมต้องรีบกลับไปคุยกับแฟนแล้ว
พอคิดแล้วก็รู้สึกผิด หลังจากวันนั้น แฟนผมก็บอกเลิกโดยให้เหตุผลว่าผมดีเกินไป ผมก็เลยย้ายมาเรียนต่อในมหาลัยกรุงเทพ หลังเรียนจบด้านวิศวะก็ยื่นเรซูเม่เข้าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ประเทศแคนาดา แต่เด็กคนนั้นยังอยู่ในหัวผมตลอดเวลา14ปี ตั้งแต่ผมมัธยมปลาย ถ้าเทียบกับตอนนั้น ตอนนี้เด็กนั้นก็อายุประมาณ อืม 22-23 ได้มั้ง ไม่รู้โตขึ้นหน้าตาเป็นยังไง แต่ถ้าใครเอ่ยชื่อผม น้องเค้าคงเกลียดผมเข้าไส้ไปแล้ว
ติ๊ง!!
MOM - โมนด์ลูก เมื่อไหร่จะกลับ แม่คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว
ติ๊ง!!
เชี่ยโอม - เชี่ยโมนด์ เมื่อไหร่จะกลับ พวกกูรอแดกเหล้าฟรีอยู่เนี่ย
ผมมองเมสเซจจากแอพพลิเคชั่นสีเขียว ก่อนจะบันจงกดเข้าไปตอบทีละคน ใครคิดว่าชีวิตต่างประเทศคนเดียวมันจะสนุกและอิสระ อิสระอ่ะจริง แต่มันไม่สนุกหรอกครับ ออกไปทางเหงาๆมากกว่า เลิกงานกินเหล้า มีเซ็กส์ ปกติของผู้ชาย ผมทำมาหมด ร้อยทั้งร้อยที่เข้าหาผมก็เพราะหน้าตา เงินมากกว่า และส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยผูกมัด สนุกเสร็จก็ต่างคนต่างกลับติดใจก็มีบ้างที่จะกลับมาหากัน แต่ก็ไม่ถึงอาทิตย์ซักคน
หลังจากตอบกลับไปเรียบร้อยผมก็คงไม่ต้องรอตอบ เพราะเวลาที่นี่กับที่นู้นก็ห่างกันตั้ง12ไทม์โซน เอกสารลาออกถูกหยิบขึ้นมาดูรอบที่พันกว่า ครั้งนี้ผมตัดสินใจแล้วล่ะ ถึงลาออกไปยังก็ยังมีธุรกิจของที่บ้าน เงินเก็บก็มากโขแล้ว ปากปาหมึกดำถูกจรดลายเซ็นลงไปเป็นที่เรียบร้อย คงต้องกลับบ้านจริงๆซักทีนะโมนด์
เช้าวันอาทิตย์วันหยุดพักอยู่บ้านของใครหลายๆคน แต่คงไม่ใช่สำหรับผม ไม่ใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องการเดินทาง ผมถึงไทยในเวลาทุ่มกว่าๆ จัดการเอกสารและตม.อะไรเรียบร้อยก็ปาไป3ทุ่มครึ่งแล้ว ตอนนี้คนมารับก็คงนั่งตบยุงตายเป็นเบือแล้ว
“โอม กูอยู่เกท6 มึงอยู่ไหน”
(สัสแปป คนเยอะฉิบหาย เออเห็นมึงละ)
“ไหนวะ..”
ผมมองหาเพื่อนสนิทรอบๆก่อนจะไปสดุดตากับร่างแห้งๆที่กระโดดชูไม้ชูมือ
“ไอ้เหี้ย หยุดกระโดดกูอายเค้าโว้ย”
หลังจากที่จะปลีกตัวออกมาจากสนามบินก็คุยกันว่าจะไปทานข้าวกันต่ออาจจะมีดื่มนิดหน่อย ตามประสาของเพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยได้นัดตั้งตี้กัน ในที่สุดพวกเราก็เจอร้านที่ถูกโฉลกซักทีหลังที่วนรถอยู่ตั้งนาน
“โมนด์ มึงจะมาอยู่เชียงใหม่ถาวรเลยหรอวะ”
ก็บ้านกูเชียงใหม่ไงโอม
“อืม ทำไมวะ”
“เปล่า ก็นึกว่ามึงจะไปกรุงเทพงี้”
“อ่าว แล้วมึงคนกรุงเทพมาอยู่ทำไมเชียงใหม่”
“สัสอย่าย้อนดิ กูก็ชอบของกู”
“หมายถึง มึงติดเมียที่นี้”
“สัส อย่ามารู้ดี แล้วมึงมาอยู่นี่ไม่กลัวเจอน้องข้างบ้านหรอวะ”
“กูอยากเจอน้องเค้าว่ะ อยากขอโทษ..”
ผมจัดการกรอกน้ำสีเข้มเข้าปากอย่างรวดเร็ว รสชาติยังไม่ถึงคอซักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับเหล้านอก หรือว่าผมดื่มจนชินแล้ววะ
“ฮ่าๆๆ มึงทำขนาดนั้นน้องเค้าอภัยให้มึงอ่ะ”
“ไม่รู้ดิวะ กูให้คนของแม่สืบดู น้องเค้าก็ยังไม่ย้ายออกจากบ้านหลังนั้นนะมึง”
“แล้วมึงจะกลับไปบ้านหลังนั้นหรอ ตั้งแต่มึงย้ายแม่มึงก็ไม่ได้ส่งคนไปทำความสะอาดเลยนะ”
ผมได้แต่นั่งนิ่ง บ้านหลังนั้นเป็นของพ่อผมที่ทิ้งไว้ก่อนจะไปแต่งงานใหม่ แล้วแม่ก็ไม่เคยมาบ้านหลังนี้เลย แต่ผมไม่ได้โกรธพ่อผมนะ อย่างน้อยเค้าก็ยังทิ้งของที่ผมรักไว้ให้ แต่คงเป็นแม่มากกว่า ถ้าแม่รู้ว่าผมจะกลับไปอยู่บ้านหลังนั้นคงโดนตัดออกจากกองมรดกแน่ๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความขี้ขลาดหรืออะไรกันแน่ ผมยืนอยู่หน้าบ้านน้องมา20นาทีกว่าแล้วโดยที่ไม่มีความกล้าเอื้อมมือไปกดกริ่ง และผมยังไม่เห็นวี่แว่วคนที่อยู่ในบ้านเลย หรือไอ้โอมมันจะจกตาผม ไม่หรอกมั้ง รองเท้า ผ้าที่ตากไว้ก็ยังอยู่ เหลืองเพียงแค่คน คนไปไหน แต่เอ๊ะ...วันจันทร์แบบนี้น้องจะมีเรียนหรือเปล่าวะ
"ข้าวซอย ถ้ากิ๋นอยู่แม่นก่อหนิ (ข้าวซอย รอกินอยู่ใช่มั้ย)"
เสียงนุ่มลึกบาดแก้วหุของใครบางคนทำให้ผมต้องหันไปมอง เด็กผู้ชายตัวขาวในชุดนักศึกษากำลังนั่งยองพร้อมยื่นลูกชิ้นปิ้งในมือให้เจ้าหมาน้อยตัวสีขาวขนฟู แก้มน้องบ่งบอกถึงความเป็กเด็กอุดมสมบูรญ์พอสมควร แต่น้องไม่ได้อ้วนนะครับ น้องแค่แก้มเยอะ
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมจ้องน้องมันเล่นกับหมา รู้ตัวอีกที่ก็ต่อเมื่อเจ้าตัวขาวมาสะกิดแขนผมยิกๆ
"มาหาใครครับ"
สำเนียงภาษากลางที่ดูเหมือนน้องจะไม่ถนัดทำให้ดูแปร่งๆ น้องย้ายมาอยู่ใหม่หรือเปล่านะ รู้สึกคุ้นแต่ก็จำไม่ได้ ว่าแต่ทำไมน้องน่ารักจังค้าบ..(ใจเย็นน้องกินไม่ได้)
"เอ่อ...พี่มาหาน้องตะวันครับ"
น้องมองผมจากหัวจรดเท้าก่อนจะมาหยุดที่ถุงพะโล้ในมือ ก็ไม่รู้จะซื้ออะไรมาง้อ จำได้อย่างเดียวว่าเด็กนั่นร้องไห้จะกินพะโล้ตอนเด็กๆสงสัยจะชอบก็เลยซื้อมา
"มาหาผมก๋า.."
วัท!! ดา!! เฮว!!
"ห้ะ"
เด็กนั่นเกาหัวแกร่กๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ตัวเองก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาช้าๆ
"ถ้าปี้มาหาตะวัน ก่าเท่ากับมาหาผมอั้นเนาะ (ถ้าพี่มาหาตะวัน ก็เท่ากับมาหาผมอ่ะแหละ)"
โตขึ้นมาน่ารักขนาดนี้เลยหรอวะ ตอนเด็กน้องมันยังผมทองฟันหลออยู่เลยอ่ะ ไม่จริงใช่มัํย ใครก็ได้บอกที พลีส
"ว่าจะไดครับ(ว่ายังไงครับ)"
ทำไงดีครับจะเกร็งก็เกร็ง กลัวน้องรู้ว่ากูเป็นใครจะโกรธกูอีก พะโล้ในมือกูสั่นแล้ว ถ้าสารภาพแล้วยื่นพะโล้ไปจะโดนตบด้วยพะโล้ไหมครับ โมนด์เครียด!
"ครับ พี่มาหาตะวัน อ..เอาพะโล้มาฝาก"
"หู้ได้ไดครับ ว่าผมมัก? แล้วปี้เป๋นไผ (รู้ได้ไงครับว่าผมชอบ แล้วพี่เป็นใคร)"
"พี่...พี่โมนด์ข้างบ้านตะวันไงครับ"
TBC
Talk;
ตบไม่ตบ!!!
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเราอินหนังบวกกับชีวิตนิดๆหน่อยๆ แหะๆ
มีม่านิดๆพอให้กรุบ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคอมเมดี้มากกว่า
ชอบก็เฟบไว้และให้ติชมให้กำลังใจได้ที่ #ทานตะวันข้างบ้าน นะฮะ
Twitter @peachwan27 & @bellochubby
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in