เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
NIИE IИCH ИAILS : LIVE IИ BAИGKOK [deep review/journal]eazternwerkss
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน NIИE IИCH ИAILS : LIVE IИ BAИGKOK [deep review/journal]
  • • 1 •

    เวลาพูดถึงคอนเสิร์ต (ต่อไปจะย่อว่า "คอนฯ") คนส่วนมากก็นึกถึงความบันเทิง แต่สำหรับบางคน มันคือการแสวงบุญ เพราะเราอยู่ในประเทศที่ไม่ได้มีวงแบบนี้มาบ่อยๆ ส่วนมากมักจะข้ามไปเล่น ฮ่องกง ไม่ก็ สิงคโปร์

    เมื่อ 4 ปีก่อน ประเทศไทยชวดคอนฯของ NIN [nine inch nails] มาหนนึงแล้ว บ้างว่าเรื่องการเมือง บ้างว่า organizer ไม่พร้อมกับ live production ของ NIN ผมเองก็ถอดใจว่าชาตินี้คงจะไม่ได้ดูแล้วมั๊ง

    แต่แล้วช่วงต้นๆปี VIJI CORP จับมือกับ สิงห์มิวสิค ตัดสินใจลากความระห่ำแดกกลับมาอีกรอบด้วยการพา nine inch nails มาที่กรุงเทพอีกครั้ง เท่านั้นไม่พอ สิ่งที่เซอร์ไพรซ์ผมคือ venue แม่งอยู่ห่างจากอพาร์ตเมนต์เดิมที่ตัวเองเคยอยู่ไม่ถึง 5 นาทืี เออ ก็อยู่ใกล้นี่นา ไม่น่าจะเป็นปัญหานะ...

    ...ปัญหาคือผมย้ายออกจากอพาร์ตเมนต์นั้นไปแล้ว บวกกับผมดันสอบราชการติด กลับไปลงหน่วยที่บ้านตัวเองในต่างจังหวัด [กาญจนบุรี]

    ...เท่านั้นแหละ คอนฯธรรมดาๆ กลายเป็น "ภารกิจแสวงบุญ" ในทันที

    • 2 •

    ขอสาธยายซักนิดก่อนละกันว่าผมรู้จัก NIN ได้ยังไง ย้อนกลับไปช่วง Blissonic ออกอัลบั้มใหม่ๆ เป็นเวลาเดียวกับที่อัลบั้ม with teeth ออกมา ตรงกับช่วงที่ผมเป็นเด็กวัยรุ่น ม.ปลาย ธรรมดาๆ คนนึงในต่างจังหวัดอย่างราชบุรีที่ชอบฟังเพลงอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขา ผมไปขลุกอยู่กับเว็บบอร์ดของวง [blissonic.com] อยู่พักใหญ่ๆ พี่พีท ตันสกุล [พีท blissonic] เป็นคนแนะนำให้ผมรู้จัก aphex twin พร้อมๆ กับ NIN นี่แหละ ก่อนหน้านั้นผมฟังแต่พวก nu-metal [linkin park / slipknot] กับ coldplay แต่พอรู้ว่า NIN เป็นต้นแบบให้พวกนี้แล้ว ผมก็ติดเพลงของวง NIN ไปเลย หลังจากนั้นก็โหลดบ้างซื้อเพลงของ NIN บ้าง จนแทบจะหันหลังให้พวก nu-metal แล้วไปฟัง electronic / industrial / ambient แทน

    ไม่มีอะไรมากนอกจากจะบอกว่า ถ้าไม่รู้จักพี่พีท ก็คงไม่รู้จัก NIN และเผลอๆ ก็ไม่มาหลงไหลดนตรี กับการทำเพลงด้วย

    • 3 •

    ตัดภาพกลับมาที่ห้วงเวลา 14 ส.ค. 2561
    ผมบึ่งรถตู้ + แท็กซี่ + มอไซค์รับจ้างอย่างรวดเร็วมาที่ moonstar studio ในเวลา 20.30 น. ซึ่งผมพลาด opening act ของ Marmosets ไป แต่นั่นก็เป็นอะไรที่ทำใจได้

    21.00 น.
    Marmosets เก็บ modular synth ตัวเองยัดใส่กระเป๋า ส่วนพวก tech ของ NIN เริ่มออกมาเซ็ตเครื่องของวง ระหว่างนั้น ก็เปิด soundtrack ของ gone girl เป็น soundcheck ไปเรื่อยๆ

    ผมตะโกนเรียก Justin McGrath [IG: @just_mcg] ซึ่งเป็น synth tech ของ Alessandro Cortini มือ synth สุดเนิร์ดในไลน์อัพของวงยุคปัจจุุบัน แต่เสียง P.A. กับเสียงผู้คน กลบเสียงที่ผมตะโกนเรียก Justin  ภารกิจเกรียนทีมงานของผมก็ล้มเหลวกันไป

    ซัก 21.20 น. ทีมงานเริ่มปล่อยม่านควัน ราวกับจะเตรียมวาร์ปไป silent hill
    ประมาณ 2-3 นาที ก่อน 21.30 น. เสียง pulse synth จากเพลง somewhat damaged ดังขึ้น ผมนึกในใจ ไอ้ที่ห้ามไม่ให้ mosh pit นี่จะห้ามกันอยู่ไหมวะคืนนี้?
    ...ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ หลังยุค fragility tour [ปี 1999-2000] มา ถ้าวันไหนเปิดด้วย somewhat damaged แสดงว่าวันนั้นเป็น "assault playlist" นั่นหมายถึงวันนั้นใส่ไม่ยั้งแน่นอน

    ก่อนหน้านี้ มีบทความเรื่องเตรียมตัวไปดูคอนฯ NIN ให้สนุก มีข้อนึงบอกว่า "ให้ร้องเพลงตาม" ผมนึกในใจ หวานกู กูร้องได้เกือบทุกเพลง

    - ACT I -

    • SOMEWHAT DAMAGED •

    "so impressed with all you do, tried so hard to be like you, flew too high and burnt the wing, lost my faith in everything"

    เฮีย Trent Reznor เดินฝ่าทะลุหมอก จับขาไมค์ เหมือนนักฆ่าผู้ช่ำชองทุกสนามรบจับปืน เปล่งสุรเสียงดุจพระเจ้าแห่งดนตรี post-industrial (ที่ตัวเฮียเองไม่อยากให้งานของตัวเองโดนเรียกว่าเป็นงานแบบ industrial) ตามด้วยเสียงกระหน่ำกลองทอมของ Ilan Rubin

    หมดท่อน "...this machine is obsolete" สมาชิกที่เหลือของวงก็ร่วมกันกระหน่ำจังหวะระห่ำ ไฟบนเวทีกระพริบอย่างบ้าคลั่ง รู้ตัวอีกทีผมยืนแหกปากไปตามเฮีย Trent แล้วยันท่อนสุดท้าย

    ..."so where the fuck were you?"

  • • THE DAY THE WORLD WENT AWAY •

    เฮีย Robin Finck เปิดเพลงด้วย 4 พาวเวอร์คอร์ดเสียงต่ำตามมาตรฐาน ท่อนท้ายของเพลงนี้ คนดูพร้อมใจกันร้องเสียงประสานกันชัดแจ๋ว (นา-หน่า-น้า นา-น้า-นา...) เป็นอะไรที่ล่องลอยสุดๆ post-apocalyptic สุดๆ เหมือนโลกแตกไปแล้ว แต่เรายังยืนอยู่ลำพังกลางซากผุๆพังๆของโลกสมัยใหม่

    ไฟดับลงทันทีพร้อมเสียงกีต้าร์ท่อนสุดท้าย ผมรู้สึกเคว้งๆนิดๆ เพราะเดาทางไม่ถูกเลยว่าวงจะเล่นเพลงอะไรต่อ ต่างจากที่คิดไว้ทีแรกเยอะมาก (ตอนแรกคิดว่าจะเปิดคอนฯด้วย branches/bones แล้วต่อด้วย less than)

    • WISH •

    "this is the first day of my last days"

    ถ้าใครเคยดู linkin park มาเล่นที่กรุงเทพครั้งแรก ก็น่าจะจำกันได้ว่า linkin park เคย cover เพลงนี้ แต่นี่มันต้นฉบับ ของแท้ และแน่นอน โหดกว่า ยืนๆ ดูไปยังเสียวๆ ว่าเฮียจะโยนขาไมค์ลงมาไหม ฮ่าๆๆ (นี่คือความโหด มัน ฮา แบบ NIN ถึงแม้หลังๆ แกจะเหวี่ยงบนเวทีน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่า แกจะไม่เหวี่ยงอะไรลงมา)

    "gotta listen to your big time, hard line, bad luck, fist fuck
    don't think you're having all the fun, you know me, i hate everyone"

    ท่อนนี้ยังคงตราตรึงในใจผม วันนั้น ผมตะโกนร้องตามไปเต็มเสียง ไม่ใช่เพราะเป็นเพลงที่เราชอบ แต่เป็นเพลงที่สะท้อนตัวเราว่าเป็นคนโลกมืดและเกลียดมนุษย์ขนาดไหน และหนึ่งในมนุษย์ที่เราเกลียดนั้นรวมตัวเราเองเข้าไปด้วย

    • LESS THAN •

    "and you can always justify, the missile trails across the sky again"

    ทุกครั้งที่ได้ยินท่อนนี้ผมขนลุกทุกครั้ง และอึ้งในความเฉียบในการสรรคำมาแต่งเพลง เพลงนี้ เฮีย Trent ค่อนข้างการเมืองไม่เบา หลายคนคิดว่าเป็นเพลงด่า Trump ทั้งๆที่จริงๆด่าทั้ง 2 ฝ่าย

    กลับมาที่การเล่นสด ผมรู้สึกว่าเพลงนี้เล่น tempo เร็วกว่าในเวอร์ชั่นอัลบั้มไปนิด (หรือผมคิดไปเอง) คิดว่าเพลงนี้ถ้าท่อน solo ยาวกว่านี้ หรือมีอะไรเข้ามาเล่นอีกท่อนนี่กำลังโอเค

    "needful, too many fucking people
    you'll have to take care of yourselves, you know i've got my hands full"

    (ก็ตามนี้ ฝากไว้ให้คิส มากคน มากความ เอ็นดูเขา เอ็นเราระเบิด...)

    • MARCH OF THE PIGS ["all the pigs, all lined up" ending] •

    "come on, PIGS!"

    ได้ยินเสียงนี้ แล้วเหมือนโดนครูฝึกทหารสั่งหมอบ แต่เปล่าเลยเฮียกำลังพาหมูๆ เราๆ ไปเข้าโรงเชือด
    พักหูโดดๆเล่นๆ ไปเพลงนึง มาอีกแหล่ว เรามาทรมานร่างกาย (แต่ยอมโดน) กันต่อกับ march of the pigs เห็นแถวหน้าแอบเล่นๆ mosh pit วงเล็กๆกันแล้ว นี่ถ้าผมอายุน้อยกว่านี้ จะเข้าไปแจมให้วงใหญ่ขึ้น แต่ตอนนี้อายุมากแล้วไม่ไหว Ilan Rubin โดดจากกลองลงมาเล่นท่อนส่งเปียโนอย่างรวดเร็ว เป๊ะ ตามเคย เพลงนี้เป็นเพลงที่แดกพลังงานของ Rubin มากๆ เพราะต้องซัดกลองแล้วต้องมาเล่นท่อนส่งเปียโนต่ออีก แต่ Rubin เก็บงานเนียนๆเลย ไม่มีหลุด ขอชื่นชมๆ

    • PIGGY •

    ตามสูตรมากๆ เล่น march of the pigs แล้ว เล่น piggy ต่อ เพลงนี้พักร่างกายกันไป ท่อนท้ายๆ เฮีย ปล่อยให้คนดูช่วยกันร้องท่อนสุดท้าย

    "nothing can stop me now, [because] I don't care anymore"

    Ilan Rubin ใส่โซโล่กลองสุดท้ายยับ สมัยที่ป๋า Josh Freese มาเล่นให้ NIN (ลองค้นหา "piggy ghost" ใน youtube ดู) ว่าโซโล่กลองเพลงนี้โหดแล้ว Rubin แม่งเข้าขั้นอำมหิตเลย ซักพัก เฮีย Trent เดินมาที่เปียโน เล่นท่อนเชื่อมเข้าเพลงต่อไปแบบเนียนๆ

    • THE FRAIL • ค่อยๆสร้างอารมณ์ขึ้นมาซะอลังการ ตอนแรกนึกว่าจะไปเพลง the wretched เปล่าเลย เฮ๊ยหักมุมอีกแหล่ว เข้าเพลง reptile เฉ๊ย

    • REPTILE • อีกหนึ่งเพลงเด็ดจากยุค the downward spiral จากเสียงเปียโน กลายเป็นเสียงโรงงานหนืดๆ ก๊องแก๊งๆ พูดง่ายๆ เหมือนโดนลากเข้าโรงงาน [จาก march of the pigs] โดนยาสลบ [ใน piggy กับ the frail] พอเราอ่อนระโหยโรยแรง ก็โดนเชือดแยกส่วนใน reptile

    ทุกคนยังคงช่วยกันร้องท่อนฮุคต่อไปแบบไม่หยุด

    "oh my beautiful liar, oh my precious whore, my disease - my infection, I am so impure"

    ท่อนสุดท้ายทั้งวงช่วยกันใส่ภาคอารมณ์เต็มที่ มีเสียง synth โหยหวนจากน้า Atticus Ross ขี้อาย ที่ตั้งแต่ต้นคอนฯ แกยังไม่เงยหน้ามามองใครเลย น่าจะเป็นมือ synth คนแรกในประวัติศาสตร์วงนี้ ที่ไม่คิดจะมองหน้าคนดูซักแว่บตอนเล่น อ่านในบทสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ น้าแกบอกว่าตัวเองเป็นโรคตื่นเวที แกเลยไม่มองคนดูเลย ... โอเคครับ ผมมอบสิทธิในการไม่มองหน้าคนดูให้แก่น้า

    • THE LOVERS •

    อีกหนึ่งบทเพลงกล่อมประสาทจากไตรภาค EP ล่าสุด [add violence EP] เพลงนี้เอาใจคนมีคู่นะครับ สังเกตได้ชัดเจนว่า คนมาคอนฯนี้แล้วไม่ได้มากับพร้อมแฟนจะไม่ร้องท่อน... "take me, into the arms of the lovers" แน่นวล เพลงนี้ไม่ได้โชว์ความโหด แต่เน้นการสร้างบรรยากาศมากกว่า มันไม่ถึงกับ ambient ไม่ industrial แต่เหมือนเป็น cinematic มากกว่า ชวนนึกถึง gone girl OST มากๆ
  • - ACT II -

    • SHIT MIRROR •

    จบเพลง the lovers เฮีย Trent บอกว่าขอโทษทีที่ปล่อยให้รอนานตั้งหลายปี เอาของใหม่มาเล่นมั่งดีกว่า พอฟังเพลงนี้ในเวอร์ชั่นสดแล้วรู้สึกมันกระหึ่มมากๆ เสียดายที่เสียงแซ็กโซโฟนในเพลงนี้ เป็น backing track กำลังนึกอยู่ว่า ถ้าเฮียเอาแซ็กจริงมา (เกณฑ์ใครมาช่วยเป่าอีกคน) น่าจะออร์แกนิคมากๆ

    "new world, new times, mutation, feels all right"

    เฮีย Trent ชวนคนดูตบมือตามจังหวะรัวๆ เพลงนี้สำหรับผมมันไม่โหด แต่มันสนุก เป็นกึ่งกลางระหว่างความอัลเตอร์เนทีฟของอัลบั้ม the slip กับ the fragile ยังไงพิกล

    • AHEAD OF OURSELVES •

    เพลงนี้มันเล่นกับการรับรู้ของคนดูมาก เหมือนกำลังฟังวง throbbing gristle หรือวง cabaret voltaire ยุคแรกๆ เปิดด้วยจังหวะกลองแบบ drum and bass วนไป เสียงร้องของเฮีย Trent ถูกปั่นด้วย ring modulation ก่อนจะลากเข้ามาแหกปากพร้อมเสียงพายุกีต้าร์ในท่อนฮุค

    "obsolete, insignificant
    antiquated, irrelevant
    celebration of ignorance
    why try change when you know you can't?"

    ผมได้ยินเสียงคนดูรอบข้างที่เป็นชาวต่างชาติช่วยกันตะโกนท่อนฮุคชัดเจน ส่วนคนดูคนไทยตอนนี้โดนฤทธิ์เพลงโยกหัวหมุนติ้วๆ ไปตามเพลงเรียบร้อย

    • GOD BREAK DOWN THE DOOR •

    ทีมงานออกมาเปลี่ยนเครื่องให้ป๋า Robin Finck มือกีต้าร์คู่บุญของวงอย่างไว เปลี่ยนจากกีต้าร์ไฟฟ้าปกติ เป็นสไลด์กีต้าร์พ่วงเอ็ฟเฟ็คต์สำหรับเพลงนี้โดยเฉพาะ Rubin ยังไม่หยุดกระหน่ำกลอง เสียง bass line synth ยังยิงใส่หูไม่หยุดจนกระทั่งถึงถึงท่อนส่งหลอนประสาทกลางเพลง

    "god break down the door, god break down the door
    you won't find the answers here, not the ones you came looking for"

    อารมณ์ผมตอนนั้นเหมือนอยู่บนรถไฟเหาะจุดสูงสุดแล้วถูกกระชากลงมาที่พื้น...

    "pull it out, push it back
    remove the pain and push it back in"

    พี่ Alessandro Cortini จงใจปล่อยให้ synth ตัวเองค้างหึ่งด้วย feedback อยู่อย่างนั้น ไฟถูกดับลง ทุกคนยังเดาต่อว่าเฮียจะหยิบเพลงอะไรมาเชือดพวกเราต่อ

    จะว่าไปเพลงนี้เหมือนเป็น "เพลงแก้มือ" ของเฮีย Trent Reznor หลังจากที่เคยแต่งเพลง the perfect drug ประกอบหนังเรื่อง lost highway  ของ ผกก. David Lynch ซึ่งปัญหาของเพลง the perfect drug คือ เพลงนี้มีคนอยากฟังเยอะ แต่เอาไปเล่นสดไม่ได้ Trent เคยเอาเพลงนี้ไปซ้อมก่อนเล่นสดอยู่ 3-4 หนก่อนจะได้ผลลัพธ์ว่ามันไม่เวิร์ค กลับกัน god break down the door ค่อนข้างมีโครงสร้างเพลงคล้าย the perfect drug มาก แต่เอามาประยุกต์เล่นสดได้ดีกว่า

    • CLOSER [+"the only time" ending] •

    แสงไฟสีแดงฉานดั่งสีเลือดถูกเปิดจากหลังเวที เป็นรหัสให้แฟนเดนตายพันธุ์แท้รู้ว่า เราได้ฟัง Closer แน่นอน คงไม่ต้องบอกว่าคนดูในคอนฯนี้ร้องท่อน "I wanna fuck you like an animal" ดังแค่ไหน สีหน้าของเฮีย Trent ดูพึงพอใจมาก หลังจากที่แกเกร็งๆ ตั้งแต่แรกว่าผลตอบรับจะเป็นยังไง

    • COPY OF A •

    "I am just a copy of a copy of a copy"

    เพลงนี้ (จากอัลบั้ม hesitation marks) ไม่ได้โชว์ความหวือหวาอะไร แต่เหมือนจะเป็นเพลงไว้โชว์ระบบแสงสีของวงซะมากกว่า ไฟหน้าเวทีสลับกันสาดไปที่สมาชิกแต่ละคนของวง เหมือนเงาบนผนังถ้ำ แต่ถึงเพลงนี้จะไม่ได้หวือหวาอะไร ผมก็เผลอโดดตัวลอยไปทั้งเพลงเหมือนกัน

    "look what you had to start
    why all the change of heart?
    you need to play your part
    a copy of a copy of a"
  • - ACT III -

    • I'M AFRAID OF AMERICANS •

    ไฟเวทีเปิดขึ้น เฮีย Trent แนะนำไลน์อัพของวง ก่อนจะพูดถึง David Bowie ชวนให้นึกขึ้นได้ว่าลุงบ่าววีก็เคยมาเล่นใน กทม. น่าจะก่อนผมเกิดซะอีก แล้วตามด้วย I'm Afraid of Americans

    "เปรียบกับพี่เป็นแค่ขอ...

    เอ้ย ไม่ใช่...

    "I'm afraid of Americans, I'm afraid of the world
    I'm afraid I can't help it, I'm afraid I can't"

    ถึงแม้ลุงบ่าวจะลาโลกไปซักพักแล้ว แต่ก็นับได้ว่าเพลงนี้เป็นเพลง "ไหว้ครู" ของเฮียได้เลยเพลงนึง เพราะช่วงที่เฮีย Trent ทัวร์กับลุงบ่าว ลุงแกก็สอนอะไรเฮียไว้หลายอย่าง

    • GAVE UP + THE HAND THAT FEEDS + HEAD LIKE A HOLE •

    ช่วงนี้เป็นช่วงโดดๆ โยกๆ กันลืมตายต่อเนื่องเลย 3 เพลง ตอนนี้ผมเริ่มเจ็บคอแล้ว เพราะแหกปากร้องตามทุกเพลง ไม่คิดว่าเฮียจะเชือดแรงขนาดนี้

    "smashed up my sanity, smashed up integrity
    smashed up what i believed in, smashed what's left of me
    smashed up my everything, smashed up all was true
    gonna smash myself to pieces, I don't know what else to do"

    จบ head like a hole เพลงชาติประจำวง นึกว่าจะได้เห็นเฮียโยนกีต้าร์ซักที แต่ก็ไม่เกิดขึ้น ไฟดับลง ยังมีเสียงตะโกนให้เล่นอีกเป็นระยะๆ

  • - ENCORE -

    • SURVIVALISM •

    "I got my propaganda, I got revisionism
    I got my violence in high-def-ultra-realism
    All a part of this great nation
    I got my fist, I got my plan, I got survivalism"

    เสียงในคอผมแทบจะไปหมดแล้ว แต่ก็พยายามจะแหกปากตามต่อ แอบแปลกใจเล็กน้อยที่มีเพลงจากอัลบั้ม year zero หลุดมา คิดอยู่ลึกๆว่าจะมันส์กว่านี้มากถ้าเปลี่ยนจาก survivalism เป็น the great destroyer (คอนฯ รอบนี้ พี่ Cortini ดูไม่ค่อยได้ปล่อยของเท่าไหร่ เพราะเฮีย Atticus Ross แย่งบทไปซะเยอะยังไงพิกล)

    • EVEN DEEPER + HURT •

    "do you know how far this has gone?
    just how damaged have I become?
    when I think I can overcome
    it runs even deeper"

    ถือว่าจบได้สวยมาก ด้วยการเอา even deeper ขึ้นก่อน hurt เพราะด้วย even deeper เป็นเพลงกลางๆ ไม่ได้เป็นแบบ playlist เก่าๆ ที่มักจะเอา head like a hole ขึ้น แล้วปิดด้วย hurt

    "if I could start again
    a million miles away
    i would keep myself
    i would find a way"

    อยากจะบอกอีกซักนิดว่า เวลาเราฟังเพลง hurt เราคิดไปว่าเป็นนี้พูดถึงการทำร้ายตัวเอง หรือการฆ่าตัวตาย จริงๆ มันเป็นเพลงที่พูดถึงการสะท้อนความคิดตัวเองผ่านช่วงที่ยากลำบาก หรือช่วงที่เราตัดสินใจอะไรผิดๆ (เพราะในบางช่วงของชีวิตเรา มันมีบางช่วงที่เราคิดว่า "กูแน่แล้ว") พอผ่านชีวิตอะไรแบบนี้มา ได้มาฟังเพลงนี้แบบสดๆ ความรู้สึก รวมถึงความหมาย มันต่างออกไป ผมกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานอีกคน ถึงกับร้องไห้เลย ปกติฟังเพลงนี้อย่างมากก็แค่ๆ เศร้าๆ หรือ หดหู่ แต่วันนี้ วันที่เราน่าจะรอมาเป็น 10 กว่าปี วันที่คิดว่าจะไม่ได้มาถึง มันก็มาถึงแล้ว เฮียแกเหมือน Dante Alighieri ในโลกยุคใหม่ คือแกไม่ได้นำเสนอโลกความจริงด้วยความสวยงาม แต่แกนำเสนอด้วยการฉุดลากเราลงนรกและโรงเชือดที่มีแต่เครื่องจักร ก่อนจะตั้งคำถามกับเราว่าเราเป็นสัตว์หรือเครื่องจักร (ทางสังคม) กันแน่?

    สำหรับผมการเดินทางมาดู คอนฯ NIN ด้วยระยะทางกว่า 200 กม. จากต่างจังหวัดภายในเวลาอันรีบเร่ง จึงเหมือนเป็นการแสวงบุญ การได้มาเจอคนที่คิดคล้ายเราคนนึงซึ่งในชีวิตนี้ ซึ่งอยู่อีกซีกโลก เราอาจจะไม่ได้เข้าใกล้เขาขนาดนี้อีกแล้ว

    ผมขอจบด้วยข้อความที่ผมแปล (ด้วยสำนวนแบบถ้าตัวผมเองคือคนเดียวกับเฮีย Trent) บางส่วนจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดระหว่าง Trent กับ Lizzy Goodman
    [http://www.nin.com/trent-reznor-in-conversation-with-lizzy-goodman/]

  • Lizzy: ช่วงเวลาที่ผ่านมามีช่วงไหนเรียกว่าเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดมั่งไหมคะ?

    T-Rez: อย่างนึงก็คงเรื่องมีลูกน้อย คุณเหมือนเป็นเทพพิทักษ์ความไร้เดียงสาเลยล่ะ คุณจะรีบวิ่งไปปิดทีวีเวลาเด็กๆเดินเข้ามาในห้องเพียงเพราะคุณไม่อยากจะสาธยายให้เด็ก 7 ขวบฟังว่า "ดาราหนังโป๊" คืออะไรหรือ "คลิปเยี่ยว" คืออะไร ผมอยากจะปิด(เครื่องมือสื่อสาร)แม่งให้หมด และผมก็คิดๆไว้ว่าจะทำอย่างนั้นอยู่ แต่พอตื่นขึ้นตอนเช้าก็เสือกอยากดูข่าวอีกว่า "วันนี้มันไปรบกันรึยังวะ?" ซะอย่างนั้นเนี่ย แม่ง รมณ์บ่จอยว่ะ

    แต่เอาให้ชัดๆ ก่อนก็ อัลบั้มนี้ไม่ได้เกี่ยวกะ โดนัล ทรัมป์ เลย มันเกี่ยวกะการมีสามัญสำนึกเกี่ยวกะโลกต่างหาก งานตัวแรก not the actual events [EP] มันเหมือนกับมโนแฟนตาซีว่าถ้า เอ ถ้าเกิดกูจุดไฟเผาตัวเอง เผาแม่งทุกอย่างในชีวิตทิ้งไป แล้วปล่อยแม่งไปซะจะเป็นยังไง รู้ไหม? ทั้งหมดนี่แม่ง(อาจจะ)เป็นภาพลวงตา และผมอาจจะตายห่า หนอนแดกอยู่ในหลุมไหนไปแล้ว ตัวจริงของผมคือคนที่เสพติดการทำลายตัวเอง มันเป็นธรรมชาติของผม และนี่ก็เป็นภาพมายากับการซื้อเวลาขอไปที มันไม่ใช่อะไรน่าชื่นชมเลยนะ แต่มันแบบว่า กูอยากเล่าให้ฟังอ่ะ และมันก็เป็นอะไรที่ผมอยากจะใช้กระบวนการภายใน

    ...

    Lizzy: ละทำไม [หลังจาก not the actual events] ถึงได้งอกมาอีก 2 อัลบั้มคะ? แล้วมันเชื่อมกัน [กับ add violence + bad witch] ยังไง?

    T-Rez: ตอนแรกก็ไม่ได้จะให้ออกมาเป็นอย่างนั้นหรอกนะ แต่มันเหมือนกับเอาอัลบั้มใหญ่ๆ อัลบั้มนึง - สมมติว่าเป็น the downward spiral ซึ่งมันแยกองก์ [acts] อยู่แล้ว ถ้าเราทำแบบนั้น ปล่อยงานครั้งละองก์ มันจะไวกว่า แล้วความตื่นเต้น ความหลั่งอดรีนาลีนเอย แรงผลักดันเอยมันจะมีมากกว่า แล้วมันก็น่าจะเข้ากับการบริโภคของโลกภายนอกที่มาไวไปไว งานที่ 2 "add violence" ไอเดียมันก็คือ ซูมภาพออกจากงานตัวแรก มาพูดอะไรที่เป็นวงกว้าง เป็นสากลมากขึ้น เพื่อจะบอกว่าเราอาจจะอยู่ในความจริงสมมติ [a simulated reality] นะเว้ย แล้วก็แนะนำแนวความคิดของ "การไร้ความหมาย" [meaninglessness] ด้วย แต่ยังมีที่ปลอดภัยให้คุยกันได้ว่าทำไมทุกๆ อย่างแม่งเพี้ยนไปอย่างนี้

    พอเรามาทำงานชิ้นที่ 3 เรามีไอเดียแล้วแหละ แต่มันรู้สึกแบบ ... ไอ้เหี้ยแม่งเตี๊ยมกันชิบหาย เดาตอนจบง่ายไป ท้ายที่สุด เลยมาลงเอยที่ว่าพูดถึงมนุษย์เราในฐานะของ(สัตว์)สังคม และสปีชี่ส์ของเรา ที่อาจจะเกิดมาโดย "บังเอิญ" ก็ได้ เป็นการกลายพันธุ์ จริงๆ แล้วเราแม่งเป็นสัตว์ (หรือ "ไอ้สัส") และภาพลวงตาของเราหลายเป็นอาการตาสว่าง ยิ่งเราเชื่อมโยงกับคนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งโง่ลง และยิ่งเราตัดสินใจมากเท่าไหร่ เราก็อยากจะฆ่าคนอื่นมากเท่านั้น เราไม่ได้เป็น "สัตว์ประเสริฐ" สูงส่งหลุดพ้นห่าเหวอะไรเลย เราเป็นแบคทีเรียในจานเลี้ยงเชื้ออ่ะ งานศิลปะประกอบอัลบั้ม bad witch มันเลยเหมือนเงาบนกำแพงถ้ำ [*plato's cave???] และเราพยายามจะหาคำอธิบายว่า มันคืออะไร และมันก็ไม่ไดีมีคำอธิบายที่มันดี มันสวย มันปลอดภัยแบบวิทยาศาสตร์ พวกเราแม่งเป็นอุบัติเหตุ ทฤษฎีสตริงกับควอนตัมฟิสิกส์อะไรนี่แม่งเป็นโชว์โง่ๆเท่านั้น ยังไงเราแม่งก็ไม่สามารถบรรลุไปเป็นสิ่งมีชีวิตในระดับที่เหนือกว่าได้หรอก เราแม่งหลอกตัวเองไปวันๆ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดมานี่แม่งจะต้องหนักหัวใครบางคนแน่ๆ มันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาต้องการหรอก พวกเขาอยากจะอยู่ในโลกจำลองแบบเดอะเมตทริกซ์ แล้วนี่ก็เป็นตรงกันข้ามกับอย่างนั้น มันเป็นขี้ดินเลน กับชิพคอมพ์พังๆตัวนึง และทุกอย่างที่คุณเชื่อแม่ง... ค.ว.ย. (=คิด+วิเคราะห์+แยกแยะ)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in