ชีวิตเราเริ่มต้นตอนสี่ขวบ
ใช่แล้ว ฟังไม่ผิดหรอก ชีวิตเราเริ่มต้นจากตอนนั้นจริงๆมันน่าแปลกที่เราจำช่วงชีวิตก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย จำไม่ได้ว่าตอนสามขวบสิบเอ็ดเดือนเราเคยทำอะไรไว้บ้างหรือย้อนกลับไปอีกหกเดือนก่อนหน้านั้นเรามีประสบการณ์ชีวิตรูปแบบไหน
ชีวิตเราเริ่มต้นตอนสี่ขวบ
วันนั้นเราใส่ชุดเดรสสีแดงสดใสมีปกเสื้อและระบายกระโกรงพลิ้วสีขาวฉลุเป็นลายดอกไม้
ปู่กับย่านั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ พี่สาวซึ่งเป็นลูกของลุง นั่งอยู่อีกฝั่ง และมีแม่นั่งอยู่ข้างเราอีกด้านหนึ่ง บนโต๊ะมีเค้กกลมก้อนหนึ่งตั้งอยู่ มีเทียนซึ่งคงจะมีสี่เล่มตามอายุของเราปักอยู่ตรงกลาง เทียนทานทนความร้อนแรงของเปลวไฟที่กำลังเต้นระบำอยู่ด้านบนไม่ไหวจนต้องหลั่งน้ำตาออกมา ขณะเดียวกันกับที่สิ้นเสียงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยูแล้วเปลวไฟทั้งสี่ก็ดับวูบลงจากแรงลมที่ถูกเป่าออกจากปากน้อยๆ
สิ่งที่เราจำได้หลังจากวันนั้น คือทุกเช้าเราจะตื่นขึ้นมาด้วยเสียงของนาฬิกาปลุกธรรมชาติ นั่นคือเสียงปู่ใช้ทัพพีเคาะหม้อข้าวเรียก “หมา หมา มากินข้าว” ปู่เราไม่เคยเรียกชื่อหมา แม้ว่าหมาตัวนั้นจะมีชื่อที่น่ารักแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยทำให้ปู่หวั่นไหวไปเรียกชื่อมันได้สักตัว สักพักหลังจากนั้นเราก็จะงัวเงียตื่นขึ้นมา ทำท่าจะลุกออกจากที่นอน แต่ก็ไม่วายโน้มตัวลงไปใหม่กลายเป็นท่านั่งโก้งโค้ง ก้นโด่งแต่หัวฟุบเข้าไปในหมอนนุ่ม เสียงที่ตามมาคือเสียงน้ำสาดลงพื้นดิน เสียงไก่ขันอย่างสดชื่นร่าเริง และเสียงรายการโทรทัศน์ยามเช้าที่ดังแว่วขึ้นมาจากชั้นล่าง นั่นแหละคือการปลุกเราให้ตื่นโดยสมบูรณ์และอย่างเต็มใจ
เรารักชีวิตวัยเด็กของเรามาก ไม่เคยรู้สึกถึงการบีบรัดทางเวลา อารมณ์ และจิตใจไม่เคยได้สัมผัสหรือเรียนรู้ว่าความทุกข์หน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ใช่เพราะเติบโตในครอบครัวมั่งมี เพียงแต่โตมากับปู่ ย่า ซึ่งเป็นชาวไร่ชาวสวนธรรมดา และถูกเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนโดยป้าบังเกิดเกล้า ที่เราเรียกว่าแม่มาโดยตลอดเราเป็นเด็กที่มีชีวิตเติบโตอยู่ในเมืองที่ห่างไกลความเจริญคนหนึ่งเท่านั้น แต่นั่นอาจเป็นเหตุผลและที่มาของความสุขในวัยเด็กซึ่งกำลังถอยห่างออกจากเราไปไกลทุกที
หลังจากที่ชีวิตต้องโยกย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง เพราะหน้าที่และภาระอันหนักอึ้งผ่านไปปีแล้วปีเล่า จำนวนเทียนที่ปักบนหน้าเค้กเพิ่มขึ้นอย่างไม่สามารถหยุดหยั้งได้เช่นเดียวกับกาลเวลาที่ไหลไปไม่สิ้นสุด
เช้านี้เราหยุดอยู่ตรงทางเดินของรถไฟฟ้าใต้ดิน คลื่นของฝูงชนพากันถาโถมไปด้านหน้ามองดูแล้วคล้ายมดงานถูกนางพญาปลุกให้ตื่น แล้วออกคำสั่งให้รีบเร่งออกไปหาอาหารมาปรนเปรอ หรืออาจจะคล้ายหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมด้วยชุดคำสั่งแบบเดียวกันเพราะทุกคนดูกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาดไม่ว่าจะเป็นจังหวะการก้าวเดินที่สอดคล้องประสานกันราวกับวงดนตรี Symphony Orchestra เสียงฝีเท้าที่รีบเร่ง การโยกตัวซ้ายขวาประกอบการก้าวหน้าเดินผ่านเข้าไปในช่องแคบเล็กที่ต้องแตะบัตรหรือเหรียญกลมขนาดใกล้เคียงกับเหรียญสิบบาท พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะ ตี๊ดตี๊ดตี๊ด ครั้งแล้วครั้งเล่า
เราจ้องภาพนั้นจนรู้สึกเวียนหัว แล้วคำถามต่างๆก็ผุดขึ้นมาในใจกี่วัน กี่เดือน กี่ปีมาแล้วที่เราปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปเรื่อยๆโดยไม่แม้แต่จะฉุกคิดถึงความปรารถนาที่หลบลึกอยู่ภายในจิตใจ เราปล่อยให้ทุกวันของการดำเนินชีวิตเป็นไปโดยอัตโนมัติ แทบจะไม่ต้องคิดว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลัง เริ่มจากการตื่นเช้า รีบออกไปทำงาน ตอกบัตร นั่งเคาะคีย์บอร์ด ต๊อกแต๊ก วุ่นวายอยู่กับการรับโทรศัพท์ รบรากับสงครามน้ำลายของผู้คนและจบด้วยการหมดแรงสิ้นสภาพกลับห้องไปในตอนเย็น
เราปล่อยให้มันเป็นไปจนลืมคิดไปเสียสนิทว่าความสุขที่เราต้องการ อยู่บนเส้นทางที่เรากำลังเดินอยู่นี้รึเปล่าหรือเราทำความสุขของเราตกหล่นไปแล้วในซอกหลืบดำมืดของความเป็นผู้ใหญ่
เราปล่อยให้ทั้งความฝันและความสุขค่อยๆเดินห่างออกจากเราไปทีละนิดจนแทบจะมองไม่เห็น เพียงเพราะความเคยชินอันงี่เง่าและความเหนื่อยล้าที่มักถูกขุดขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เรามักคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่าเพราะความเป็นผู้ใหญ่ทำให้เราต้องแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบนานาประการเอาไว้จนไม่มีเวลามากพอที่จะไปคิดถึงการแสวงหาความสุขทางกายหรือความสบายทางใจ เรามักสร้างเงื่อนไขว่าเพราะชีวิตไม่ง่าย จึงต้องจำยอมใช้ชีวิตในรูปแบบเดิมต่อไป ทั้งที่ก็ไม่เคยแน่ใจว่าชีวิตแบบที่เป็นอยู่นี้ใช่แบบที่ “ใช่” แล้วหรือเปล่า
เราละทิ้งความฝันในวัยเด็ก ละทิ้งงานอดิเรกที่เคยสร้างความสุขและรอยยิ้ม เพียงเพราะเชื่อมั่นอย่างลมๆแล้งๆว่า การมุ่งมั่นทำงานหนักเพียงอย่างเดียวย่อมส่งผลให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ การทำงานหนักย่อมส่งผลให้หน้าที่การงานก้าวหน้า การทำงานหนัก ยิ่งหนักมากเท่าไรย่อมมีคนเห็นคุณค่า และการทำงานหนัก ยิ่งหนักมากขึ้นเท่าไรย่อมทำให้ชีวิตในวันข้างหน้าเราสบาย
ที่ผ่านมาเราคิดแบบนั้นแต่วันนี้เราต้องกลับมาคิดใหม่
เราพบว่าความสุขเล็กๆ ที่เราเคยทิ้งไว้เรี่ยราดรายทางตลอดเส้นทางของความเป็นผู้ใหญ่ พอเราเดินย้อนกลับไปเก็บมันขึ้นมามันกลับเพิ่มความสุขให้เราได้มากกว่าที่คิดและทำให้ชีวิตที่เคยจำเจในทุกวันที่ผ่านมากลายเป็นวันที่มีความหมายต่างออกไป เราค้นพบว่าเวลาที่เคยหายไป มันไม่เคยหาย แต่เราเลือกที่จะเพิกเฉยและไม่สนใจว่ามันมีอยู่จนทำให้เราพลาดโอกาสในการสร้างความสุขให้กับตัวเอง
ตอนนี้แทนที่เราจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเหนื่อยล้าจากการทำงานและปล่อยให้เวลาไหลไปโดยเปล่าประโยชน์ เรากลับมาเขียนบันทึกอีกครั้ง แบ่งเวลาไปหาดูรายการย้อนหลังบางรายการที่น่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้นอกเหนือจากเรื่องงาน อ่านหนังสือเล่มหนาที่เคยถูกทอดทิ้งและฝึกถ่ายทอดเรื่องราวความคิดต่างๆออกมาเป็นตัวหนังสือ ทุกอย่างนี้เป็นความสุขขนาดเล็กจ้อยที่พอรวมกันแล้วกลายเป็นความสุขก้อนมหึมา มากพอที่จะห่อหุ้มชีวิตของความเป็นผู้ใหญ่อันแสนจะยุ่งยากซับซ้อน ให้ดูเป็นชีวิตที่ง่ายขึ้นมาทันตา
แค่เปลี่ยนจากการทนทุกข์ในปัจจุบัน เพื่อรอไปพบความสุขเอาดาบหน้า แล้วเลือกที่จะเก็บเกี่ยวความสุขที่พบเจอตามรายทาง
"ความสุขเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่มหาศาล"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in