ชีวิตของเด็กผู้หญิงทุกคนมันต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่ “งอนกัน เพราะเดินไปเข้าห้องน้ำไม่รอ”, “กินข้าวไม่รอ”, “จำวันเกิดกันไม่ได้” สำหรับต่างคนก็ต่างประสบการณ์กันไป
เมื่อครั้งเข้าปี 1 ในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย ที่เข้ามาปรับตัว ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน ซึ่งสำหรับบางคน เรื่องสังคม มันจำเป็นมากกว่า
ณ ตอนนั้น มีเพื่อนจากหลากหลายโรงเรียนมัธยมชื่อดัง ก็เข้าใจแหละว่าต่างมาจากการอบรมที่ดีที่สุด บางคนเป็นลูกหลานรัฐมนตรี บางคนเป็นคนดัง คนธรรมดาบางคนก็อยากเป็นชนชั้นที่ติดดินไม่ได้ ตอนนั้นทุกคนเหนื่อยมาก ที่ต้องหาจุดที่เป็นตัวเอง
เพื่อนกลุ่มแรกต้องรอกินข้าวพร้อมกัน เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เราอยู่ด้วยได้ไม่นาน เราบ้านไกล นั่งรถมาไกล ถ้าไม่กินข้าวตอนนี้มีหวังเป็นลม มีเพื่อนสนิทเป็นโรคกระเพาะอาหารมาเป็นปี
แล้วก็ไปไหนมาไหนก็ต้องรอกัน มันทำให้เราเข้าใจว่า ความจำเป็นของคนเราไม่ตรงกัน เรียนก็คนละ SEC หลักสูตรหน่วยกิตไม่เหมือนกัน ตอนนั้นเลยตัดสินใจ Manage ตัวเอง เราต้องจบ! แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากัน สุดท้ายก็เจอกลุ่มเพื่อนที่เป็นเหมือนกัน อยู่บนโลกของความจริง จบมาได้ทำงานอย่างที่ตัวเองหวังกันทุกคนทและแน่นอนว่า แม้จะเป็นงานที่ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนเข้าใจกัน
บางทีผู้เขียนก็งงว่าเราจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเป็นทุกอย่างที่คนในสังคมนั้น ๆ ต้องการไหม? ถ้าเรามัวแต่ต้องแคร์ทุกอย่าง ป่านนี้คงไม่เป็นอันทำอะไรกัน และเราต่างก็เลือกจะเป็นคนสำคัญของแต่ละฝ่ายไม่ได้ ธรรมชาติ ความชอบและ Lifestyle เท่านั้นที่เลือกกัน
ทุกทีที่โทรมา ความคิดที่จะเกรงใจคนรับสายว่าเขาจะไปมีการมีงานอะไรทำก็ไม่มี แลว่าต้องบ่นให้ครบ ซ้ำไปซ้ำมา
จริง ๆ เขาก็น่าสงสาร ที่เอาตัวเองออกมาจากโลกแบบนั้นไม่ได้ บางมีแม้ตัวเราเอง ก็โทรหาเพื่อน บ่นบ้าง เปรยทุกข์บ้าง จนเพื่อนเบื่อก็มี
เพื่อนที่แคร์กันจริง ๆ คือ คนที่ได้แชร์สุข แชร์ทุกข์ด้วยกันได้ มองหน้ากันก็รู้แล้วว่าจะพูดอะไร
“ค่อย ๆ ห่างกัน”
เป็นวิธีที่ตัดสินใจได้ดีที่สุด
มันอยู่ที่ว่าสมควรแก่การปล่อยมือแค่ไหน
ไปทำงาน และหาเงิน เป็นทางออกที่ดีสุด
เราต่างเจอเพื่อนใหม่กันทุกวัน
บางคนก็มาเป็นเพื่อนขาจร
บางคนเข้ามาเป็นเพื่อนที่จริงใจ
อย่างที่โบราณเขาว่า
เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก
(เพื่อนบางคนเงินซื้อได้ก็มี)