เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
filmtofichoramiji
[SF] Love At First Sight (Collins x Peter)
  • Title: Love At First Sight
    Fandom: Dunkirk
    Couple: Collins x Peter
    Theme Song:
    • Love At First Sight - Blue
    • I will be right here waiting for you - Richard Marx
    Note: คอลลินส์ในเรื่องนี้เป็นตัวละครที่ต่อเนื่องมาจาก [SF] Let's Not... (Farrier x Collins) แต่แม้ไม่อ่านเรื่องนั้นก็อ่านเรื่องนี้เข้าใจนะ เพียงแต่ถ้ารู้ภูมิหลังของคอลลินส์มา อาจจะเข้าใจคอลลินส์มากกว่าไม่อ่าน



    Whatever it takes
    or how my heart breaks

    I will be right here
    waiting for you


    .
    .

    1940


    เห็นแล้วใช่ไหม
    เห็นแล้วสินะ

    จะรับไหวหรือเปล่านะ...?

    คุณทหาร...


    "...ไม่ได้รบกวนนายใช่ไหม"

    อะไรนะ?

    เขาหยุดหันรีหันขวางมองหาทหารปริศนา
    หลังจากร่างของจอร์จถูกย้ายออกมา

    "ครับ?"

    ลูกแก้วสีครามกลอกขึ้นมอง
    คนถาม...ในชุดเครื่องแบบสีกรม

    "อ๋อ...คุณ..."

    คุณนักบินที่เพิ่งจับมือลา
    กับพ่อ และกับเขา

    จู่ๆ ก็เดินกลับมาสะกิด

    "มีอะไรเหรอครับ..."

    อีกฝ่ายหยีตา เสยมือสางหมู่มวลเส้นผมสีฟางซึ่งร่วงปรกหน้าขึ้นไป ค้างมันไว้ตรงท้ายทอยอย่างเก้อเขิน

    "นี่อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ว่า-- คือฉันไม่ได้ทำแบบนี้ทุกวันหรอกนะ ปกติน่ะ หมายถึง...ไม่เคยเลย แต่..."

    พีทเลิกคิ้ว
    จะพูดอะไรกันแน่นะ?

    "ฉันพานายไปข้างนอกได้ไหม แบบว่า กินข้าว ดูหนัง อะไรแบบนั้น ที่เรียกว่า..."

    พีเทอร์ไม่ได้ยิ้ม หากมีแววขบขันในดวงตา
    คนตรงหน้าดูจะลืมคำศัพท์กะทันหัน

    "หมายถึง 'เดท' เหรอครับ?"

    คอลลินส์พยักหน้า

    "แน่นอน ไม่ใช่วันนี้ แต่นั่นละ ได้ไหม..."
    "..."

    คลื่นทหารจากดันเคิร์กยังคงหลั่งไหลขึ้นฝั่ง
    แต่ความรู้สึกบีบรัดโลกรอบตัวทั้งคู่แคบลง

    เหลือเพียงกันและกัน

    เด็กหนุ่มยืนเงียบงัน
    คนโตกว่ารีบอธิบาย

    ...ถึงความรู้สึก
    ที่รั้งให้ตัดสินใจเดินกลับมา

    "ฉันแค่...คือถ้าไม่ถามซะตอนนี้ ก็คงไม่มีโอกาสเจอหน้านายอีกเลย..."
    "..."

    เขาจ้องดวงหน้าที่ว่านั้น

    หน้าสวยๆ ที่เห็นเป็นสิ่งแรกหลังขึ้นจากน้ำ
    แสงสว่างต่อชีวิตซึ่งเกือบจะต้องมอดดับ

    "แล้วนายล่ะ...?"

    ย่นคิ้ว ฉงน
    เขา...ทำไม?

    "อะไรครับ"

    เสยผมอีกครั้ง
    กระซิบถาม เสียงเบา

    "...บังเอิญเชื่อเรื่องรักแรกพบบ้างไหม?"

    .
    .

    A Day Without You

    เขาไม่รู้อะไรเลยเรื่องรักแรกพบ
    แต่ความรัก...?



    พีเทอร์ถือสายโทรศัพท์แนบหูไว้

    "พี่คอลลินส์?"
    "พีท..."
    "ไงฮะ"
    "สวัสดียามบ่าย เอ่อ พีท พี่คุยตอนนี้ไม่ได้ ขอโทษที เดี๋ยวพี่โทรกลับทีหลัง"
    "อ่อ ได้สิ..."
    "คิดถึงนาย ได้ยินไหม"
    "เหมือนกันฮะ"
    "ไว้จะเขียนถึงนะ..."

    เขาวางสาย
    กลั้นยิ้มไม่อยู่

    อะไรกัน พีท

    วันเดียวก็เป็นเอามากขนาดนี้แล้วเหรอ
    ก่อนหน้านี้น่ะ...ยังใจร้ายกับเขาอยู่เลย

    เอาเถอะ
    แรกๆ ก็แบบนี้แหละนะ

    อีกไม่นาน
    นายอาจจะไม่รอเขาแล้วก็ได้

    .
    .

    เขาจะเดินเร็วตามใจยังไงก็ได้
    ไม่จำเป็นต้องก้าวให้เท่าใครคนนั้น


    'แบบนี้ก็ดี...'

    ขายาวเพรียวลมสาวว่องไว
    ถึงที่หมายในเวลาอันรวดเร็ว

    จะไปชอปปิ้งเสื้อผ้าของตัวเองยังไงก็ได้
    ไม่ต้องมัวแต่ช่วยตานั่นเลือกถุงมือ


    "อืม..."

    คอลลินส์งึมงำในลำคอ
    ไล่สายตามองเสื้อโค้ทผ่านกระจกร้าน

    เสี้ยววินาทีหนึ่ง, ภาพสะท้อนในนั้น
    แทนที่จะเป็นเขา, กลับเป็นนักบินในแจ็กเก็ตหนัง

    กระทั่ง...

    "คุณ..."

    กะพริบตา ภาพลวงรางเลือนหายไป
    ใบหน้าน่ารักยื่นมาทักทายใกล้ๆ

    เขาทักตอบ "พีท...สวัสดียามบ่าย"

    อีกฝ่ายเลิกคิ้ว "ยังไม่เที่ยงเลย และเราสนิทกันขนาดนั้นแล้วเหรอครับ?"
    "นายก็ควรจะเรียกพี่ด้วยชื่อเหมือนกัน"

    คนเป็นเด็กยักไหล่เบาๆ คอลลินส์แอบไล่สายตาดูหนุ่มน้อยน่ารักตั้งแต่หัวจรดเท้า กางเกงสีคาราเมล สเวตเตอร์สีครีมทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลลงยิ่งกว่าวันก่อนบนเรือ โดยเฉพาะเรือนผมบลอนด์อ่อนไล่สีที่น่าสอดสางมือเข้าไปไล้เล่นนั่น...

    "นี่..."

    พีทเอียงศีรษะหลบ

    จึงรู้ตัว ว่าไม่เพียงคิด
    แต่ดันยื่นมือออกไปแล้ว

    แหวกหญ้าให้กระต่ายตื่นซะงั้นเรา

    "บอกไว้ก่อนว่า 'นี่' ไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้นนะ ผมยอมออกมาแค่เพราะไม่อยากอยู่บ้าน..."

    ไม่อยากฟุ้งซ่าน

    กับความคิดที่ว่าจอร์จจากไปแล้ว
    หรือ...ทหารคนนั้นจะเป็นยังไง

    คอลลินส์หรี่ตา "งั้นนายบอกพ่อว่าอะไร?"
    "ผมโตแล้ว พ่อไม่ถามทุกเรื่องหรอก"
    "นายยังเด็ก..."

    มือใหญ่เอื้อมออกไป
    วางบนเรือนผมนุ่มดุจแพรไหม

    "...ตัวแค่นี้เอง"

    กลุ่มนิ้วเล็กๆ ดันมือบนหัวตนออกเบาๆ
    ขัดใจเขา...ไม่เหมือนอีกคน

    คนที่ไม่เคยขัดใจเขาสักอย่าง

    ดีจริงๆ...
    เจอคนที่ตรงข้ามกับนายสิ้นเชิงแล้ว

    "คุณไม่ต้องกลับไปทำงานหรือยังไง"

    ไม่ใช่ว่ากองทัพยิ่งต้องการกำลังหรือ?
    หลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น?

    "ยัง..."

    คอลลินส์พึมพำ
    หักห้ามใจไม่มองกระจกอีกครั้งไม่ได้

    เงาสะท้อนในนั้นสวมแจ็กเก็ตหนังแกะ
    กับหน้ากากนักบิน, และ...ถุงมือ

    ...ที่เขาเลือกให้

    "ไปกันเถอะ..."

    นักบินหนุ่มจูงมือพีทออกห่างจากร้าน
    เดินสุ่มสี่สุ่มห้า สุ่มทิศทาง

    "รู้เหรอว่าโรงหนังอยู่ไหน คุณคนต่างถิ่น..."
    "ไม่..."

    เขาปล่อยมือชั่วขณะ
    พลิกให้มือเล็กเป็นฝ่ายจับมือตน

    "นายจูงพี่แทนสิ"

    พีทมองใบหน้าหล่อเหลาแบบงงๆ
    อย่างนี้ก็ได้?

    "เร็วสิครับ ยังมีที่ต้องไปอีกเยอะแยะ..."

    คนตัวเล็กปล่อยมือจากเขา
    ชี้ไปทางขวา "แวะร้านนั้นก่อนนะ"
    "จะเอาอะไร?"
    "สายจูง..."

    ร้ายไม่เบาเหมือนกันนะเรา

    "พี่ไม่ใช่หมา"
    "ก็อยากให้จูงไม่ใช่เหรอครับ"

    พีทกลั้นหัวเราะ
    จนกลายเป็นรอยยิ้ม

    คอลลินส์ยิ้ม
    เพราะได้เห็นอีกฝ่ายหัวเราะ

    "ครั้งแรกเลยนะ..."

    หมายถึง, ที่พีเทอร์ยิ้มให้เขา
    คนรู้ตัวว่าถูกจ้องรีบเก๊กขรึม

    "...คุณไม่รู้หรอก"
    "รู้อะไร?"

    เด็กหนุ่มส่ายหน้าหงึก

    ก็จะว่าไป...ผมยิ้มให้คุณตั้งแต่ตอนที่คุณอยู่บนฟ้าแล้วยังไงล่ะ คุณนักบิน

    .
    .

    A Week Without You

    เขาไม่รู้อะไรเลยเรื่องรักแรกพบ
    แต่ความรัก,

    นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


    "พีท จดหมาย..."

    คนเป็นลูกชายไม่ได้ตื่นเต้นดีใจอะไรนัก
    แค่มารับไปจากมือ และกลับขึ้นห้อง

    คุณดอว์สันได้แต่มองตาม
    สองสามวันก่อนยังดูดีใจกว่านี้มากนัก

    "..."

    พีทโยนจดหมายไว้บนโต๊ะ
    กองรวมกับอีกสองสามฉบับ

    ไม่ได้เปิดมันเลยสักฉบับ

    'พี่สัญญาว่าจะเขียนหานาย'
    'ผมก็สัญญาว่าจะรอ'


    ไร้สาระ
    นั่นแหละ...ความรัก

    พีททิ้งตัวลงบนที่นอนอีกครั้ง

    ไร้สาระ

    .
    .

    "อย่า..."

    ไหล่เล็กเบี่ยงหลบอุ้งมือขาว
    ที่ยกขึ้นโอบ

    "คนเขามอง..."
    "ไม่เห็นเป็นไร เราเหมือนพี่น้องกันจะตาย"

    พี่ชายผมบลอนด์ก้มลงกระซิบ

    ใกล้...
    จนแอบจุ๊บซอกคอน้องชายผมบลอนด์ได้

    และสุดท้ายก็โอบสำเร็จอยู่ดี
    พีทส่ายหน้าน้อยๆ เบื่อจะว่าอะไรอีก

    "คุณมันบ้า"
    "ที่...?"
    "ที่บอกว่าคุณรักผม"

    ปล่อยน้องเป็นอิสระ ก้าวเร็วๆ นำไป
    โอบเสาติดป้ายบอกทาง หมุนเล่น

    "ก็พี่รู้สึกแบบนั้น"

    หมุนรอบเสามาดักหน้าพีทได้พอดี
    เกือบขโมยจุ๊บบนแก้มหรือปากได้สักครั้ง

    ติดแต่มือเจ้าตัว กางแปะหน้าเอาไว้

    "แต่เราเพิ่งเจอกัน..."
    "เขาถึงได้เรียกว่ารักแรกพบยังไงล่ะ"

    เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ เดินต่อ
    คอลลินส์กลับมาสาวเท้าอยู่เคียงข้าง

    "งั้นนายก็ไม่เชื่อสินะ..."
    "หมายถึงคุณ หรือรักแรกพบล่ะฮะ"
    "ทั้งสองอย่าง"
    พีทอมยิ้ม "งั้นก็ทั้งสองอย่าง"
    "ถ้างั้นทำไมยังยอมออกมาเจอกันอีก"

    คอลลินส์ไล่ต้อน
    พีทเพียงยักไหล่

    "คุณทำลายสมาธิดี อยู่ด้วยแล้วไม่ต้องคิดเรื่องอื่น..."
    "พี่คงไม่น่ารำคาญขนาดนั้นมั้ง ยังเห็นนายเหม่อลอยอยู่บ่อยๆ"
    "..."
    "คิดอะไรอยู่ บอกได้รึเปล่า"

    คิดถึงจอร์จ

    "หรือกังวลอะไร?"

    กังวล...เรื่องนายทหารนิรนาม

    "ไม่บอกก็ไม่บอก..."
    "ผมแค่..." เสียงนุ่มเปรย "กำลังคิดจะเข้ากองทัพเรือ แต่..."
    "แต่?"
    "พี่ชายผมขอไว้ก่อนไปรบ ให้ผมอยู่ดูแลพ่อ..."

    หยุดยืนนิ่ง ก้มหน้า ขยับนิ้วเล็กๆ ดึงปลายด้ายที่ลุ่ยออกจากเสื้อไหมพรมตัวเก่าเล่น ปล่อยให้เสียงพี่ชายในความทรงจำไหลผ่านโสตประสาท

    ...

    'ฉันกำลังจะไปพรุ่งนี้ แล้วตอนนี้นายก็วางแผนจะทิ้งพ่อไว้คนเดียวเนี่ยนะ พีท?'

    'ไม่ใช่พี่จะอยากขึ้นบิน เอาชีวิตไปเสี่ยงนี่นา ผมก็เหมือนกัน แต่ช้าหรือเร็วยังไง ประเทศนี้ก็จะต้องการผู้ชายทุกคน...'

    'นายยังเด็กเกินไป พีท น้องชายที่รัก ได้โปรด อย่าทำแบบนั้นกับพ่อ...'


    ...

    "ถ้าเขากลับมา หรือจอร์จยังอยู่ ผมคงไม่ต้องกังวล"
    "..."
    "แต่ตอนนี้พี่เขาไม่อยู่แล้วและ... และจอร์จก็ไม่"

    ใบหน้าสวยเรียบเฉยตอนที่พูดออกมา

    ทว่าเพียงปลายนิ้วขาวเชยคางมนแผ่วเบา
    ของเหลวพิศุทธิ์ใสก็รื้นคลอนัยน์ตานั้น

    "ชู่..."

    เด็กหนุ่มผู้อยู่บนโลกมาได้เพียงสิบเก้าปี
    เสียคนใกล้ชิดให้สงครามไปแล้วสองคน

    เพิ่งตระหนักความจริงข้อนี้ ก็ตอนนี้

    สองมือใหญ่จับประคองเนียนแก้มใส
    กระซิบกระซาบ "ไม่เป็นไรนะ..."
    "ผมโอเค อย่าจับ ผมไม่..."
    "ครับ ไม่จับๆ..."

    คอลลินส์รีบถอนมือออก ซุกลงกระเป๋า
    แต่ตัวเขายังอ้อยอิ่งเอียงคอดูใกล้ๆ

    "แต่รู้ใช่ไหมว่าร้องก็ไม่เป็นไร..."
    "..."
    "ไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงนายมายังไง ฉันประทับใจความเข้มแข็งของนาย แต่อย่าลืมว่านายไม่ได้โตกว่าจอร์จเท่าไรเลย พีท..."
    "..."
    "ผู้ใหญ่ก็ร้องไห้ได้ รู้ไหม..."

    ไม่ตอบ เพียงพยักหน้าเบาๆ
    และ "..." เอนเข้ามาใกล้

    ทีละนิด...ทีละนิด

    จนยอดหน้าผากแตะลงกลางอกกว้าง
    เกือบได้ลูบท้ายศีรษะปลอบ ทว่า...

    หนึ่ง
    สอง
    สาม

    เจ้าตัวเงยขึ้นก่อน

    "ร้านแผ่นเสียงที่คุณอยากไปน่าจะเปิดแล้ว มาเถอะฮะ..."

    พีทเอ่ย

    นัยน์เนตรสวยไร้ร่องรอยน้ำตา
    รอยยิ้มเจือจางแต้มอยู่ตรงมุมปาก

    นิ้วเล็กเกี่ยวคอเสื้อเขา

    กระตุกเบาๆ
    พาเดิน

    "พี่เป็นหมาของเราไปแล้วสินะ..."

    .
    .

    เป็นอะไรกับกระจกนะ?

    ดูเหมือนคอลลินส์จะไม่ได้ฟังที่เขาพูดมาพักใหญ่ เพราะเอาแต่ยืนมองกระจกร้านบานใส ทีแรกพีทคิดว่าข้างนอกมีอะไร แต่ก็ไม่มี

    "..."

    ลังเลว่าจะขัดอาการเหม่อลอยของคุณนักบินดีหรือเปล่า แต่ในเมื่อเจ้าตัวเป็นฝ่ายลากเขาออกมา ก็ควรต้องใช้เวลากับเขาสิ...?

    "ผมชอบวงนี้..."

    พีทยื่นแผ่นเสียงไปตรงหน้า
    แทบปะทะสันดั้งโด่งๆ ของอีกคน

    "พี่ก็ชอบ"
    "โม้..."
    "พูดจริง เคยดูสดด้วยนะ ดีมากเลย อ้อ เดี๋ยวนะ ถ้านายชอบแนวนี้..."

    คอลลินส์ไล้ปลายนิ้วผ่านแผ่นเสียงบนชั้นในร้านโดยเร็ว ไม่นานก็หยุด และหยิบแผ่นที่ตามหาขึ้นมา

    "ก็ต้องชอบนี่ด้วยใช่ไหม?"
    "รู้ได้ไง..."

    ทหารหนุ่มยังไม่ตอบ นิ้วเรียวยาวและนัยน์ตาเรียวคมยังทำการค้นหาต่อไป จนได้แผ่นเสียงอีกสองสามแผ่นขึ้นมา

    "พวกนี้ด้วย?"

    พีทพยักหน้า
    คอลลินส์ยิ้ม

    ต่างกับหมอนั่น ที่แม้จะยอมยืนฟังทุกอย่างที่เขาฟัง แต่กลับไม่รู้จัก และไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษเลยสักอย่าง

    "เราต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่--"
    "ชู่..."

    พีทดันแผ่นเสียงมาปิดปากเขา
    กระซิบ "ผมชอบเพลงนี้..."

    ท่วงทำนองที่กำลังลอยละล่องอยู่ในร้าน

    "Moonlight Serenade ของเกลนน์ มิลเลอร์เนี่ยเหรอ?"
    "ทำไม"
    "ฟังอะไรเหมือนคนแก่เลย..."
    "ก็...คงเพราะพ่อ"
    "เข้าใจละ..."
    "เงียบซี่ ผมจะฟัง..."

    คอลลินส์กลั้นยิ้ม
    ยอมเงียบจนเพลงจบ

    "นายเหมาะกับเพลงนี้มากกว่านะ..."
    "The Answer is Love ของเคย์ ไคเซอร์ ผมก็ชอบ..."

    คอลลินส์ก็ชอบเหมือนกัน

    ท่วงทำนองสดใส
    เหมาะกับคนตรงหน้านัก

    "ได้ไหม..."
    พีทเลิกคิ้ว "อะไร?"

    สายตาของคนตัวสูงที่ก้มมองริมฝีปากเขาตอบชัดทุกอย่าง

    "ไม่ได้"

    พีทรีบวางแผ่นเสียงคืนชั้น
    พุ่งตัวออกจากร้าน

    "ไม่เห็นสายตาเจ้าของร้านรึไงครับ..."

    คอลลินส์แกล้งเอานิ้วอุดหูทันทีที่พีทเริ่มดุ
    ยังมีหน้า... "อ๋อ ที่รีบออกมานอกร้าน..."

    "คุณกำลังจะก่ออาชญากรรม*ในนั้นนะ ยังมาทำเป็นเล่นอีก..."
    "ถ้าการรักนายมันเป็นอาชญากรรม พี่ก็ยอมรับผิดติดคุกละนะ..."
    "หยุดพูดคำนั้นสักทีเถอะ"
    "..."
    "คนเราจะรักกันแค่แรกเห็นได้ยังไง..."


    นายไม่เชื่อ...
    ...จริงๆ ด้วยสินะ


    "ถ้านายไม่ชอบให้คนเห็น... ยกเลิกแพลนทุกอย่าง หาที่คุยกันเงียบๆ แทนดีไหม"

    .
    .

    เป็นวันที่สวยงามอีกวัน
    เกินกว่าจะเชื่อว่าโลกกำลังมีสงคราม

    มูนสโตนได้พักผ่อนอย่างเงียบสงบอยู่ในท่าของเธอ หลังจากต้องแบกรับทหารหนุ่มจนเกินขีดจำกัดบรรทุกปกติไปมากโขเมื่อสองวันก่อน คอลลินส์และพีเทอร์พับขากางเกงขึ้นถึงเข่า จุ่มเท้าลงในน้ำ ไม่มีใครยุ่มย่ามกับท่าเรือในยามนี้

    ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ก็ดี

    คอลลินส์ดูหงอยลงไปตั้งแต่ตอนนั้น
    และพีทรู้ดีว่าเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูด

    "คุณ..."

    ไม่มีสัญญาณตอบรับ
    เริ่มมองหาวิธีเรียกใหม่

    "เฮ้..."

    คนโตกว่าอุทานเบาๆ
    มือลูบหน้าที่ถูกเตะน้ำใส่

    พีทกลั้นหัวเราะ

    "อย่าคิดว่าน่ารักแล้วจะไม่โกรธนะ..."

    คอลลินส์แสร้งทำเป็นดุ แต่เจ้าตัวกลับยิ่งพบความสนุกในการยั่วโมโห จึงเตะเท้าแรงขึ้นอีก วักน้ำจำนวนมากใส่หน้าหมาหงอยตัวโตนั่น

    "หยุดเลย..."

    เสียงขึงขังพังทลายเพราะอดหัวเราะไม่ได้

    คอลลินส์รวบเรียวขาเล็กแสนซนทั้งสองข้างขึ้นจากน้ำ กอดกระชับไว้บนตักตน ไม่ยอมให้เล่นพิเรนทร์อีก

    พีทพยายามยื้อกลับ

    "ปล่อยได้แล้ว..."
    "ไม่"

    ปฏิเสธ
    จุ๊บเบาๆ บนขาสวยแต่ละข้าง
    เกยคางลงบนเข่าคู่นั้น

    "พี่ขอเวลานายไม่นานหรอก..."

    เอ่ยกับเขา
    แต่ตามองเส้นขอบฟ้าไกล

    ใช่สิ...ที่ของนักบินอยู่บนนั้นนี่นะ

    "จะไปเมื่อไร..."
    "สำคัญกับนายด้วยเหรอ..."
    "ก็ถามไปงั้น..."
    "งั้นเดี๋ยวก็รู้เอง"
    "..."

    คอลลินส์ยังคงกอดขาของเด็กหนุ่มเอาไว้
    เจ้าของเรียวขาก็เริ่มลูบหัวอีกฝ่ายเล่น

    เหมือนหมาตัวโตๆ

    เป็นหมาที่บางครั้งก็ดูมีความสุข
    บางครั้ง... ก็ดูเศร้าสร้อยผิดสังเกต

    "ในกระจกมีอะไร..."
    "หืม?"
    "คุณชอบเหม่อมองกระจกนานๆ ในนั้นมีอะไร..."

    คอลลินส์เงียบ ก่อนกระซิบ
    ด้วยริมฝีปาก...ที่จรดอยู่บนเข่าพีท

    "คนที่ไม่กลับมา..."

    นัยน์ตาของนักบินหนุ่มเริ่มแดงก่ำ
    ซี่ฟันขาวกัดกางเกงที่พับอยู่เหนือเข่ามน

    มือเล็กได้แต่เพิ่มความอ่อนโยนลงไปบนเรือนผมที่กำลังสาง
    ซึ่งมันกลับยิ่งทำให้หัวใจดวงนั้นเปราะบาง

    "ไม่เป็นไรนะ...ผู้ใหญ่ก็ร้องไห้ได้ ไม่ใช่หรือไง..."

    ใช่...และคนที่พูดประโยคนั้นไว้อย่างเขา
    กลับต้องมาร้องไห้ให้เด็กเห็นเสียเอง

    ต้องเป็นคนสำคัญขนาดไหนนะ
    ทำให้ชายชาติทหารหลั่งน้ำตาออกมาได้?

    "โทษที..."

    คอลลินส์ปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ

    "คุณน่าจะลืมเขาให้ได้ก่อนมาอะไรกับผมนะ..."
    "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก"
    "ยังไงครับ"
    "ความรักมันไม่อยู่ใต้กฎของเวลา พีท..."

    รักไม่เคยสนใจว่าจะมาตอนไหน
    แรกพบสบตา หรือกับคนที่เห็นกันมาสิบปี

    รักไม่เสาะหาจังหวะที่เหมาะสม
    นึกจากตอนไหนก็ไป แม้ใครต้องเจ็บปวด

    รักงอกเงยแม้ท่ามกลางสงคราม...เปลวไฟ
    ในหนแห่งอันแห้งแล้ง หรือเหน็บหนาวที่สุด

    ในความคุ้นเคย หรือความไม่รู้จัก

    "อีกหน่อยนายคงเข้าใจ..."

    .
    .

    A Month Without You

    ไม่เห็นเข้าใจอะไรเลย

    'เขียนมาหาผมบ้างแล้วกัน'
    'พีท...'
    'ถ้าอารมณ์ดี ผมจะเขียนตอบ'



    "..."

    พีทจ้องกระดาษจดหมาย
    ด้วยสายตาว่างเปล่า

    ปลายนิ้วเขาแทบไม่ได้เกี่ยวมันไว้

    สายลมโชยผ่าน
    หางตาทันเห็นแค่บางประโยค


    เมื่อไรเราจะได้พบกัน...


    ก่อนที่มันจะพลิ้วตัวออกนอกหน้าต่าง
    ล่องลอย...หายไป

    ไม่เห็นเข้าใจ

    .
    .

    "สวัสดียามบ่าย พีท"

    คอลลินส์โบกมือทักทาย
    พีททำหน้าแปลกๆ ใส่เขา

    "อะไรเหรอ?"
    "คุณดูร่าเริงจนน่ากลัว"
    "ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ คิดเยอะไปทำไม เด็กน้อย..."
    "ตอนเช้าก่อนมาเจอผม คุณทำอะไร?"

    คอลลินส์ไม่ตอบ
    อมยิ้มซ่อนตัวอยู่ตรงมุมปาก

    แต่พีทก็เห็น

    "ยิ้มอะไรครับ"
    "ก็นายเริ่มสนใจเรื่องของพี่แล้ว..."
    "ถือซะว่าผมไม่เคยถามแล้วกัน"
    "แล้วเมื่อเช้านายทำอะไร"
    "เมื่อเช้า...ไปโบสถ์"

    เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา ทว่ายังยิ้ม

    "บอกลาจอร์จน่ะ..."

    นักบินหนุ่มเกือบเอื้อมมือไปลูบหัวปลอบ
    แต่ชะงักชักกลับทัน นึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบ

    "คุณจำได้" พีทอมยิ้ม
    "พี่รู้ว่านายโอเค"

    ดอกไม้ของเขา
    ทั้งงดงามและเข้มแข็ง

    "มันก็แปลกๆ นะ พอคิดว่าเมื่อก่อนผมกับเขาเคยเดินเล่นไปตามถนนเส้นนี้ เคยดูหนังที่โรงนั้น เคยใช้วันเสาร์ด้วยกันแบบที่เราทำตอนนี้..."
    "..."
    "แต่ตอนนี้ ทุกอย่างถูกทิ้งไว้กับผมคนเดียว..."

    ทุกความทรงจำ
    ทุกสิ่งที่เคยทำ ยังไม่ได้ทำ

    ถูกทิ้งไว้
    ให้คนข้างหลัง

    ทุกพยางค์ไหลผ่านโสตประสาทคอลลินส์ไปอย่างนิ่มนวล กระแสเสียงอันไพเราะอาจจางหาย แต่เนื้อความยังติดตรึงอยู่ในใจนานกว่านั้น

    ถ้าเขาไม่อยู่แล้ว...
    พีทจะคิดถึงกันแบบนี้รึเปล่า?

    "พีท...พี่..."
    "ว่าไงครับ?"
    "พี่...หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกัน"

    คอลลินส์ฉีกยิ้ม
    และหุบลงในฉับพลัน

    "เอาแบบเม็ดหรือว่ากระดูก?"

    ทำไมคนน่ารักมักใจร้าย

    "บอกว่าพี่ไม่ใช่หมาไงครับ"

    .
    .

    'อยากอยู่กับนายตามลำพังทั้งวัน'

    พอคุณนักบินพูดแบบนั้น
    ที่เดียวที่เขาคิดออกก็คือมูนสโตน

    กลางทะเล
    ไร้ผู้คน

    "ชาครับ"

    แค่บ่ายแก่ๆ ที่สวยงามวันหนึ่ง
    กับชาร้อนๆ ชงด้วยมือคู่นั้น

    แค่นี้ก็ดีเกินฝันแล้ว

    คอลลินส์รับชามาจิบ "ค้างที่นี่ได้ไหม"
    "ต้องดูสภาพอากาศด้วย ถ้าคลื่นแรง หรือพายุจะเข้าก็คง..."
    "นี่นายไม่คิดจะค้านหน่อยเหรอ"
    "อยากให้ค้าน? งั้นไม่ฮะ เราจะไม่ค้าง..."
    "ใจเย็นๆ สิ พี่ก็แค่แปลกใจ..."

    พีทจิบชา
    ทั้งแอบขำ

    "ถ้าอากาศไม่ดี เรากลับไปจอดที่ท่าแล้วค้างที่นั่นก็ได้"
    "วันนี้นายก็ใจดีจนน่ากลัวเหมือนกันนะ"
    "คิดมากน่ะครับ"

    พีทยักไหล่
    คู่สนทนาจำใจปล่อยผ่าน

    "เรียนจบแล้วอยากทำอะไร..."
    "ไม่รู้สิ ผมยังไม่ทิ้งความคิดเรื่องเป็นทหารเรือ..."

    สีหน้าคอลลินส์เคร่งขรึมขึ้นในฉับพลัน
    วางถ้วยชา ยื่นมือมากุมมือเล็ก

    "พีท อย่าทำแบบนั้นกับพ่อนายเลยนะ..."

    คนถูกอ้อนวอนมองมือที่ยื่นมากุมนั้น

    "คุณพูดเหมือนพี่ชายผม"
    "เพราะฉันรู้ดีไง..."

    ทั้งความรู้สึก...ที่ถูกคนบนฟ้าทิ้งไว้
    และความรู้สึก...ที่จำต้องทิ้งใครสักคนไว้

    ไม่มีอะไรดีสักอย่าง

    "สัญญาได้ไหมว่านายจะไม่เข้ากองทัพ"
    "..."
    "ขอร้องละ..."
    "..."
    "พ่อนายเหลือแค่นายคนเดียวแล้วนะ..."

    แม้ถึงกับต้องยกพ่อเขามาอ้าง

    แต่เพียงสายตาลูกหมานั่น
    ก็เป็นอะไรที่ปฏิเสธยากแล้วจริงๆ

    "ก็ได้ฮะ..."

    อย่างน้อยก็ในตอนที่ยังเลือกได้

    .
    .

    ตะวันตกดิน มูนสโตนกลับฝั่ง
    ทั้งคู่ตัดสินใจค้างคืนที่นั่น

    เตียงในห้องเก็บของทำให้พีทนึกถึงนายทหารตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง

    พื้นในห้องเก็บของไม่ทำให้คอลลินส์นึกถึงอะไรนอกจากคำว่าปวดหลัง...

    "นายจะทำแบบนี้กับพี่จริงๆ เหรอ..."

    พีเทอร์กลั้นยิ้ม "อะไรฮะ"
    "นายรู้ว่าพี่หมายถึงอะไร"

    คอลลินส์ลุกขึ้นนั่ง
    เกยคางกับขอบเตียง

    จ้องคนนอนหลับตาบนนั้น

    "ที่บอกว่าค้างคืน พี่หมายถึงอยู่ด้วยกันทั้งคืนต่างหาก อย่าหลับหนีกันแบบนี้สิ..."
    "เด็กต้องรีบนอนนี่ฮะ"
    "ทีตอนนี้ละเป็นเด็กขึ้นมาเลย นอนดึกสักคืนไม่ตายหรอกน่า..."

    คอลลินส์อ้อนอยู่นาน
    พีเทอร์ก็ยังแสร้งหลับ

    สุดท้ายจึงลุกออกไปเงียบๆ

    "..."

    .
    .

    พีทเปิดประตูออกมาตามในที่สุด
    พบนักบินหนุ่มเป็นเงาตะคุ่มอยู่ริมกำแพง

    "ทำอะไรน่ะฮะ..."

    อีกฝ่ายไม่ตอบ
    ไม่หันมาด้วยซ้ำ

    งอนเหรอ?

    เด็กหนุ่มค่อยๆ สืบเท้าเข้าใกล้
    เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อเชิ้ตในความมืด

    "จับได้แล้ว..."

    คอลลินส์หันกลับมา
    โอบแขนล็อคเอวเขาไว้หลวมๆ

    "นี่มันอะไรกัน?"

    พีทเลิกคิ้ว
    มองบางสิ่งที่มือใหญ่อีกข้างถือไว้...

    ...เหนือศีรษะทั้งคู่

    "ไม่ใช่คริสต์มาสซะหน่อย..."
    "สมมติเอาแล้วกัน"

    กิ่งมิสเซิลโท
    คนบ้านี่ไปหามาจากไหน เชื่อเขาเลย

    "ถ้านายไม่ว่าอะไร..."

    นั่นสิ
    ทำไมเขาไม่ว่าอะไรนะ

    ตอนที่ริมฝีปากอุ่นๆ ประกบลงมา...

    "อือ..."

    กลิ่นชาเอิร์ลเกรย์เมื่อบ่ายยังอบอวล

    และถึงตอนนั้นจะเป็นชาเปล่าไม่ใส่น้ำตาล
    แต่ตอนนี้รสชาติมันกลับหวานขึ้นมาแล้ว

    ทว่า...
    ความหวานนั้นสั้นเกินไป

    "มีอะไรฮะ?"

    คอลลินส์ถอนจูบไวจนน่าแปลกใจ
    พีทเอื้อมมือมาแตะแก้ม สำรวจแววตา

    "เป็นอะไรไป?"
    "คือ..." เจ้าตัวงึมงำ "พี่เกรงใจนาย..."

    พีทถึงกับถอนหายใจ
    แทบกุมขมับ

    "นี่พี่เป็นสุภาพบุรุษหรือว่าโง่กันแน่"

    พอปรามาสไปแบบนั้น เอวบางก็ถูกกระชับเข้าหา ริมฝีปากสวยก็ถูกบดเบียดรุกล้ำอีกครั้ง...หนักหน่วงรุนแรงกว่าเก่า

    แผ่นหลังเล็กชิดชนฝาผนัง
    ขาเรียวเกี่ยวรั้งเอวแกร่งเข้าใกล้

    เส้นผมสีฟางยุ่งเหยิงเพราะมือเล็กขยุ้มกำ
    เสื้อเชิ้ตย่นยับกำลังถูกปลดกระดุมไล่ลงมา

    แต่แล้ว...

    "พีท พีท...หยุด..."
    "...?"
    "พอแค่นี้เถอะ..."

    นัยน์ตาสีครามฉายแววไม่เข้าใจ

    "พี่ทำไม่ได้...มันไม่แฟร์กับนาย"
    "หมายถึงอะไรฮะ..."

    คอลลินส์กัดริมฝีปากแน่น

    "ที่จริง...วันนี้พี่แค่จะมาบอกลา..."
    "อะไรนะ...?"
    "ตั้งแต่พรุ่งนี้ พี่ต้องกลับไปทำหน้าที่แล้ว"
    "เหรอฮะ..."

    พีทพึมพำน้ำเสียงเรียบนิ่ง
    ใช้มือเสยผมหน้าของตนขึ้นไป

    "แต่ว่า...จะกลับมาใช่ไหม"
    "พีท..."
    "เขียนมาหาผมบ้างแล้วกัน"
    "พีท..."
    "ถ้าอารมณ์ดี ผมจะเขียนตอบ"
    "พีท"
    "..."

    "อย่ารอพี่เลย..."

    เพราะฟาร์เรียร์คิดถูกทุกอย่าง

    คนเป็นนักบินไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

    ไม่ควรปล่อยให้ใครมีความหวัง
    ไม่ควรปล่อยให้ใครตั้งตารอ

    เพราะแบบนั้น เขาถึงได้คอยแต่จะเห็นเงาของฟาร์เรียร์ทุกครั้งที่มองกระจก เห็นเงาของนักบินรุ่นพี่แทนเงาของตัวเอง หมอนั่นมาย้ำเตือนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าสุดท้ายทุกอย่างจะต้องลงเอยแบบไหน

    ฟาร์เรียร์ปฏิเสธเขา เพราะรู้ดีว่าเมื่อตนจากไป
    เขาจะมีสภาพยังไง เจ็บปวดเพียงใด

    ตอนนี้คอลลินส์เข้าใจแล้ว

    และก็กำลังค่อยๆ กลายเป็นฟาร์เรียร์
    จำต้องก่อกำแพง เพื่อปกป้องพีเทอร์

    เพราะบางครั้ง ในสงคราม
    คนเจ็บปวดที่สุด ก็คือคนข้างหลัง

    คือคนที่รอ

    "พี่คอลลินส์..."

    คำเรียกที่เปลี่ยนไปกระตุกหัวใจนักบิน
    รุนแรง หล่นวูบ แทบมลาย

    พีทกำลังอ้อนวอน

    "อย่าว่าแต่รักแรกพบ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักคืออะไร แต่ผมมีความรู้สึก..."
    "..."
    "...พี่จะไปแบบนี้ไม่ได้"
    "พี่ขอโทษ"

    ไม่คิดเลยว่าสามวันจะมีความหมายอะไร
    จะทำให้พีทรู้สึกอะไรได้

    สามวันที่เขาได้พัก เพื่อประเมินสภาพจิตใจ หลังจากเสียเพื่อนร่วมทีมไปทั้งหมด และยังเกือบจมน้ำตายในค็อกพิท ผู้บังคับบัญชาไม่อนุญาตให้เข้ากลับขึ้นบินจนกว่าแพทย์จะวินิจฉัยว่าสภาพจิตใจเขาปกติดี หลังจากพบหมอในช่วงเช้า เขาจึงมาที่นี่ทุกวันเพื่อใช้เวลากับพีทในช่วงบ่าย

    แต่คอลลินส์คงลืมคิดไป

    ถ้ารักแรกพบยังเกิดขึ้นได้
    นับประสาอะไรกับสามวัน

    ความรักไม่อยู่ใต้กฎของเวลาไง
    ไอ้โง่


    "ผมรอได้"

    ต่อให้วันแต่ละวัน
    เวลาจะบดขยี้หัวใจดวงนี้เท่าไร

    "พีท..."

    ระยะทางอันห่างไกลจะกระหน่ำซ้ำ
    จนต้องแตกสลายลงไปอีกกี่ร้อยกี่พันหน

    "พี่สัญญาว่าจะเขียนหานาย"
    "ผมก็สัญญาว่าจะรอ"
    "พูดอีกทีได้ไหม"

    มือเล็กสอดสางเสยกลุ่มผมสีฟางขึ้นไป
    สบนัยน์ตารื้นน้ำของลูกหมาตัวโต

    "ผมจะรอ"

    .
    .

    A Year Without You

    พีเทอร์ ดอว์สันมีจดหมายอยู่สองฉบับ

    ฉบับหนึ่งมีตราประทับจากทางการ
    แต่เขาเลือกเปิดอีกฉบับก่อน


    'ไกลสุดสมุทรกั้น
    วันแต่ละวัน
    ทุกอย่างเริ่มทำเอาเป็นบ้า

    คิดถึง...'


    พีทหัวเราะในลำคอ
    หยุด

    ค่อยๆ ฉีกจดหมายลงมาจากหัวกระดาษ
    ราวกับรู้หมดแล้วว่ามันเขียนว่าอะไร


    ไกลสุดสมุทรกั้น
    วันแต่ละวัน
    ทุกอย่างเริ่มทำเอาเป็นบ้า

              คิดถึง... ต้องพูดคำนี้อีกกี่ร้อยกี่พันครั้งเราถึงจะได้พบกัน วันนั้นจะมาถึงเมื่อไร หรือจะมีวันนั้นไหม ผมไม่เข้าใจเลย นี่ผมรออะไรอยู่กันแน่ ทั้งที่คุณไม่เคยตอบจดหมายของผม ทั้งที่คุณอาจจะลืมผมไปแล้วตั้งแต่วันนั้น ผมก็ยังเฝ้ารออยู่อย่างนี้ ผมคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
              และบางที เวลาหนึ่งปีอาจมากพอแล้วสำหรับการรอใครสักคน ดังนั้น นี่จะเป็นฉบับสุดท้าย และต่อให้คุณไม่ตอบมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร


    ทั้งที่กัดกรามกลั้นไว้แล้ว

    แต่เมื่อฉีกมาจนสุดหน้ากระดาษ
    น้ำตาหยดหนึ่งก็ค่อยๆ รินไหล


              ผมแค่เขียนเพื่อย้ำเตือนกับตัวเองว่าจะต้องไม่รอคุณอีก
                                               ลงชื่อ "พีท"


    เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ
    ขยำจดหมายในมือเป็นก้อนขยะไร้ค่า

    ใช่...นี่เป็นจดหมายที่เขาเขียน
    และเช่นเดียวกับทุกฉบับก่อนหน้า

    มันถูกตีกลับ

    คอลลินส์ไม่เคยตอบ
    เขาไม่ได้รับพวกมันเลยด้วยซ้ำ

    จะเอาอะไรกับคนที่บอกรักง่ายๆ แบบนั้น
    จะเอาอะไรกับคนที่อ้างรักแรกพบมาทำให้คนอื่นใจสั่น

    ควรจะรู้อยู่แล้ว
    ไม่ควรรอมานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ

    ยังมีความหวังอยู่ได้ไงตั้งเป็นปี
    ไร้สาระจริงๆ

    แต่คิดในแง่ดี...

    ที่ไม่ตอบ อาจเพราะตายไปแล้วก็ได้
    คิดแบบนั้น จะได้ไม่ต้องโกรธกัน

    "พ่อครับ..."

    จดหมายอีกฉบับทำเอาพีทรีบวิ่งไปหาพ่อ
    จดหมายตอบรับจากกองทัพ

    "พ่อแอบอ่านไปแล้ว พีท..."
    "แล้ว..."
    "เอาที่ลูกสบายใจเถอะ สถานการณ์แบบนี้ ยังไงอีกไม่นานเขาก็ต้องบังคับเอาลูกไปจากพ่ออยู่ดี..."

    เด็กหนุ่มสวมกอดพ่อจากหลังโซฟา

    "ว่าแต่..."

    ทันทีที่พ่อเปรย
    พีทก็รู้ว่าจะถามถึงอะไร

    "ไม่มีแล้วพ่อ"
    "..."

    วินาทีนั้น

    คุณดอว์สันสัมผัสได้ถึง...
    น้ำเสียงอันปวดร้าวทว่าชาชิน

    จากลูกชายที่ซบหน้าอยู่ตรงไหล่

    "ไม่มีอะไรต้องรอแล้ว"

    __________

    และนี่ก็คือ prequel ของ Closer นั่นเอง
    ก่อนจะฆ่ากัน ก็ไปอ่าน Closer ก๊อน!

    __________

    *สมัยนั้น ความรักระหว่างเพศเดียวกันยังผิดกฎหมายอังกฤษ (พีทเลยดุคอลลินส์ที่ขอจูบในร้านแผ่นเสียง ว่ากำลังจะก่ออาชญากรรม!)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in