เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
filmtofichoramiji
[LF] Way Down We Go 2: Part V "END" (Chris x Cill, Jack x Tom x Fionn)
  • Title: Way Down We Go 2
    Continuity: Sequel to Way Down We Go (Part IIIIIIIVV here)
    Previous Episode: Way Down We Go 2 (Part IIIIIIIV here)
    Fandom: Dunkirk Cast
    AU: Mafia
    Episode Theme Song: Sad March - Elaine (Ost. Mr. Sunshine)

    .
    .

    สูทดำ ไทดำ ใต้ฝนพรำ

    ไม่ว่าเพื่อร่วมแสดงความโศกเศร้าอาลัย หรือต้องการเย้ยหยันเหยียบย่ำซ้ำเติม พระพิรุณก็มักร่ำไห้โปรยปรายหยาดน้ำฟ้าลงมาในทุกงานศพของครอบครัวนี้ กลุ่มเมฆสีเทาเกาะเกี่ยวกันเป็นแพใหญ่เหนือศีรษะของเหล่าญาติสนิทมิตรสหายจากตระกูลลาวเดนและมาร์คีโอเน่ ส่งเสียงคำรามครืนคร่ำครวญหวน สร้างบรรยากาศเย็นชื้นมืดหนาวแผ่ความร้าวรานเข้าไปในทุกซอกหลืบของทุกหัวใจซึ่งเต้นอยู่ ณ ที่นั้น

    “...”

    คริสเหลือบมองน้องชายผู้มีใบหน้าพิมพ์เดียวกัน จ้องมองกรอบกรามที่เจ้าตัวกัดแน่นจนนูนขึ้นเป็นสัน เล็งลาดไหล่ซึ่งแอบเทิ้มสั่น อยากเอื้อมมือออกไป แต่ไม่ทำ อยากแสดงความเป็นห่วงเป็นใย แต่ไม่ทำ

    ไม่เคยทำ

    อย่างน้อย เขาเลือกจะไม่เงียบ
    “แอนดี้...”

    มือที่กำแน่นจนข้อหมัดขาวยกขึ้นในฉับพลัน
    ส่งสัญญาณไม่ให้พี่ชายเอ่ยอะไรปลอบ

    “...ไม่เป็นไร”

    ประโยคนั้นไม่มีประธานด้วยซ้ำ
    ไม่รู้เลยว่า ‘ใคร’? ‘ไม่เป็นไร’ จริงหรือเปล่า

    ระหว่างนั้นคนอื่นๆ ทยอยเข้าไปหลบพายุฝน ณ อาคารอันใกล้กันหมดแล้วตามคำสั่งดอน รอบบริเวณตอนนี้จึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน กับ...หลุมศพที่ยังปิดไม่ได้ เพราะคนเป็นไม่ทันได้โปรยดินลงไปฝนก็กระหน่ำสาดเทลงมาเสียก่อน ผ้าใบผืนกว้างถูกรีบนำมาขึงกางกันไว้ไม่ให้น้ำฝนไหลเซาะตัวหลุม ทุกอย่างที่ไม่เป็นใจในงานพิธีสะกิดเส้นอารมณ์อันเปราะบางของแอนดี้ให้ขาดผึง แม้พยายามข่มซ่อนสักเพียงใด

    “ถ้านายอยากอยู่ตรงนี้คนเดียว พี่เข้าใจ—“
    “เข้าใจเหรอ?”

    แอนดี้สวนทันควัน แต่ด้วยเสียงที่เบานัก

    คริสไม่อยากโต้ตอบ ทำได้เพียงตัดสินใจหลบฉากออกมาเงียบๆ ทว่าคล้อยห่างมาไม่ถึงหนึ่งก้าวดี ก็เอี้ยวตัวกลับไปกระซิบกับอีกฝ่าย “ใช่...”
    “...”
    “ที่นายรู้สึกอยู่ตอนนี้ มันไม่ต่างจากสิ่งที่พี่รู้สึกในวันพิธีสืบทอดตำแหน่งเอิร์ลของแจ็คเมื่อหลายปีก่อนหรอก”

    วันที่ต้องถูกตอกย้ำว่านายจากไป
    พี่ทั้งหงุดหงิดและเสียใจเช่นกัน

    ต้องขอบคุณที่ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหก

    หลังสารภาพเพียงสั้นๆ คริสเดินจากไป
    แต่...กลับถูกมือหนาหนักรั้งบ่าเอาไว้

    “กอดหรือเปล่า...”
    “...?”
    “ตอนนั้น...พี่ได้กอดปลอบหลานตัวเองสักครั้งไหม”

    คนถูกถามตกอยู่ในความเงียบกะทันหัน
    สายฝนเคยโปรยปรายก็หยุดลงดื้อๆ เช่นกัน

    ทำไม...ถามอะไรอย่างนั้น?

    .
    .

    ลอส แอนเจลิส, 1952


    วันนี้โจเซฟรู้สึกเหมือนหนูตกถังข้าวสาร

    ซึ่งเอาเข้าจริงก็ถูกเพียงครึ่ง ให้ถูกน่าจะเป็นหนูที่บังเอิญเจอถังข้าวสารเลยกระโดดลงไปเสียมากกว่า เด็กหนุ่มพลิกกระเป๋าสตางค์ผู้ชายในมือไปมา ลำพังตัวกระเป๋าก็ราวห้าร้อยเหรียญได้แล้ว ยังไม่นับเงินสดจำนวนหนึ่งในนั้นที่น่าจะเยอะพอสมควรอีก เขามัวแต่เดินกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความดีใจที่จะมีเงินกินใช้ไปอีกเป็นเดือน ไม่ทันระวัง ปะทะเข้ากับอกกว้างของใครคนหนึ่ง

    ฉับพลันที่เงยหน้า นัยน์ตาเรียวเบิกกว้าง

    “เธอเดินชนฉันสองครั้งแล้วนะวันนี้”

    เจ้าของเสียงไม่ได้ดุด่า
    ตรงกันข้าม เขาเอ่ยยิ้มๆ

    โจเซฟรีบก้มศีรษะ ดึงปีกหมวกลงเล็กน้อย
    “ขอโทษครับ...”
    “และพูดคำนั้นเป็นครั้งที่สาม”
    “...” หนุ่มน้อยพยายามไม่เลิ่กลั่ก

    แต่การที่คนตรงหน้ายังคอยส่งยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน พร้อมกับใช้น้ำเสียงสุภาพตลอดเวลา กลับยิ่งทำให้เขาประหม่าขึ้นทุกที...

    “เปลี่ยนจากคำขอโทษเป็นคืนประเป๋าของฉันมาได้ไหม”

    ชายหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าคนเด็กกว่า ทั้งที่โจเซฟเป็นวัยรุ่นสูงเทียมอก และการนั่งลงจะทำให้เขาอยู่ต่ำกว่า แต่เขาก็ยังนั่ง เพื่อความน่าไว้วางใจ เพื่อเอาชนะใจ

    “ผมไม่ได้เอาไป” เสียงห้าวของเด็กเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มงึมงำตอบ

    เขายังไม่ว่าอะไร ยกมือใหญ่เสยผมหนึ่งครั้ง
    มือของเขา...แค่มองยังดูอ่อนนุ่ม อบอุ่นนัก

    ถ้าได้ลองสัมผัส จะขนาดไหน...?

    ให้ตายสิ ไม่ใช่เวลานะ— เขารู้! เขาทำเป็นไม่รู้ เพื่อจะได้ตามนายมาโดยไม่ต้องวิ่งไล่ไอ้โจรล้วงกระเป๋าอย่างนายให้เหนื่อยเปล่า! 

    “เธอดูเป็นเด็กฉลาด ชื่ออะไรครับ?”
    “คุณควรจะแนะนำตัวก่อนไม่ใช่เหรอ”
    เขายิ้ม พยักหนายอมรับ “โทษที ฉันเสียมารยาทเอง ฉันชื่อคริส”
    “โจ...”
    “อย่างนี้นะ โจ—“
    “...เซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์”

    คริสหลุดยิ้มน้อยๆ ดูก็รู้ว่าเด็กนี่จงใจเว้นวรรคนานแกล้งเขา แต่ยังหยิบยื่นความเป็นมิตร ส่งมือให้จับ

    โจลังเล แต่เมื่อตัดสินใจรับไมตรี ก็ไม่เสียใจ

    อุ่น...

    อุ่นกว่าฝ่ามือ คือแววตาของเขา
    อุ่นยิ่งกว่าเสื้อโค้ทเน่าๆ ที่ใช้กันหนาวทุกวัน
    อุ่นยิ่งกว่ากองไฟที่คนเร่ร่อนจุดกันอยู่ทุกคืน

    “ทีนี้ โจ ถ้าเธอเอากระเป๋าฉันไปขาย บวกกับเงินที่อยู่ในนั้น เธออาจมีกินไปได้อย่างน้อยสามสี่เดือน...”

    โจเซฟนิ่งฟัง ระหว่างค่อยๆ ชักมือกลับ
    ยิ่งจับยิ่งรู้สึกราวกับจะหลอมละลาย

    “...หรืออาจจะไม่พ้นคืนนี้ด้วยซ้ำ เพราะแก๊งเด็กที่โตกว่าอาจมาดักปล้นมันไปจากเธออีกที แต่ถ้าเธอคืนมันให้ฉัน...”

    หนุ่มน้อยตั้งใจฟัง

    ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น
    นอกจากเสียงทุ้มนุ่มของเขา

    “ฉันจะให้งานเธอทำ เธอจะได้มีเงินเลี้ยงตัวเอง ไม่ต้องลักเล็กขโมยน้อย หรือใช้ชีวิตข้างถนนอีกเลยตลอดไป ฟังดูเป็นไงครับ”
    “ผมจะทำงานอะไรให้คุณได้”

    โจเซฟโพล่งถามด้วยความสงสัย
    ไม่รู้ตัวว่านั่นเท่ากับรับผิดแล้วโดยปริยาย

    คริสแบมือออก 
    มือเล็กส่งกระเป๋าสตางค์คืนให้โดยดี

    เพราะสิ่งที่เขาจะได้จากอีกฝ่าย
    มันมากมายกว่านั้นนัก

    “รู้จักงาน ‘นักสืบเอกชน’ ไหมล่ะ โจ”

    ชายหนุ่มฉุดเด็กเร่ร่อนขึ้นมา
    จากมุมมืด ไปพบกับแสงสว่าง

    ไม่สิ... 

    ‘เขา’ คือแสงสว่าง

    แสงสว่าง

    .
    .

    ปัจจุบัน


    “...เซฟ...โจเซฟ”

    สติอันล่องลอยเคลื่อนคล้อยคืนกลับ
    เสียงอันคุ้นเคยค่อยๆ ดังขึ้นในโสตประสาท

    ซ้อนทับกับภาพทรงจำในอดีตที่ยังติดตามเขาไปทุกแห่งหนในทุกวัน ในทุกครั้งที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังของเขา ทุกครั้งที่ได้สบนัยน์ตาอ่อนโยนของเขา ทุกครั้งที่ได้รับไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่ของเขา 

    “ผม...เสียใจ”

    ในทุกลมหายใจ...ที่มีอยู่เพื่อเขา
    เพื่อจงรักภักดีต่อเขา

    “ไม่เป็นไร โจ” มือของคริสประทับลงมาบนไหล่ สัมผัสนั้นยังให้ความรู้สึกเหมือนทุกครั้ง ต่างออกไปแค่เพียงตัวเขาที่รับรู้ถึงน้ำหนักซึ่งกดทับได้มากกว่าเดิม

    หรือบางทีอาจไม่ใช่มือนั้นที่หนัก
    บางทีอาจเป็นก้อนหินบาปที่ถ่วงหัวใจ

    “ดอนน่ากักตัวผมไว้ ไม่ให้ผมช่วยเหลือคุณได้ไม่ว่าทางไหน...”

    คริสโน้มตัวมาข้างหน้า มองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย แต่ไม่ยอมออกรถเสียที

    “บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ฉันคิดอยู่แล้วว่าดอนน่าต้องบีบฉันทุกทาง รวมถึงนายด้วย เพราะนายเป็นคนเดียวที่ฉันไว้ใจ”

    ได้ยินแบบนั้น บางอย่างในตัวโจเซฟยิ่งเหมือนจะทะลักทลาย 

    หากไร้ซึ่งคำพูดใด สิ่งที่ถูกระบายออกมามีแต่หยดน้ำตา

    ซึ่งร่วงหล่นและซึมลงตรงอกเสื้อ ไวเกินกว่าอีกฝ่ายจะทันได้เห็น

    “รีบไปเถอะ” 

    คริสเอนตัวกลับไปพิงเบาะหลัง

    “ฉันอยากจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”

    คิลเลียนไม่ควรอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนั้นนานกว่านี้

    .
    .

    ‘พี่เป็นจูบแรกของทอม รู้หรือเปล่า’

    คนฟังถึงกับพับหนังสือที่อ่านลงวางแนบอก
    พลิกตัวนอนตะแคงมองอีกฝ่าย ‘พูดจริง?’

    ‘ไม่จริง เป็นคนขี้โกหก ชอบหลอกให้ผู้ชายดีใจจนเนื้อเต้นไปอย่างนั้นแหละ’
    แจ็คย่นจมูก ‘ทำไมขี้ประชด’
    ‘ไม่ได้ประชด อันนี้พูดจริง’
    ‘อ้าว’
    ‘ล้อเล่น’ นิ้วเล็กๆ ดันปลายจมูกโด่งหยอกล้อเหมือนเวลาเล่นกับหมา
    ‘ตัวแสบ’

    เอิร์ลเอาคืนคนขี้แกล้งด้วยการโจมตีเส้นประสาท ณ เอวคอด กลุ่มนิ้วเรียวยาวขย้ำจ้ำไช เรียกเสียงหัวเราะปนร้องปรามจากคนบ้าจี้ได้ดังลั่น ทอมดิ้นแล้วดิ้นอีกปัดป่ายแข้งขาถีบคนตัวโตอย่างจริงจัง จนแจ็คต้องใช้น้ำหนักขาโถมทับร่างข้างใต้ให้หยุดนิ่งยอมจำนน 

    ร่างเล็กพบตัวเองถูกคร่อม
    สองข้อแขนตอกตรึงติดผืนเตียง

    แต่ไม่คิดหนีไปไหน 
    กลับยิ้มให้คนข้างบน

    ‘พี่ไม่รู้จริงเหรอ ทอมรู้สึกเหมือนเคยบอกไปแล้ว’
    ดวงหน้าหล่อสั่นหงึก ‘ไม่รู้...’
    ‘งั้นตอนนี้พี่ก็รู้แล้ว’

    แจ็คทิ้งตัวลงนอนทาบร่างเล็กทั้งอย่างนั้น ซุกใบหน้าฝังจมกับแผ่นอกบาง ให้เรือนผมยุ่งเหยิงของตนถูไถใต้คางสวย บ่นงึมงำ ‘แฮร์รี่ก็ไม่เคย?’
    ทอมส่ายหน้า สอดสางมือเล็กเข้าไปหวีกลุ่มผมนุ่มสีอ่อนเล่นเพลินๆ ‘เราไม่เคยทำอะไรเกินเพื่อน พี่รู้อยู่แล้ว’
    ‘โทษทีที่ถาม...’
    ‘อือฮึ’

    แจ็คเงียบไป แล้วจู่ๆ ก็โงหัวขึ้นกะทันหัน

    ‘งั้นพี่ก็...เป็นคน...แรก?’
    ทอมหัวเราะเอ็นดู ‘รู้ตัวช้าจัง อื้อ—‘
    เขาลงโทษเจ้าตัวร้ายด้วยจูบที่เต็มไปด้วยความมันเขี้ยว ‘จะรู้ได้ไง ใครเขาออนท็อปเก่งตั้งแต่ครั้งแรกกัน...โอ๊ย—‘

    เพียะ

    ‘พูดมาก’
    ‘ขอโทษครับ หงุง’

    แจ็คพลิกตัวกลับไปนอนที่ว่างด้านข้าง ยกมือเรียวขึ้นลูบแก้มขาวจัดซึ่งแทบจะแดงด้วยรอยนิ้วของทอม และหลังจากนั้นขากรรไกรก็เหมือนจะค้าง หุบยิ้มไม่ได้เลยกับความจริงที่เพิ่งรู้

    ‘หยุดยิ้มแบบนั้นได้ไหม น่าทุบ’
    ‘หน้ามันไปเอง สาบาน’
    ทอมกลอกตา ‘ก็แค่จูบแรก คนรักคนแรก วิเศษวิโสมากรึไง ไม่ใช่คนสุดท้ายสักหน่อย’
    ‘ทอม~’
    ‘อะไร’
    ‘อยากเป็น...’

    แจ็คทิ้งคอลงบนหมอนใบเดียวกับอีกคน
    จ้องนัยน์ตาคู่สวยสีครามอย่างจริงจัง

    ไล้ปลายนิ้วผ่านกลีบปากสวย...แผ่วเบา
    ต่างจากคำสารภาพอันแน่นหนัก

    ‘อยากเป็นคนสุดท้ายด้วย’

    ทอมยิ้มหวาน
    จุ๊บปลายนิ้วเขาเบาๆ

    ‘ยิงทอมดิ’
    ‘หือ?’

    ตัวแสบมองหมาหน้างงแล้วระเบิดหัวเราะ

    ‘ถ้าทอมตายเร็ว พี่ก็จะได้เป็นคนสุดท้ายแน่นอนเลยไง ไม่ดีเหรอ’

    .
    .

    ‘สัญญาสิฮะ...’

    ‘เรื่องนี้พี่สัญญาไม่ได้ ทอม...’
    ‘เป็นคุณชายขี้สั่งให้ตลอดสิ จะให้ลูกน้องกี่คนมาตายแทนทอมก็ได้ แต่คนคนนั้นต้องไม่ใช่พี่ รับปากทอม’
    ‘คนรักแค่คนเดียว ขอพี่ปกป้องเองไม่ได้เหรอครับ’
    ‘ไม่ได้ สัญญามาเดี๋ยวนี้’
    ‘ไม่เอาน่า...’
    ‘สัญญา...’ ลูกแก้วสีครามจับจ้อง
    แจ็คมองตอบ ‘งั้นจูบพี่ก่อน’
    ‘สัญญาก่อน’
    ‘จูบก่อน’
    เริ่มใช้ไม้อ่อน ‘ทอมไม่เคยขออะไรพี่เลยนะ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเอง นะฮะ...สัญญาเร็ว’

    ‘สัญญา...’

    .
    .

    พี่ขอโทษ ทอม...พี่ขอโทษ

    ปัง!

    ขอโทษ...ที่ผิดสัญญา

    “ทอม”
    “พี่แจ็ค!”

    จนทอมต้องกลายเป็นแบบนี้

    “ทอม!”


    เร็วที่สุดแล้วก็ยังไม่ทัน

    “ไม่ๆๆๆ...”

    เสียงแหบแห้งร้องพร่ำซ้ำซากเหมือนคนบ้า ขณะทรุดตัวลงเอากายรองรับร่างที่อ่อนยวบเข้ามาในอ้อมแขน อกเสื้อข้างซ้ายของเจ้าตัวไหม้เป็นรูจากกระสุนที่พุ่งตัด เรียกของเหลวหนืดข้นให้รินหลั่งพรั่งพรูออกจากปากแผล มือแกร่งถูกย้อมด้วยสีชาดชุ่มชโลมตั้งแต่ขณะแรกที่พยายามยับยั้งการไหลของเลือด

    “ทอม มองพี่สิ ทอม!”

    แจ็คครวญเสียงสั่น ใช้มืออีกข้างตบแก้มคนที่หลับตาอยู่ในอ้อมกอด แต่เจ้าตัวนิ่งสนิท น้ำใสเริ่มเอ่อล้นท้นท่วมขอบตาเขาลงมา น้ำลายบาดคอเสียจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตวัดสายตาเกรี้ยวโกรธมองคนยิง

    ซึ่งก็ยืนนิ่งตะลึงงันกับผลลัพธ์ไม่แพ้กัน

    “ผม—“

    ฟินน์เริ่มอย่างตะกุกตะกัก
    ก่อนนึกได้ว่าไม่มีอะไรจะพูด

    กิเลสชั่ววูบเดียวเท่านั้นสั่งเขาให้ลั่นไก
    เมื่อแน่ใจว่าพี่ชายจะเอาตัวเข้าบังคนรัก

    ผิดก็แต่ทอมรู้ทันแจ็ค ขยับเข้าหาวิถีกระสุน เพราะเจ้าตัวรู้ดีว่ายังไงแจ็คต้องปกป้องตน จึงผลักฝ่ายนั้นออกก่อน แม้ร่างสูงจะยื้อและรวบตัวร่างเล็กเอาไว้ได้แล้ว หากมันก็ยังช้าเกิน ไกถูกเหนี่ยวเร็วไป กระสุนพุ่งเร็วไป ไม่มีอะไรทัน เขาช้าไปเพียงเสี้ยวพริบตา แค่เสี้ยวขณะจิต เสี้ยวลมหายใจ 

    และทอมไม่ยอมให้เขาผิดสัญญา
    จนเรื่องมันกลับตาลปัตร

    คนดื้อก็ยังเป็นคนดื้อวันยังค่ำ

    “คุณยืนทำบ้าอะไรอยู่สารวัตร!!!”

    เอิร์ลตะคอก กึกก้องกัมปนาทราวกับฟ้าลั่น ลีโอนาร์โดรีบกระโจนไปยังโทรศัพท์ ต่อสายเรียกกำลังเสริมรวมถึงรถพยาบาล แจ็คทึ้งหัวตัวเองจนเจ็บ แต่ไม่มีอะไรร้าวรานไปกว่าการเห็นมือเล็กไร้เรี่ยวแรงร่วงตกลงข้างตัว เขาพุ่งไปคว้ากุญแจมือจากหลังเอวของสารวัตรใหญ่ สวมจับเหมือนสนับมือ

    สวนหมัดลุ่นๆ เข้ากลางใบหน้าฟินน์

    ผัวะ!

    อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวล้มหงายไปกองกับพื้น เปิดโอกาสให้พี่ชายตัวโตตามมาคร่อมประเคนกำปั้นเสริมโลหะลงไปอีกไม่ยั้ง พริบตาเดียวอวัยวะบนหน้าสายลับหนุ่มก็กบไปด้วยลิ่มเลือด ฟินน์พยายามหันหลบ แต่มือใหญ่กลับล็อกคอเขาไว้ให้รองรับโทสะ วินาทีต่อมาโลหิตสีคล้ำก็เริ่มกระชากตัวออกจากเรียวปากแตกๆ ย้อยไหลลงตามลำคอ

    “คุณลาวเดน! เฮ้! เขายังหายใจ...ยังหายใจ...”

    ลีโอพูดรัวเร็ว แจ็คชะงัก มองฟินน์ซึ่งยกแขนป้องหน้าตนไว้จากหมัดที่เขากำลังเงื้อ ก่อนหันไปมองลีโอ

    “แผ่วมาก...แต่ยังหายใจ”

    นายตำรวจยืนยัน แจ็คจึงค่อยๆ ลดแขนลง ส่งกุญแจมือให้ลีโอ แล้วทิ้งตัวกลับลงไปประคองคนรักขึ้นมาดูอาการอีกครั้ง หัวใจยังเต้น ชีพจรยังทำงาน แต่เบาบางแทบไม่รู้สึก

    ใบหน้างดงามเรียบนิ่งเหมือนคนหลับใหล
    คล้ายดังเจ้าหญิงนิทราในนิทานหลอกเด็ก

    ถ้าได้รับจุมพิตจากเจ้าชาย
    จะตื่นขึ้นมาไหม?

    “ทอม...อดทนไว้นะ...”

    พี่อยากเป็นคนสุดท้ายของทอม
    แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้

    “ท...”

    เขาควานหาเสียงในลำคอตัวเองไม่เจออีกต่อไป ความรู้สึกก็กองสุมล้นใจจนกลั่นตัวรินไหลกลายเป็นหยดน้ำตา และเอิร์ลรู้ว่าสาเหตุไม่ใช่เพียงเพราะหวาดกลัวว่าอีกคนจะตายจากไป หรือเพราะเสียใจที่ช่วยอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ทัน

    แต่เป็นเพราะทอมยอมตายแทนเขาได้

    “รถพยาบาลมาแล้ว...”

    ไม่คิดเลยว่าทอมจะทำแบบนี้
    ไม่เคยกล้าคิดเลยจริงๆ

    แค่คำว่ารักจากปากเจ้าตัวมันก็เกินฝัน
    ไม่เห็นต้องพิสูจน์ด้วยการใช้ทั้งชีวิตเข้าแลก

    อยู่ก่อนนะทอม...ได้โปรด

    อยู่ให้พี่รักก่อน

    .
    .

    เขาไม่เคยรู้สึกดีกับการฆ่า

    และต่อให้ใครมองว่าเขาโหดร้ายยังไง เขาก็ไม่เคยชินกับการฝันร้ายหลังจากลงมือพรากชีวิตใครสักคนสักที แต่วงการใต้ดินบีบบังคับให้ทุกคนต้องเอาตัวรอด เราหวังให้เสือไม่กินเราแค่เพราะเราไม่กินมันไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่คิลเลียนเรียนรู้ตลอดยี่สิบห้าปีของการเป็นมาเฟีย

    คริสดึงเขาออกมาจากวังวนตรงนั้น
    และกลายเป็นคริสเองที่ฉุดเขากลับไป

    แม้ไม่ตั้งใจก็ตามที

    เขาวางมือมาห้าปี ชีวิตมีแต่ม้ากับคริส
    แต่จะรอดจากที่นี่ อาจต้องฆ่าอีกครั้ง

    “...”

    คิลเลียนหายใจเงียบเชียบ แม้ใบหน้าจะก้มต่ำ แต่ยังลอบเหลือบสายตาขึ้นประเมินสถานการณ์ตรงหน้าเป็นระยะ ลูกน้องของคริสติน่าสองคนที่จับเขามัดเก้าอี้เป็นคนยืนเฝ้าหน้าประตู พวกมันยืนนิ่งไม่ไหวติง ประกอบกับรูปร่างสูงใหญ่ และสีหน้าราบเรียบ ทำให้ทั้งคู่ดูคล้ายรูปสลักโรมันเฝ้าวิหารเทพเจ้า แต่แน่ใจได้เลยว่าขายาวๆ เหล่านั้นจะขยับอย่างไว หากว่าเขาเคลื่อนไหว

    ต้องคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ

    ความยากคือเขาไม่เห็นอะไรเลยตลอดทาง ไม่มีแผนผังของสถานที่ในหัวแม้สักนิด ด้วยถูกคลุมหัวมาแต่ต้น ถ้าต้องฆ่าสองคนนี้ เขามั่นใจว่าเอาอยู่ ทว่าเสร็จแล้วจะไปทางไหน? ไม่รู้เลยว่าควรรอให้คริสมาถึงหรือเปล่า? ถ้าคริสมาจะมีอะไรดีขึ้น? คริสจะขัดใจแม่ได้ไหม?

    คาดเดาอะไรไม่ได้เลย

    แต่คิลเลียนไม่เคยใช่พวกคิดเยอะ ลุยดะปะทะไปก่อนเป็นงานถนัด จะว่าบ้าบิ่นก็ใช่ แต่สำหรับเขามันได้ผลเสมอมา ที่ต้องทำก็แค่ภาวนาให้มันยังเหมือนเดิม

    เก้าอี้อื่นในห้องเป็นเก้าอี้บุหนังอย่างหรู
    ต่างจากเก้าอี้ของเขาซึ่งเป็นไม้ธรรมดา

    และถ้าการรู้จักคนอย่างคริสจะทำให้คิลเลียนไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ กับคริสติน่าก็คงต้องใช้ตรรกะเดียวกัน เขาสัมผัสได้ลางๆ ว่านี่ไม่ใช่การกักตัวเฉยๆ กลิ่นอายในบรรยากาศทำให้รู้สึกราวกับหล่อนต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง และไม่ว่ามันจะเป็นบททดสอบหรือกับดักอะไร คิลเลียนก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจะไม่นั่งรอเป็นตัวประกันให้หล่อนใช้บีบบังคับลูกชายให้ยอมจำนน

    คิลเลียนลุกขึ้น ทั้งที่เก้าอี้ยังติดกับตัว
    เจ้าอิตาเลียนหันขวับแทบจะพร้อมกัน

    ร่างเล็กใช้แรงดีดข้อเท้าส่งตัวเองลอยขึ้นไปในอากาศ พุ่งหลังกระแทกโต๊ะไม้ด้านหลัง ปั้ก! เขาแทบร้องเพราะแผ่นหลังกระทบกระเทือนหนัก หากไม่มีเสียงใดเล็ดลอด เก้าอี้ไม้หักเป็นส่วนๆ เชือกคลายตัวโดยอัตโนมัติ คิลเลียนไม่ได้แก้มันออก กลับกันเขาดึงรัดเชือกเข้ากับข้อมือตน เพื่อจับให้ถนัดระหว่างใช้มันรัดคอลูกน้องมาเฟียคนแรก

    กร๊อบ!

    หากรอให้หมดสติ เขาอาจจะเสร็จมันก่อน
    จึงชิงหมุนบิดเชือกอย่างไวจนคอมันหัก

    โครม!

    อีกคนที่เหลือประเคนฝ่าเท้ายันเขาเข้าประตู

    ทะลุออกมายังด้านนอก สู่ห้องโถงเวิ้งว้างกว้างใหญ่ใต้แสงไฟสลัวสีส้มนวล สิ่งต่อมาที่รับรู้คือเลือดกำเดาของตนไหล ทันทีที่เจ้านั่นเสยปลายคางเขาด้วยฝ่าเท้า เมื่อล้มหงาย มันซ้ำอีกครั้งเข้ากลางลำตัว อีกครั้ง...อีกครั้ง...และอีกครั้ง จนซี่โครงลั่นแปลบเหมือนจะร้าว 

    คิลเลียนถ่มเลือดออกจากปาก

    พยายามลุก แต่ไม่ขึ้น มันช่วยสงเคราะห์ด้วยการหิ้วคอลากร่างเขาขึ้นฟาดผนังวอลเปเปอร์ลายสวย ปึง! ประสาทการมองเห็นดับวูบไปชั่วขณะเมื่อกะโหลกหลังศีรษะกระแทก เขาไม่รู้แล้วว่าเลือดออกจากจมูกหรือปาก ความหนืดข้นเปื้อนเปรอะใบหน้าส่วนล่างไปหมด ร่างยวบอ่อนไหลลงมากองกับพื้น อดีตมาเฟียนั่งนิ่ง ปล่อยให้เจ้ายักษ์ก้มตัวลงมาดูอาการตน

    เมื่อนั้นเขาจึงเงื้อขาทั้งสองเข้าล็อคคอมันไว้

    พลิกร่างใหญ่โตนั้นลงมาคลุกพื้นพรมด้วยกัน ท่อนขาหนาหนักของมันดิ้นพล่านยามที่เริ่มขาดอากาศหายใจ ทว่าเจ้าอิตาเลียนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ คิลเลียนได้แต่ภาวนาว่าตนจะทนได้นานกว่า เพราะหากมันดิ้นหลุดขึ้นมา เขาคงไม่เหลือเรี่ยวแรงจากไหนจะงัดมาสู้อีกแล้ว

    ปัง!

    มันควักปืนใต้เสื้อออกมาจนได้

    กระสุนเฉี่ยวใบหูเขาไปเส้นยาแดงผ่าแปด มือเล็กพยายามแย่งปืนสั้นมาจากมือยักษ์ สองขาก็ยังต้องบีบรัดคอกลั้นทางเดินหายใจของมันไว้ ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! เขาสอดนิ้วเข้ากระตุกโกร่งไกรัวๆ ผลาญรังเพลิงให้ว่างเปล่า มันอาศัยจังหวะนั้นปล่อยมือจากอาวุธสังหาร แรงดีดจากการยื้อทำให้ปืนพุ่งกระแทกหน้าคิลเลียน ศัตรูย้ายตัวเองหนีจากกรงข้อเท้าที่รัดคอ

    แต่กระสุนนัดสุดท้ายยังตกค้างในรังเพลิง

    ปัง!

    เลือดสดๆ สาดกระจายทั่วใบหน้าเล็ก

    คิลเลียนทิ้งปืนในมือ ทิ้งตัวลงนอน ใช้เท้าเขี่ยซากไร้วิญญาณของลูกน้องดอนน่าออกไปให้พ้นร่าง หอบหายใจเสียงดังจนตัวโยน และถึงกับต้องยกมือขึ้นกุมซี่โครงที่เจ็บร้าว เขาแก่แล้ว และไม่เคยคิดว่าจะต้องกลับมาฆ่าใครอีก แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่จะช่วยคริสได้ คิลเลียนก็ไม่เกี่ยง ต่อให้สุดท้ายคนที่ตายจะเป็นเขาเอง เขาก็ยังจะทำ

    ยังไงก็ได้...แค่ให้คริสได้มีความสุขในโลกที่คริสเลือก

    ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานในวังวนธุรกิจเลือด
    ในครอบครัวที่เจ้าตัวไม่ได้ต้องการ
    หรือกลายเป็น 'ใคร' ที่เขาไม่รู้จัก

    เพราะเจตจำนงอิสระ คือสิ่งที่ทำให้เรายังเป็นมนุษย์

    เช่นเดียวกับความเจ็บปวดจากการพลัดพราก
    ความฝันที่จะได้อยู่ด้วยกัน
    ความรัก

    คริสควรได้เลือกเองว่าจะมีชีวิตแบบไหน
    คริสคู่ควรกับสิทธิ์นั้นทุกอย่าง

    "ยินดีด้วย...เธอเพิ่งพิสูจน์ว่าตัวเองคู่ควรกับการอยู่เคียงข้างดอน..."

    คริสติน่า?

    คิลเลียนลืมตาโพลง ค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่ง
    จ้องมองแม่ของคนรักด้วยสีหน้าเย็นชา

    "คุณอยากเห็นผมฆ่าสองคนนั่น..."

    พึมพำเสียงเบา เหลือบมองสองศพฝีมือตนไวๆ
    เจ้าหล่อนพยักหน้า "ดอนต้องมีคนที่เก่งและไว้ใจได้คอยระวังหลัง"
    คิลเลียนส่ายหน้าช้าๆ "คริสจะไม่เป็นดอน..." 
    "นั่นไม่ขึ้นอยู่กับเธอ"
    "หรือกับคุณ"
    "ฉันว่าเธอยังไม่เข้าใจสถานะของตัวเอง คิลเลียน เมอร์ฟี"

    คริสติน่าขยับเข้ามาใกล้เขาอีกก้าว
    ยังยืนตัวตรง ไม่ก้มมองคู่สนทนาด้วยซ้ำ

    "ถ้าเธอไม่ยอมอยู่ข้างดอน เธอก็ต้องไม่มีตัวตนอยู่เลย เธอเองก็เป็นหัวหน้าแก๊ง"
    "เคยเป็น"
    "เธอย่อมเข้าใจดีว่าฉันกำลังพูดเรื่องอะไร"

    คิลเลียนหลับตาลง กลืนน้ำลาย
    ไม่อยากยอมรับ แต่เข้าใจ

    วงการนี้ ถ้ามีคนรักแล้วดูแลไม่ได้ ก็ไม่ควรมี
    ถ้าให้ดีกว่านั้น ก็ควรมีคนรักที่ช่วยดูแลเราได้

    คริสติน่าไม่เพียงบอกเป็นนัยว่าให้เขาเลือกอยู่ช่วยคริสเมื่อคริสขึ้นเป็นดอน หรือเลือกเดินจาก โลกนี้— ไป เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับคริสในภายหลัง แต่ยังเน้นย้ำให้เขาเข้าใจว่ามันไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีกแล้ว ไม่มีจักรวาลโอกาสใดที่คริสจะไม่เป็นดอน ดอนน่าคริสติน่าเชื่ออย่างนั้น

    แต่คริสล่ะ?


    "ถอยออกมาจากตรงนั้น ดอนน่า"

    คิลเลียนลืมตามอง

    ไม่ใช่เพราะเสียงประตูเปิด
    แต่เพราะเสียงอันคุ้นเคยนั่น

    "ถอยออกมา หรือผมจะยิง และเราจะไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกันอีก"

    คริสติน่าเอี้ยวตัวกลับไปมองคนพูด มันเป็นครั้งแรกที่คิลเลียนเห็นสีหน้าของผู้หญิงคนนี้เปลี่ยน แต่สาเหตุนั้นพอเข้าใจได้ ผู้มาใหม่คือคริส พร้อมกับปืนในมือ หากสิ่งที่ทำให้หล่อนดูตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กๆ คือความจริงที่ว่าปืนนั้นจ่ออยู่ใต้คางของผู้ถือเสียเอง

    ถ้าคริสยิง จะไม่มีคริสเหลือให้คนเป็นแม่ได้เจรจาอีก

    อย่างเชื่องช้า...ส้นรองเท้าหล่อนหลบฉากไปจากเขา

    คริสเดินอ้อมหล่อนมาหาคิลเลียน
    รวบร่างเล็กเปรอะเลือดเข้าไปกอด

    "เจ็บตรงไหนหรือเปล่า..."

    คิลเลียนสั่นศีรษะ ฝังใบหน้าลงกับอกกว้าง
    อ้อมอกอุ่นปลอบประโลมจิตใจเขาได้ดีนัก

    ทำไมเวลาทั้งโลกถึงหยุดอยู่แค่ตรงนี้ไม่ได้?

    "คิลเลียน...ฟังผมให้ดี" คริสกระซิบ
    "...?"
    "รถของโจจอดรออยู่ด้านนอก คุณออกไปให้เร็วที่สุด เขาจะพาคุณหนีไปเอง ผมขอแค่นี้ ทำให้ผมได้ใช่ไหม..."

    หมายความว่ายังไง

    "แล้ว...คุณล่ะ"
    คริสไม่ตอบ "จำที่ผมบอกคุณได้ไหม ตอนทั้งหมดนี่เริ่มขึ้น คุณถามผมว่าจะทำยังไงต่อไป..."


    'ขอให้คุณปลอดภัยก่อน เรื่องอื่นไว้ทีหลัง...'

    คำตอบของคริส เขาจำได้ขึ้นใจ


    "ไม่เอานะคริส...อย่าทำแบบนี้" 

    คิลเลียนพยายามถอนตัวจากอ้อมกอด
    อยากมองหน้าคนรักอีกสักครั้ง

    ราวกับสังหรณ์ใจ...
    ว่าต่อไปจะไม่มีโอกาส

    แต่เจ้าตัวยังกอดเขาเอาไว้
    กอดไว้...แนบหัวใจ

    "ผมเอาชนะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ ถ้าไม่แน่ใจว่าคุณปลอดภัย คิลเลียน คุณไม่ควรอยู่ที่นี่ คุณไม่ควรเข้ามาเกี่ยวเรื่องนี้แต่แรก แต่ก็ต้องมาซวยเพราะผม ถ้าจะจบเรื่องนี้ ผมต้องแน่ใจก่อนว่าทุกสิ่งสำคัญในชีวิตของผมจะไม่ได้รับอันตรายจากเธอ..."

    และทุกสิ่งสำคัญในชีวิตผม...คือคุณ

    "แต่คุณจะกลับมา...ใช่ไหม..."

    คริสลูบศีรษะคนในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน 
    จุมพิตแผ่วบางลงกลางกระหม่อม 

    "แค่...รอผมหน่อย..."

    คริสฉุดคนตัวเล็กขึ้นยืน มือใหญ่ช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาซึ่งเกรอะกรังด้วยเลือดให้ ส่งสายตาอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้าย ปล่อยคนตัวเล็กค่อยๆ เดินผ่านห้องโถงไปยังประตู โดยยังจ่อปืนไว้ใต้คางของตน เพื่อให้ดอนน่าจำใจสั่งลูกน้องเปิดทาง เพราะกลัวว่าลูกชายที่อยากให้เป็นดอนจะระเบิดหัวตัวเองทิ้ง

    ใจจริงคิลเลียนอยากมองตาคนรักอีกสักครั้ง
    อยากแน่ใจว่าที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง

    ว่าเขาจะกลับมาจริงๆ

    แต่บางครั้งการเป็นคนรักคือการรู้จักเชื่อใจ
    ต่อให้มีโอกาสที่เขาจะหักหลังเราก็ตาม

    คิลเลียนจำใจเดินผ่านประตูไป
    ไม่อ้อยอิ่ง ไม่บอกลา ไม่หันกลับ

    และไม่ร้องไห้ ไม่เหมือนครานั้น
    ยี่สิบห้าปี ผมยังเคยรอคุณได้

    และคุณก็กลับมา
    เพราะงั้น...

    ถ้าคุณสั่งให้รอ ผมก็จะรอ

    ...

    ประตูปิดลง
    คริสเก็บปืน

    คริสติน่ามองลูกชาย
    ริมฝีปากยิ้ม แววตาไม่

    "เขารู้หรือเปล่า..."

    คริสมองตอบ
    เงียบขรึม

    "...ว่าแกโกหก"

    .
    .

    แจ็คอุ้มทอมขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว

    ฟินน์ได้รับกุญแจมือเป็นเครื่องประดับ และถูกลีโอควบคุมตัวไปที่รถ ภายใต้โครงหน้าอันแดงคล้ำด้วยลิ่มเลือด สายลับหนุ่มดูเหม่อลอย ไร้ท่าทีจะขัดขืนหรือหลบหนีใดๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวสารวัตรใหญ่ผู้กำลังยืนสับสน จนเผลอปล่อยมือจากฟินน์ เพื่อเดินสำรวจยางรถยนต์ของตนรอบคัน

    มีคนปล่อยยางรถเขา
    เพื่ออะไร?

    "ถ้านี่เป็นฝีมือคนของนาย ฉันแนะนำว่าอย่า" 
    "ผมไม่มี 'คนของผม' หรอก สารวัตร ผมมาคนเดียว คุณรู้ว่าผมไม่จำเป็นต้องโกหก"

    ฟินน์เองก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แม้กระทำการเกินหน้าที่ แต่เขารู้กฎดีว่าไม่ควรหลบหนี เพราะนั่นจะกลายเป็นใบสั่งเก็บของตัวเอง หากสายลับแหกคอก เบื้องบนจะใช้หน่วยเก็บกวาดใต้ดินมาเก็บเขาทันทีเช่นกัน และจะไม่มีใครได้รู้เห็นอะไร ทางการจะไม่ยอมรับว่าเขาเป็นสาย เพราะทุกอย่างเป็นข้อมูลลับ เขาจะตายอย่างหมาข้างถนน ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องทำร้ายตัวเองแบบนั้น

    ถ้าไม่จำเป็น

    "งั้นนายคิดว่า..."

    ปึ้ก!
    ลีโอล้มลงกับพื้น สิ้นสติ

    ฟินน์เบิกตาเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ หรี่ลง
    มองคนที่เอาปืนฟาดท้ายทอยตำรวจ

    พอล แอนเดอร์สัน
    ลูกน้องอาวุโสของทอม

    ฟินน์ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
    แต่ดันไปปะทะกับใครอีกคนที่ตัวสูงกว่า

    นิค 
    คนที่ขับรถให้ทอม วันที่แจ็ครถคว่ำ

    "เจอกันอีกแล้วนะ" นิคพึมพำ

    ระหว่างก้มลงคลำร่างสารวัตร
    หาลูกกุญแจมาไขกุญแจมือให้ฟินน์

    ...ทำไม?

    "พวกคุณช่วยผมทำไม..."

    นิคและพอลไม่ได้ตอบ
    เดินประกบเป้าหมายไปขึ้นรถอีกคัน

    พวกเขาไม่รู้หรอกว่า 'ทำไม'

    ก็แค่ทำตามคำสั่งเหมือนเคยเท่านั้น
    คำสั่งของหัวหน้าแก๊งเรดแฮนด์

    คำสั่งของทอม

    .
    .

    "จำเจสสิก้าได้ไหม"

    คริสถามคนเป็นแม่
    ซึ่งพยักหน้ารับน้อยๆ

    "วันที่แกหนีไป แม่ส่งเจสสิก้าไปแกะรอยหาแก อยู่มาวันหนึ่งเธอก็เลิกส่งข่าว ไม่กี่วันให้หลังตำรวจแอลเอก็พบเธอเป็นศพ ตำรวจไม่เคยปิดคดีได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือสภาพศพ ผมของเธอเป็นสีบลอนด์..."
    "..."
    "ทั้งที่ความจริง เธอเป็นสาวผมแดงโดยธรรมชาติ"

    คริสติน่าหรี่ตาลง "ทำไมจู่ๆ ถามเรื่องนี้"
    "คิดว่ายังไงล่ะครับ"

    คริสติน่าชะงัก
    ไม่มีทาง

    คริสพยักหน้าให้ ราวกับอ่านออกว่าแม่คิดอะไร "สงสัยมาตลอดเลยใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ต่อให้คิดสันนิษฐานยังไง ก็คงได้ข้อสรุปแค่ว่าผมจ้างให้คนจัดการเธอสินะ ไม่เคยนึกฝันเลยใช่หรือเปล่า ว่าลูกชายคนนี้จะฆ่าใครเองกับมือ"
    "แกไม่ได้..."

    คริสจุ๊ปาก คริสติน่าเงียบฟัง นั่งนิ่ง...ยามเมื่อนิ้วของลูกชายเอื้อมมาเกลี่ยไรผมสีบลอนด์ซีดจางราวกับแสงจันทร์ของตน กล้ามเนื้อใต้ตากระตุกเบาๆ อย่างไม่ตั้งใจ ยามเสียงทุ้มนุ่มโทนต่ำเปล่งถ้อยคำ เพียงแผ่วเบา...เท่าสายลมกระซิิบ

    "ผมฆ่าแม่ไม่ได้...ผมเลยฆ่าเธอซะ"

    เป็นเสียงกระซิบที่ก้องดังราวกับฟ้าผ่า

    และขุดค้นถ้อยคำหนึ่งขึ้นมาถล่มหัวใจเธอซ้ำ

    'เขาเป็นคนเลือดเย็นโดยธรรมชาติ ถ้าเขาโกรธ เขาฆ่าคนได้เลย คุณเคยรู้บ้างหรือเปล่า'
    'ไม่เอะใจเลยหรือไงที่เขาต่อต้านการเป็นดอนขนาดนั้น'

    ตั้งแต่เมื่อไรกัน...ที่เธอพลาดรายละเอียดนี้ไป
    ตั้งแต่เมื่อไร...ที่ลูกชายปิดกั้นตัวเองจากเธอ

    กลายเป็นใคร...ที่เธอไม่รู้จัก

    และไม่คิดร้องขอความเข้าใจจากคนเป็นแม่อีก

    "ผมฆ่าเมียของน้องชาย แม่ของหลาน ก็เพราะคุณคนเดียว ภูมิใจในตัวผมพอหรือยัง ผมเลือดเย็นสมกับที่จะเป็นดอนคนต่อไปหรือยัง ดอนน่าคริสติน่า"

    เจสสิก้า แชสเตนเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของคริสติน่า ถนัดเรื่องแกะรอย สะกดรอยและสืบข่าว แม้ภายหลังเธอจะแต่งงานกับแอนดี้ และมีลูกชายอย่างแจ็คแล้ว เธอก็ยังทำงานสำคัญๆ ให้คริสติน่าอยู่ โดยที่ลูกและสามีไม่รู้ วันที่คริสมั่นใจแน่ชัดว่าแม่พาเขาหนีพ่อมานิวยอร์ก เพื่อจะวางรากฐานให้เขาเป็นดอนคนต่อไป เขาหนีออกจากบ้าน ไปเริ่มต้นเป็นทนายบนลำแข้งตนเองที่ลอส แอนเจลิส 

    แม่ส่งเจสสิก้ามาตามหาเขา
    พอรู้ความจริงว่าถูกตาม โมโหจัด

    พลั้งมือ...ฆ่าเจสสิก้า

    แม้คริสไม่ได้ตั้งใจฆ่าเธอ
    แต่ก็จงใจย้อมผมเธอเป็นสีผมของแม่

    ส่งสารให้แม่รู้ ว่าเขาโกรธแค่ไหน
    น่าขันสิ้นดี ที่ผ่านมาตั้งกี่ปี แม่เพิ่งจะรู้

    แต่คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือแอนดี้และแจ็ค

    หลังงานศพ สองพ่อลูกไม่พูดถึงเจสสิก้าอีกเลย โดยเฉพาะแอนดี้ที่มีเรื่องนอกใจก่อนภรรยาจะเสียไม่นานคงยิ่งรู้สึกผิดเกินบรรยาย ส่วนตัวคนผิดอย่างคริสเองก็ไม่เคยสารภาพ มันเหมือนตราบาปที่ตอกตรึงหัวใจของเขาเอาไว้ คริสไม่กล้าสู้หน้าแอนดี้อีก ที่ทำตัวห่างเหินเหมือนเมินน้องชาย ความจริงเขาก็แค่ละอายใจเกินกว่าจะคุยด้วย ได้แต่รักษาระยะห่าง คอยให้คำปรึกษาแค่เรื่องธุรกิจเท่านั้น บางทีอาจเพราะกลัวทนไม่ไหว กลัวหลุดปาก...แล้วจะถูกเกลียดอย่างแท้จริง จึงพยายามทำตัวเย็นชาเพื่อให้อีกฝ่ายเกลียดและเลิกสนใจห่วงใยเขาไปเอง

    แต่แอนดี้ก็ไม่เคยหยุดไล่ตามเขาสักที

    ใช่ว่าเขาจะไม่รับรู้ความรักจากน้องชาย
    แต่คริสละอายใจเกินกว่าจะรับมันจริงๆ

    ดอนน่าเม้มปาก "...คนตายก็ตายไปแล้ว ฉันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แกเปลี่ยนอะไรไม่ได้"
    "ผมก็ไม่ได้หวังว่ามันจะเปลี่ยนอะไร ผมคงไร้เดียงสาจนน่าขำถ้าคิดว่าในโลกนี้จะมีอะไรเปลี่ยนคุณได้ เพราะมันไม่มี ถ้ามันเคยมี ก็คงเลยจุดนั้นมาตั้งนานแล้ว"

    แม่พูดเสมอว่าแม่เองก็ไม่เคยอยากเป็นดอนน่า
    คุณตาบังคับให้แม่ต้องสืบทอดตำแหน่งเช่นกัน

    ครอบครัวก็แบบนี้

    เราเปลี่ยนพ่อแม่ของเราไม่ได้ เท่าที่ทำได้...คือถ่ายทอดความเจ็บปวดส่งผ่านลงไปยังลูกหลานของเราเท่านั้น ในไม่ช้า มันกลายเป็นวังวนที่ไม่มีใครอยากอยู่ แต่ก็ไม่มีใครทำให้มันหยุด เราอาจเคยคิด แต่ไม่มีใครเข้มแข็งพอจะทำ เราอาจตัดสินใจหนี แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมายอมรับ มันคือข้อบกพร่องในความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีใครคิดแก้ไข มันอยู่ในธรรมชาติของเรา

    ใช้คำว่ารัก ทำร้ายครอบครัวของตัวเอง

    และเราอาจปกป้องตัวเองจากครอบครัวโดยสายเลือดไม่ได้

    แต่เราจะทำทุกทาง เพื่อปกป้องคนที่เรา 'อยากให้เป็น' ครอบครัว

    ครอบครัวที่เราเลือกเอง
    บ้าน...ที่เราสร้างเอง

    "ผมจะกลับไปกับคุณ เพื่อรับตำแหน่งดอน"

    คริสสรุปเรื่องราวทั้งหมดสั้นๆ

    "...ขอแค่คุณไม่ไปแตะต้องอะไรคิลเลียนอีก"

    คริสติน่ารับปากอย่างรวดเร็ว

    "แค่แกยอม ทุกอย่างก็จบ"
    "ผมไว้ใจคุณได้ใช่ไหม"

    คนเป็นลูกชายขอคำยืนยัน
    คนเป็นแม่ให้คำยืนยัน

    "ฉันไม่ได้อยากไปยุ่งอะไรกับคนของแกอยู่แล้ว"

    คริสลอบถอนหายใจ

    "ดีครับ"
    "ดี"

    .
    .

    'แค่...รอผมหน่อย...'

    ถ้อยกระซิบนั้นยังเล่นวนอยู่ในใจซ้ำๆ

    '...รอผมหน่อย...'

    ได้สิ... ขอแค่คุณรักกัน นานเท่าไรก็รอ
    จะอีกหนึ่งปี...ห้าปี...หรืออีกยี่สิบห้าปี

    ทรมานยังไงก็ต้องรอ
    รอคุณกลับมา

    กลับ...บ้าน

    "เจ้านายให้ผมพาคุณกลับคอร์ก...คุณคิดว่ามีที่อื่นปลอดภัยกว่านั้นหรือเปล่า"

    เสียงของโจเซฟฉุดคิลเลียนออกจากภวังค์
    ส่ายหน้าน้อยๆ "ไม่...ไม่มี..."

    ไม่มีที่ไหนปลอดภัยกว่าบ้านหรอก

    โจขับช้ามาก
    ช้าจนคนเหม่อแยกไม่ออก...เมื่อรถหยุด

    "มีอะไร..." รู้ตัวเมื่อคนขับเปิดประตู
    "อยู่บนรถก่อน" โจสั่งเสียงเครียด ก่อนลงจากรถ

    คิลเลียนหันมองกระจกหลัง
    ไม่พบอะไร

    แต่สัญชาตญาณเขาทำงานในทันที
    มีอะไรไม่ชอบมาพากล

    คิลเลียนเปิดประตู ลงจากรถ
    ซี่โครงที่บาดเจ็บลั่นปลาบ

    ก้าวแรกก็ทรุดลงกับพื้น
    ข้างตรอกแคบๆ อันมืดมิด

    โจกลับมาพยุงร่างเขาขึ้นโดยไว
    บ่นพึมพำ "บอกให้อยู่ในรถ..."

    แขนที่สอดประคองปีก เคลื่อนเข้าล็อคตัวเขา
    มีดเล่มวาวสะท้อนแสงจันทร์ ฝังคมบนลำคอ

    เรียกเลือดอุ่นๆ ให้ซึมไหล

    "...ทำไมไม่ฟังกันบ้าง"

    .
    .

    คริสติน่ายิ้มพอใจ

    "ทีนี้เรารอคนอีกคนเดียว ก็พร้อมไปสนามบินกันได้"

    คนอีกคนที่ต้องรอ ถูกนำมาส่งที่หน้าประตู

    "ขออนุญาตครับดอนน่า ผมพาหลานชายคุณมาส่ง"

    คริสแปลกใจที่เห็นพอล คนเก่าแก่ของเรดแฮนด์ซึ่งเห็นกันมาตั้งแต่เจ้าตัวเป็นมือไม้ให้คิลเลียน และปัจจุบันยังทำงานอยู่กับทอม พอลมากับนิค และคนที่ทั้งคู่พามาส่งก็คือฟินน์ ไวท์เฮด ลูกชายนอกสมรสของแอนดี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มดูสับสนอยู่พอตัว ว่าตนต้องมาทำอะไรที่นี่

    สองหนุ่มเรดแฮนด์จากไปอย่างรีบๆ

    "มาหาย่าสิ..." 

    คริสไม่รู้ว่าทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อน
    แต่ไม่แสดงความสนใจใคร่รู้

    "นี่มันเรื่องอะไรกันครับ..." ฟินน์พึมพำ

    คริสติน่าคลี่ผ้าเช็ดหน้าผืนงามในมือออก
    ซับเลือดซึ่งละเลงเลอะเปรอะใบหน้าเด็กหนุ่ม

    "หลานอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น เราจะไปจากอังกฤษด้วยกันคืนนี้...ตอนนี้ ก่อนที่ตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดจะส่งคนมาจับหลาน หรือเอ็มไอไฟว์จะส่งคนมาเก็บหลาน"

    ม่านตาฟินน์เบิกกว้างเมื่อพบว่าย่ารู้เรื่องทั้งหมด

    "หนูทอมเขาหวังดีกับหลานนะ ถึงให้ย่าช่วย"
    "..."
    "ไม่มีใครสำคัญไปกว่าครอบครัวหรอก เชื่อย่าสิ"

    ครอบครัว?

    คนที่ทำให้พี่ชายตัวเองรถคว่ำ
    คนที่ทำร้ายจิตใจนายสารพัด
    คนที่เพิ่งยิงนายปางตาย

    นายมองฉันเป็นครอบครัวลงได้ยังไงกัน...ทอม

    .
    .

    "คุณคิดจริงๆ หรือว่าจะได้มีความสุขกับเขาไปตลอดชีวิต"

    คิลเลียนพยายามนิ่งที่สุด
    เพื่อให้คมมีดไม่บาดลึกไปกว่านี้

    โจเซฟกลืนน้ำลายซ้ำๆ โดยหวังว่ามันจะช่วยดันก้อนสะอื้นกลับลงไปได้ เขาไม่อยากให้คิลเลียนจับสังเกตน้ำเสียงอันเครือสั่น ไม่อยากให้เกิดคำถาม ไม่อยากต้องมานั่งอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ใครฟัง ความรู้สึกที่เขาไม่เคยบอกใคร...ไม่แม้แต่กับคนที่ทำให้มันเกิดขึ้น คนที่อบอุ่นยิ่งกว่าดวงตะวัน คนที่เป็นแสงสว่างในชีวิตของเขา คนที่เขาได้แต่เฝ้าดูแล จงรักภักดี โดยไม่อาจคิดครอบครอง

    แสงสว่าง...ที่เป็นเจ้าของไม่ได้
    แต่ก็ไม่อยากเสียให้ใคร

    แค่ต้องทนเห็นมาสี่ห้าปีก็เกินพอแล้ว

    "งั้นที่นายหายไป...ก็ไม่ได้ถูกดอนน่าเล่นงานหรืออะไรสินะ..."

    คิลเลียนค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราว

    โจเซฟเล่นเกมกับพวกเขามาตั้งแต่ต้น
    ถูกดอนน่าดึงไปเป็นพวกตั้งแต่เริ่ม

    หล่อนวางแผนรัดกุมหมดจริงๆ

    ตัดความช่วยเหลือจากโจไป
    ก่อนใช้คิลเลียนบีบคริสอีกชั้น

    "ไม่ต้องสนใจเรื่องผมหรอก ที่คุณต้องรู้ก็คือ คริสเลือกแม่ของเขา เขาจะขึ้นเป็นดอน และคนเป็นดอนจะมีจุดอ่อนไม่ได้..."

    จุดอ่อน...ให้ศัตรูใช้เป็นข้อต่อรอง
    จุดอ่อน...ที่เรียกว่าคนรัก

    จุดอ่อน ต้องถูกกำจัด

    "ฉันเห็นสายตาของนายตลอด รู้ไหม..."

    คิลเลียนพึมพำ

    "...นายควรบอกเขานะ"

    บอกว่านายรู้สึกยังไง

    ในเมื่อฉันก็จะไม่อยู่แล้ว

    "ดูแลเขาให้ดีเหมือนเดิมด้วยล่ะ"

    โจอิจฉาแต่ก็ชื่นชมความรักที่คิลเลียนมีให้คริส
    ซาบซึ้ง จนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว

    ต้องปล่อยหยดหนึ่งให้ไหล

    พร้อมเลือดปริมาณมากที่รินหลั่งทะลักทลาย
    ตามรอยปาดซึ่งพาดยาวตลอดลำคอขาว

    "อ..."

    ยกมือขึ้นกุมแผลโดยสัญชาตญาณ แม้รู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร มีแต่จะย้อมให้มือซีดขาวราวหิมะกลายเป็นสีชาด ร่างผอมบางค่อยๆ เลื่อนลงไปกองแทบพื้นช้าๆ โจปล่อยเขาทิ้งไว้ ขับรถจากไป โดยมั่นใจว่าสายธารโลหิตจากลำคอที่ขาดวิ่นจะพรั่งพรูออกมาจนหมดตัวเขาภายในไม่กี่นาที 

    คิลเลียนนอนนิ่ง ซึมซับความเจ็บปวด
    นัยน์ตากลมโตยอแสงจันทร์อันเจือจาง

    คงอย่างเขาว่า

    บางครั้ง ความรักก็เหมือนใบมีด
    กรีดเนื้อเถือวิญญาณเราให้รินไหล

    แต่วิญญาณที่กลัวตาย
    จะรู้จักการมีชีวิตได้ยังไง

    หากไม่คิดเสียสละ
    จะรักเป็นได้ยังไง

    'แค่...รอผมหน่อย...'

    ผมยังรอคุณอยู่นะ
    แค่...อาจจะ...ไกลสักหน่อย

    ไกล...

    แต่ยังรัก

    มาหาผมนะ
    เมื่อคุณมาได้


    ผมยังรอดาวหางของผมอยู่เสมอ

    .
    .

    .

    "เอิร์ลครับ แอนนาเบล วอลลิสมาตามนัด"

    ไม่มีคำตอบจากคนที่โต๊ะทำงาน
    แจ็คยังนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น

    "เอิร์ลครับ"

    ลูกน้องเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
    คนเป็นเจ้านายกะพริบตาเพียงครั้ง

    โบกมือให้ส่งคนที่นัดไว้เข้ามา
    คนที่นัดกับทอมไว้

    "สวัสดีค่ะ"

    หญิงสาวผมบลอนด์ทักทาย แจ็คแค่ผงกศีรษะน้อยๆ ตอบรับ เธอไม่ได้ถือสาอะไร ยังยิ้มให้อย่างใจดี รวบกระโปรงและนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างเรียบร้อย เงียบเชียบ นั่งมองมือเรียวยาวของเอิร์ลค่อยๆ เอื้อมไปเปิดลิ้นชัก และดึงเช็คเงินสดออกมาเขียนให้

    เธอแค่มารับค่าจ้าง
    เธอไม่ใช่แม่ของทอม อย่างที่ฟินน์เข้าใจ

    ถูกหลอก...ให้เข้าใจ  แอนนาเบลเป็นนักแสดงละครเวทีที่ทอมเคยไปดูและประทับใจ เธอหน้าตาละม้ายคล้ายเขา ทั้งยังมีผมสีเดียวกัน จนทอมเคยคิดร่างแผนกลั่นแกล้งศัตรูเอาไว้เล่นๆ ว่าจะให้เธอแสดงเป็นแม่ เพื่อหลอกซ้อนแผนศัตรู ทอมเองก็ไม่นึกฝันว่าจะได้ใช้แผนการนั้นไวขนาดนี้ 

    ทอมรู้เรื่องที่ฟินน์เป็นสายลับเอ็มไอไฟว์จากพ่อ 

    และตั้งแต่ฟินน์เริ่มกลับเข้าลอนดอนในฐานะหัวหน้าแก๊งไวท์เฮด ทอมรู้ว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับฟินน์จังๆ เข้าสักวัน จึงวางแผนปล่อยข่าวเรื่องแม่ของตัวเอง ให้คนของฟินน์สืบเจอแอนนาเบลและจับตัวเธอไว้ เมื่อฟินน์ฮุบเหยื่อ เอาเธอมาขู่เพื่อให้ทอมยกแก๊งให้ ทุกอย่างก็ลงล็อค ทอมใช้การสนทนาห้านาทีเพียงลำพังกับแอนนาเบล ซึ่งทอมรู้อยู่แล้วว่าฟินน์ต้องแอบฟังในการปล่อยข่าวอันน่าเชื่อถือให้ไปเข้าหูฟินน์

    ว่าแอนนาเบลก็เป็นเจ้าหน้าที่ลับของรัฐบาล
    ว่าแอนนาเบลมีภารกิจเก็บฟินน์เมื่องานเสร็จ
    หลอกให้ฟินน์คิดว่าตัวเองถูกเบื้องบนหักหลัง

    คืนนั้น ทอมวางแผนจะเกลี้ยกล่อมให้ฟินน์กลับอเมริกากับคุณย่าคริสติน่า เพื่อให้คุณย่ามาเฟียใหญ่รับประกันความปลอดภัยของฟินน์จากการถูกเอ็มไอไฟว์เก็บ ทั้งที่ความจริงมันคือแผนขับไล่ฟินน์ออกจากลอนดอนโดยไม่มีวันได้กลับมาดีๆ นี่เอง— แต่เพื่อรับประกันทุกอย่าง ทอมได้วางแผนกันไว้อีกทาง บีบให้ฟินน์ไปค้นหาหลักฐานที่ตึกสำนักงานตน โดยให้ตำรวจเวรดึกซึ่งรับเงินเดือนจากเรดแฮนด์ แจ้งให้สารวัตรลีโอนาร์โดรู้เรื่องการบุกรุกตึก และตรงดิ่งไปที่นั่น

    ทอมจัดฉากให้ฟินน์กับลีโอเผชิญหน้ากัน
    หวังว่าฟินน์จะยิงลีโอที่เข้าจับกุมตามหน้าที่

    เพื่อให้ฟินน์มีความผิดติดตัวและใช้มันเป็นข้ออ้างเสริมอีกชั้น ในการจูงใจให้ฟินน์หนีไปอเมริกากับคุณย่า แต่ฟินน์ไม่ได้ติดกับ ไม่ได้ยิงต่อสู้กับลีโอ เหตุการณ์ออกนอกแผนที่ทอมวางไว้ เพราะทอมเองก็ไม่ได้คิดว่าฟินน์จะกล้ายิงตน หรือยิงแจ็คที่ปกป้องตน 

    แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นไปตามแผน
    ฟินน์มีความผิดติดตัวเพราะยิงทอม

    ต้องยอมหนีออกนอกประเทศ
    หากไม่อยากถูกตำรวจจับ

    ฟินน์แพ้
    แต่ทอม...

    "หนูทอมไม่อยู่หรือคะ..."

    น้ำเสียงของแอนนาเบลเอ็นดูคนที่พูดถึงนัก เธอไม่ได้ถามซ้ำเมื่อแจ็คไม่ตอบและเพียงแค่ยื่นเช็คให้ แจ็คยังเงียบอยู่ตลอดเวลาที่ลุกไปเปิดประตูห้องทำงานส่งเธอ และให้ลูกน้องจัดการต่อ เขาลากร่างเสมือนไร้วิญญาณของตนกลับมาจมจ่อม ณ เก้าอี้ทำงานอีกครั้ง 

    คำถามของแอนนาเบลยังทิ่มแทงใจซ้ำๆ

    'หนูทอมไม่อยู่หรือคะ...'

    มือเย็นเยียบยกกุมใบหน้า
    แล้วน้ำตาก็เริ่มคลอหน่วย

    ปลายจมูกของแจ็คแดงก่ำ เขารู้ตัวเลยว่ามันกำลังแดง เหมือนเวลาที่เป็นหวัด ทอมมักจะล้อเวลาจมูกเขาแดงแบบนั้น ถ้าทอมยังอยู่ตรงนี้ คงแกล้งบีบและเรียกเขาว่าหมาเรนเดียร์เหมือนเคยแน่ๆ 

    แจ็คปาดน้ำตาทิ้ง รินไวน์ใส่แก้ว 
    รวดเดียวหมด รินอีกแก้ว หมดอีกแก้ว

    มือเล็กๆ เอื้อมมาห้ามการเทครั้งต่อไป

    แจ็คเงยหน้าขึ้น
    มองใบหน้าน่ารักส่งสายตาดุ

    "..."

    ใบหน้า...ซึ่งไม่ได้อยู่ ณ ตรงนั้น
    มือ...ซึ่งไม่ได้อยู่ ณ ตรงนั้น

    ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น

    เพล้ง

    แก้ว กลายเป็นเศษผลึก
    ไวน์ขาว กลายเป็นสีแดง

    ปล่อยเลือด...หยดจากนิ้วที่บีบแก้วแตก
    ปล่อยน้ำตา...หยดจากหัวใจที่สลาย

    กลับมาเถอะ...ทอม
    กลับบ้านเราที

    "ฮึก..."

    แบบนี้พี่อยู่ไม่ไหว

    ไม่ได้จริงๆ

    .
    .

    เขาเคยนึกโกรธแม่ตัวเองที่เป็นชู้กับพ่อ
    นึกดูถูกความรู้สึกของคนยอมเป็นที่สอง

    ตอนนี้เข้าใจแล้วว่ากลิ่นนั้นเย้ายวนเพียงใด

    กลิ่นความปรารถนาที่ไม่อาจครอบครอง
    กลิ่นหอมหวนยวนเย้ารุนแรงยิ่งกว่ารัก

    กลิ่นคนมีเจ้าของ

    เขาเกลียดทอม
    แต่ก็ยังต้องการ

    หากต้องสูญเสียหน้าที่การงานและความฝัน 
    ก็ขอให้ยังเหลืออะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง

    ปัง!


    เฮือก

    ฟินน์สะดุ้งตื่น

    ตาข้างหนึ่งลืมไม่ขึ้นเพราะบวมจัด อีกข้างยังพอมองเห็น แต่จมูกที่หักและถูกผ้าก๊อซโปะไว้ก็บดบังทัศนวิสัยไม่น้อย โหนกแก้มซึ่งช้ำแตกดันผิวขึ้นมาจนรู้สึกขัดๆ พี่ชายเล่นเขาซะเละ แต่เป็นเขาก็คงทำอย่างเดียวกัน เลือดร้อนได้พ่อทั้งนั้น

    และว่าตามจริง เขาก็สมควรโดน

    แจ็คอาจดูไม่ออก
    แต่เขาตั้งใจยิงแจ็ค

    จงใจเล็งทอม เพื่อให้แจ็คเดือดร้อนแทนและรีบเอาตัวเข้าขวาง กระสุนนัดนั้น แม้อ้างว่าทำเพื่ออุดมการณ์หรืออะไรก็ตาม แต่ลึกๆ ในใจแล้วเขาหวังให้พี่ชายเป็นคนโดน ต้องยอมรับว่าจิตใต้สำนึกของเขาวางแผนซับซ้อนถึงเพียงนั้น เพื่อหาเหตุผลมารองรับการกระทำของตนเอง

    ทั้งที่จริง...เขาก็แค่ปรารถนาทอม
    อยากได้คนที่มีเจ้าของแล้ว

    “...” พยายามกลืนน้ำลาย ความเจ็บชายังแผ่ซ่านตั้งแต่ริมฝีปาก ลึกลงไปถึงลำคอ เขาอยู่ที่นิวยอร์ก จากอาณาจักรนักเลงลอนดอน มาสู่ถิ่นมาเฟียเชื้อสายซิซิลี ดูเหมือนคนเราจะหนีครอบครัวไม่เคยพ้น ไล่สายตาไปรอบห้องอย่างเชื่องช้า ห้องนอนในบ้านตระกูลมาร์คีโอเน่กว้างขวางเกินจำเป็น กว่าจะสำรวจทุกรายละเอียดได้ครบก็ใช้เวลานานนัก 

    สายตาฟินน์สะดุดเข้ากับโทรศัพท์
    เครื่องหรู ขัดเงาวับ บนโต๊ะข้างหัวเตียง

    มือเอื้อมออกไปไวกว่าความคิด เขาวางหูลงทันทีที่รู้สึกตัว แต่สายตายังจ้องมอง ก่อนตัดสินใจยกหูขึ้นอีกครั้ง หมุนโทรศัพท์ หมายเลขที่ไม่รู้ทำไมจึงจำได้ จากการเห็นเพียงครั้งเดียวบนแฟ้มประวัติของเจ้าตัว หมายเลขภายในห้องทำงานเจ้าของบริษัทเรดแฮนด์

    ปลายสายรับ เมื่อเขาเกือบวาง
    ‘ฮัลโหล...’

    เสียงคนรับไม่ใช่เจ้าของห้อง

    “พี่แจ็ค...”
    ‘...’ ปลายสายเงียบ

    ไม่รู้จำเสียงไม่ได้ หรือได้...แต่ไม่อยากคุย
    ฟินน์กลืนน้ำลายอีกครั้ง สูดหายใจ

    “ทอมเป็นยังไงบ้าง...”

    พี่ชายเงียบ หมอกมัวแห่งความอึดอัดครอบงำบรรยากาศ เขาไม่คิดว่าแจ็คจะอยากตอบคำถามนั้น แต่อดถามไม่ได้เพราะอยากรู้ เพราะห่วงใครคนนั้นไม่แพ้กัน เสียงหายใจของสองพี่น้องต่างมารดาผลัดกันเป่ารดสายโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ ก่อนมือเรียวของฟินน์จะตัดสินใจวาง...

    เสียงกุกกักจากปลายสายยั้งมือเขาไว้ทัน

    ‘พี่จะฆ่านายซะก็ได้ รู้ใช่ไหม...’

    น้ำเสียงเย็นเยียบเฉียบขาดคล้ายสายฟ้าฟาดซ้ำลงกลางใบหน้าที่ยังเจ็บ หลายแผลที่เจ้าของคำพูดฝากไว้คล้ายจะระบมหนักขึ้นมาดื้อๆ แต่ฟินน์รู้ว่าแจ็คเจ็บปวดยิ่งกว่านั้น...ยิ่งกว่าเขา เพราะในเนื้อเสียงอันเคียดแค้นชิงชัง กลับจับพบความเครือสั่น...คลอเคล้ากลิ่นอายคนใจสลาย

    ‘พี่คงทำไปแล้วถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าพี่ไม่ได้เป็นคนอย่างตอนนี้ เพราะงั้นช่วยสำนึกไว้ด้วยว่าตัวนายโชคดีแค่ไหน ที่เรื่องนี้เกิดหลังจากทอมเปลี่ยนพี่ไปแล้ว และพี่อยากเห็นตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไป...’

    ...

    ทอมสอนให้เขารู้ว่าการล้างแค้นไม่ช่วยอะไร

    ด้วยบทเรียนหนักหนาสาหัสจนแจ็คเกือบรับมือไม่ไหว แต่อะไรที่ฆ่าเราไม่ได้ เปลี่ยนแปลงเราเสมอ ให้เป็นคนที่ฉลาดคิดขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และพร้อมจะเป็นคนที่รอดพ้นจากมรสุมชีวิตครั้งต่อๆ ไป ก้าวข้ามผ่านการดิ้นรนทางศีลธรรมในใจตนเอง

    แจ็คยังอยากรักษาคนคนนี้ไว้
    คนที่เขากลายมาเป็น...เพราะทอม

    เพียงเพื่อรู้สึก...ว่าทอมยังอยู่กับตน
    ยังอยู่ตรงนี้

    ‘ผมไม่ได้ตั้งใจย—‘

    แจ็ควางหูโทรศัพท์
    เลือกไม่ฟังคำแก้ตัวใดๆ

    ในเมื่อไม่คิดแค้น
    ฟังหรือไม่ ค่าย่อมเท่ากัน

    ‘ยังไงฟินน์ก็เป็นน้องชายพี่น่ะนะ...’

    เสียงของทอมในความทรงจำแว่วขึ้นมา
    เมื่อครั้งคุยกันเรื่องแผนจัดการฟินน์

    ‘จะฆ่าไม่ได้ ยังไงเขาก็ครอบครัว แต่ถ้าเขายังอยู่ในลอนดอนมันอันตรายสำหรับเราเกินไป’
    ‘แล้วเราควรทำไง’
    ‘ทอมจะทำให้เขาต้องไปอยู่กับคุณย่า...’

    ไม่รู้ทอมใจดีกับคนผิดหรือเปล่า
    ได้แต่หวังว่าจะไม่

    เอิร์ลหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไล่สายตาเลื่อนลอยลากผ่านทุกตารางนิ้วของห้องทำงานที่เขาคุ้นเคย ห้องที่ได้มานั่งรอคนบ้างานจนดึกดื่นเที่ยงคืนบ่อยๆ ห้องที่มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น ห้องที่มีกลิ่นอายความทรงจำเข้มข้นบรรจุอยู่ภายใน

    ปรายตามองโต๊ะทำงานไม้ตัวเก่า
    ไล้ปลายนิ้วเรียวยาวไปตามขอบมนเรียบ


    ‘เป็นอะไร’
    ‘เปล่า...’

    ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาใกล้
    สันจมูกโด่งแกล้งดุนรอยช้ำตรงแก้ม

    ‘ทำไมไม่ทำแผล’
    ‘ไม่ว่าง’
    ‘ทำไมไม่ปล่อยคนอื่นไปจัดการ’
    ‘ไม่ใช่คุณชายนั่งชี้นิ้วสั่งไปวันๆ เหมือนใครบางคนไง คุณมีอะไร’

    ถามหาธุระ เบี่ยงตัวหนี
    แต่ไม่ไวกว่ามือแกร่ง

    คว้าเอวสอบไว้
    กดแนบไปกับขอบโต๊ะ

    ‘ฉันหิว...’
    ‘ผมไม่...อ้อ...’
    ทอมยิ้มกริ่มในใจ ‘คุณไม่ได้หมายถึงข้าว’
    ‘ไม่’

    ปัดกองเอกสารเกะกะทิ้งไปจากโต๊ะ
    อุ้มคนตัวเล็กขึ้นวางแทนที่ทุกอย่าง


    ไล่สายตาขึ้นตามความสูงของกองแฟ้มที่ต้องมาจัดการแทนเจ้าตัว ภาพเก่าๆ ในหัวเริ่มฉายทับ


    ฟึบ

    เสียงปิดแฟ้มดึงคนรอออกจากภวังค์

    ‘เสร็จแล้วเหรอ...’
    ทอมเป่าลมพองแก้ม ‘ยังหรอก แต่ช่างมัน ทอมหิว ป่านนี้จะยังมีร้านเปิดไหมครับ...’
    ‘พี่รู้จักร้านหนึ่งที่ยังเปิด’
    ‘งั้นไปกัน’

    คว้าเสื้อโค้ทพาดไหล่ ยืดตัวขึ้น
    คนตัวเล็กยังนั่งอยู่ที่เดิม

    ยื่นแขนออกมารอ

    ลักยิ้มข้างแก้มขาวบุ๋มลึกลง ขายาวสาวไวๆ ไปฉุดเด็กขี้อ้อนให้ลุกจากเก้าอี้ ทอมไม่เพียงยืนขึ้น แต่โถมร่างเข้าใส่ กอดคนตัวโตเอาไว้ ต้องหัวเราะน้อยๆ ด้วยความประหลาดใจ

    ‘อะไรครับ’

    แขนแกร่งโอบตอบหลวมๆ
    คนตัวเล็กส่ายหน้าดิ๊ก ‘เปล่า...’

    ไม่เซ้าซี้ ยีผมนุ่มสลวยเล่นด้วยความเอ็นดู

    ‘ไปรึยังครับ หิวไม่ใช่เหรอ’
    ‘อือ’


    แจ็คกำมือแน่น ขบสันกราม หลับตานิ่ง
    ทั้งรวดร้าวและเป็นสุขอย่างน่าประหลาด

    ยามรู้สึก...ราวกับคนรักยังอยู่ในห้อง

    ยังเห็นคนตัวเล็กอยู่ในทุกอณูบรรยากาศ...ทุกซอกมุม หลังคดหลังแข็งบนเก้าอี้ทำงาน มุดก้มจมกองเอกสาร เดินวุ่นวายไปมาตามชั้นเก็บแฟ้ม ชันเข่าบนโซฟากับอาหารที่เขาซื้อมาให้ งีบซบไหล่ของเขาเพียงไม่กี่นาทีก่อนกลับไปทำงานต่ออีกครั้ง

    ทอมจะเคยเห็นแฮร์รี่อยู่รอบกายแบบนี้ไหม
    อยู่ในทุกห้วงความรู้สึก...ในทุกที่ที่ไป

    “...” แจ็คคว้าเสื้อโค้ทจากพนักเก้าอี้มาสวม
    ก้าวยาวๆ ไปทางประตู เอื้อมมือปิดไฟ

    มือเล็กแตะปรามมือใหญ่
    ‘ไม่ต้องปิดก็ได้ เดี๋ยวผมกลับมาอีกอยู่ดี’

    “...” 

    ในทุกห้องที่เคยใช้เวลาด้วยกัน

    ไฟในห้องมืดดับ ความเหงาบีบหัวใจ
    แง้มประตูไว้ มองลอดเข้าไปเป็นครั้งสุดท้าย

    ‘ปิดประตูให้ทอมด้วยนะ ขอบคุณครับ’


    ไม่มีวันจากไปไหน

    ประตูค่อยๆ งับปิดลง

    ไม่มีวัน.

    .
    .

    “วันนี้อยากกินอะไร...”

    ถามเสียงเบา มือใหญ่ประคองความคมใบมีดผ่านไรหนวดเคราบางๆ ซึ่งถูกกลบด้วยครีมขาวนุ่มกันระคายผิว คนถูกถามแค่มอง ไม่พูดอะไร เจ้าของคำถามจ้องตอบ

    อ่านนัยน์ตาคู่สวยราวพระจันทร์เต็มดวง

    “เหมือนเดิมสิใช่ไหม”

    เพยิดคางนิดๆ ตอบรับ

    “เหมือนเดิม ที่แปลว่าไม่กิน อีกแล้ว...” เสียงทุ้มบ่นพึมพำ จุ่มมีดโกนลงน้ำ ปาดเช็ดคราบลงบนผ้าขนหนูซึ่งพาดอยู่ตรงหัวไหล่ ก่อนเท้าแขนแต่ละข้างเข้ากับเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ที่ซึ่งคนตัวเล็กกว่ากำลังนั่งห้อยขาอยู่

    มือขาวราวหิมะเอื้อมมาเกลี่ยไรผมสีบลอนด์ปรกหน้าผากกว้างขึ้น ลูบขมับซ้ายขวาข้างละทีเก็บผมทุกเส้นให้โอนอ่อนไปทางหลังใบหู การกระทำด้วยความเอ็นดูไม่เพียง ‘ไม่’ ทำให้ยิ้ม แต่ยังทำคนได้รับถอนหายใจ

    “บางทีฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำบ้าอะไรอยู่”

    คนฟังจับใจความได้ว่า คนพูด ‘ไม่รู้ว่าตัวเองมาเฝ้าดูแลคนรักของพี่ชายให้ทำไม’

    แอนดี้ทิ้งศีรษะลงบนตักคิลเลียน

    “นายจะรอเขาไปถึงเมื่อไร...”

    ไม่หวังได้คำตอบ แต่ยังเฝ้าถาม
    เผื่อคำตอบจะเปลี่ยนไป

    คิลเลียนนั่งนิ่งให้คนเหนื่อยใจซบตัก ก่อนมือเล็กจะถูกดึงไปวางไว้บนเรือนผมสีอ่อน แอนดี้ชอบอ้อนให้เขาลูบหัวให้ ทุกวันนี้เขาเลยรู้สึกเหมือนได้เลี้ยงหมาตัวโตๆ

    โงหัวขึ้นเองเมื่อพอใจ

    ใช้ผ้าขนหนูหมาดๆ ปาดครีมที่หลงเหลือออกให้ แอนดี้มือหนักกว่าคริส แต่ก็พยายามเบาเท่าที่ได้ ต่อเมื่อคราบขาวอันตรธานหายไปหมด ความงดงามจึงกลับมาเฉิดฉายชัดอีกครั้ง

    เช่นเดียวกับรอยแผลเป็นพาดยาวตัดลำคอ


    คิลเลียนยีหัวแอนดี้เบาๆ เชิงขอบใจ
    เจ้าตัวเบี่ยงหลบ “พอเลย...”
    ทำเจ้าของมือหลุดยิ้มน้อยๆ

    ไม่ปล่อยให้ต้องกระโดด แอนดี้อุ้มร่างเล็กลงมา เท้าแตะพื้นเจ้าตัวก็เดินหาย ทิ้งเขาไว้ในห้องอาบน้ำ เก็บกวาดอุปกรณ์การโกนหนวดอยู่คนเดียว เขาไม่เคยดูแลใครขนาดนี้ แม้กระทั่งกับภรรยา แต่กับคิลเลียน...ไม่รู้สิ บางครั้งเราก็เกิดมาเพื่อแพ้ทางใครบางคนจนยอมทำทุกอย่างให้ได้ 

    คิลเลียนไม่เคยขอ แต่เขาสงสาร 
    ก็ตอนนี้เจ้าตัวพูดไม่ได้

    ซึ่งถือว่าดีกว่าตาย ต้องขอบคุณโจเซฟที่ใจร้อนเกินไป ทำให้รอยปาดบาดเข้าบริเวณกล่องเสียงเสียส่วนใหญ่ และการรีบไปไม่รอดูเหยื่อตายก็ช่วยถ่วงเวลาจนแอนดี้พบอีกฝ่ายได้ทัน คิลเลียนรอดมาโดยต้องสูญเสียเสียงของตนไป แถมยังต้องแกล้งตายอีกครั้งเหมือนคราวที่หลบซ่อนจากฟินน์

    ต่างเพียงครั้งนี้ ต้องซ่อนตัวจากโจเซฟ

    และมันยากกว่าเมื่อคราวต้องหลบลี้หนีเด็กหนุ่มเจ้าหน้าที่ฝึกหัดหน่วยสืบราชการลับมากนัก โจเซฟเป็นมือขวาของคริสมานาน ในตำแหน่งแรกเริ่มอย่างนักสืบเอกชน เจ้าตัวรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคิลเลียนและคริสเพราะคอยดูแลมาตลอดสี่ห้าปีที่ผ่าน ทุกความเคลื่อนไหวของคิลเลียนอาจถูกแกะรอยได้หมด พ่วงด้วยทรัพยากรสนับสนุนจากแม่ของเขา โอกาสของโจเซฟยิ่งมีมาก แอนดี้เลยต้องพาคนน่าสงสารมาอาศัยในคฤหาสน์ริมทะเลตระกูลลาวเดน ณ ไอร์แลนด์ บ้านเกิดเจ้าตัว คิลเลียนต้องอยู่แต่ในบ้าน ไม่อาจพบเจอใครให้ก่อร่างสร้างเป็นเบาะแสในทางใดๆ ได้เด็ดขาด

    และจะติดต่อคริสก็ไม่ได้

    ความเลวร้ายอยู่ที่ คริสยังไม่รู้ตัวว่าโจเซฟเป็นหอกข้างแคร่ซึ่งได้กรีดแทงทำลายผู้เป็นดวงใจของตน ไม่รู้ว่าคิลเลียนเกือบตาย เป็นใบ้ ต้องหลบซ่อน เพราะแอนดี้คิดว่าการติดต่อคริสจะเป็นภัยต่อคิลเลียนอย่างที่สุด หากโจเซฟรู้ระแคะระคายต้องกลับมาเก็บงานเป็นแน่

    หมอนั่นย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้อง ‘ดอน’
    โดยเฉพาะการกำจัดจุดอ่อนไม่ให้ศัตรูได้ใช้

    แอนดี้ไม่แน่ใจว่าโจเซฟทำยังไงให้คริสคิดว่าคิลเลียนสบายดีตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แต่คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรหากหมอนั่นจะอ้างกับคริสว่าให้ติดต่อคิลเลียนโดยตรงไม่ได้ เพราะกลัวแม่ของพวกเขาจะรู้และส่งคนมาจัดการ โจเซฟอ้างได้อยู่แล้ว ในเมื่อแม่ก็ต้องการให้คิลเลียนหายไปจากโลกนี้จริงๆ เพื่อให้คริสไม่มัวพะวงและโฟกัสแต่งานของดอนเท่านั้น

    เพราะดอนเป็นตำแหน่งที่สำคัญ

    เมื่อทุกอย่างคลี่คลายและได้ดั่งใจผู้เป็นแม่ เรื่องราวก็เปิดเผยตัวเองว่าอดีตดอนน่าเร่งรัดให้คริสขึ้นเป็นดอนเพราะอะไร หล่อนคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่าสงครามระหว่างตระกูลมาเฟียใหญ่ทั้งหกในนิวยอร์กกำลังจะเกิด และตัวหล่อนเองกำลังถูกแก๊งอื่นหมายหัว จึงอยากได้เครื่องการันตีว่าหากตนไม่รอดจริงๆ มาร์คีโอเน่จะดำเนินต่อไปได้ 

    คริสติน่าหวังใช้ประโยชน์จากความอัจฉริยะและเลือดเย็นของลูกชายคนโตมาช่วยให้ธุรกิจตระกูลไม่ซบเซาหลังสงครามล้างเลือดอันไม่อาจหลีกเลี่ยง

    “สวมโค้ทด้วย คิลลี่ อย่าให้ต้องจับใส่”

    บ่นเสียงดังเมื่อเดินผ่านโซฟาและเห็นคนนั่งกอดเข่ายังอยู่ในชุดบางๆ หน้าหนาวปีนี้เนิ่นนานกว่าทุกครั้ง ไม่ยอมลาจากไปสักที แอนดี้ไม่อยากให้คิลเลียนป่วย เพราะเกรงว่าหากอีกฝ่ายเจ็บคอขึ้นมาคงทรมานเอามากๆ แผลที่โจเซฟทำไว้ด้านนอกอาจดูไม่เป็นไรเท่าไรแล้ว แต่มันรังความเสียหายให้กับลำคอนั้นอย่างสาหัสจริงๆ

    "..." คิลเลียนลุกขึ้น ไม่ได้หาเสื้อมาสวมหรอก หนีเข้าห้องนอนไปเลยต่างหาก แอนดี้รู้อยู่แล้ว ไม่มีใครสั่งพ่อตัวดีได้นอกจากคริส รู้ดีแต่ปากยังบ่น และแม้บ่นแต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายคว้าเสื้อโค้ทตามไปสวมให้ บางทีครั้งนี้อาจช้าเกินไปสักหน่อยที่จะปกป้องอีกฝ่ายจากสภาพอากาศหนาว

    เสียงไอแห้งๆ จากคนคอพังดังลอดห้องนอน

    แอนดี้ผลักประตูเข้าไป แน่นอนว่าพร้อมเสื้อโค้ทตัวอุ่น คิลเลียนไม่เปิดไฟ ปล่อยให้แสงจันทร์สาดไล้มุมห้องบริเวณที่ตั้งเตียงนอน นั่งชันเข่ามองดวงแสงสีเงินกระจ่างใสนอกหน้าต่าง คนตัวโตเดินไปปิดทั้งหน้าต่างทั้งม่านโดยทันที เล่นนั่งตากลมหนาวโชยพัดเข้าหน้าเข้าตัวแบบนี้จะไม่ให้ป่วยได้ยังไง 

    "ไหนดูซิ"

    คนตัวโตนั่งลงบนเตียงอีกฝั่ง ขยับเข้าใกล้ 
    เอื้อมมือใหญ่แตะหน้าผากเจ้าตัว "...รุมๆ นะ"

    เขาคลุมเสื้อโค้ทลงบนไหล่เล็ก 
    สบตาคู่สวย ดุด้วยน้ำเสียงจริงจัง 

    "เป็นเด็กดีหน่อยไม่ได้รึไง อยากให้คริสหนักใจเพิ่มเหรอ"

    คิลเลียนมองกลับ แอนดี้ไม่ใช่คริส จึงไม่เคยหลบตาเขา เห็นประกายความห่วงใยที่ถักทออยู่ในดวงตาคู่แฝดของคริสแล้วหัวใจจึงอ่อนยวบลงเล็กน้อย แม้ไม่เหมือนซะทีเดียวแต่ก็ช่วยบรรเทาความคิดถึง และอย่างอีกฝ่ายว่า หากคริสรู้ว่าเขาป่วยคงไ่ม่สบายใจ

    มือเล็กยกขึ้นแตะชายเสื้อโค้ท
    ค่อยๆ สอดแขนตนเข้าไปทีละข้าง

    แอนดี้นั่งมองอยู่เงียบๆ
    อ้างชื่อคริสหน่อยก็ได้ผลทุกครั้ง

    ความรู้สึกวูบโหวงเหมือนมีโพรงอยู่ในอกค่อยๆ ขยายตัวเป็นวงกว้าง มันไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่เป็นอะไรที่ว่างเปล่ากว่านั้น เขารู้สถานะตัวเองดีว่าไม่เคยสำคัญอะไร เป็นได้อย่างมากก็เพียงเงาของคริสตลอดมา และช่วงเวลานี้เป็นเพียงบทหนึ่งในนิทาน ที่เด็กน้อยได้ของเล่นของพี่ชายมาดูแลชั่วคราว เพราะคุณแม่สั่งห้ามพี่ชายแตะต้องของชิ้นนั้น 

    สุดท้ายยังไงก็ต้องคืน

    คิลเลียนสวมเสื้อโค้ทเสร็จ
    กลับไปนั่งมองพระจันทร์

    แต่ระหว่างที่ยังอยู่กับเขา...

    พระจันทร์แฝดสีฟ้าตรงหน้าส่องสว่างงดงามยามต้องไอจันทร์ ทั้งเยือกเย็นและลึกลับเกินจะหยั่ง แต่เพราะอย่างนั้นมันจึงน่าหลงใหล ตั้งแต่แรกสบ...จนถึงตอนนี้ เหมือนมีแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทาน คอยดึงเขาเข้าหา ไม่ว่าตอนเป็นเด็กเลี้ยงม้า มาเฟียคู่แข่ง หรือ...คนรักของพี่ชาย

    ระหว่างคิด...ปลายจมูกก็เคลื่อนเข้าฝังลงข้างแก้มขาวแล้วโดยไม่รู้ตัว

    คิลเลียนไม่ตกใจ ไม่ได้หลบ แค่หลุบตาคู่โตลงมองเท่านั้น นั่นทำให้เขายิ่งรุกคืบเข้าไป เอียงหน้า ประทับจุมพิตแผ่วเบา โสตประสาทได้ยินเสียงหัวใจตนเองชัด แต่คิลเลียนก็ยังนิ่ง แอนดี้ถือวิสาสะบดเบียดกลีบปากลงไป หนักหน่วง แนบแน่น โถมตัวเข้าหา...บังคับให้อีกฝ่ายต้องเอนหลังราบกับผืนเตียง 

    "..."

    ไม่เพียงไม่ขัดขืน
    แต่ไม่ทำอะไรเลย

    ไม่มีสัมผัสตอบรับยามเมื่อจูบ
    ไม่มีร่องรอยความปรารถนา

    แอนดี้ค่อยๆ ลากไล้ริมฝีปากออกมาทางมุมแก้ม ผ่านสันกรามสวย ลงมาตามลำคอขาว ทิ้งจุมพิตอ่อนโยนไว้กับรอยแผลเป็นพาดยาว ไล่เรื่อยลงมาถึงแผ่นอกบาง ที่ซึ่งทำให้เขาหมดแรงจะทำอะไร ได้แต่ทิ้งศีรษะลงไปซบ 

    ไม่มีแม้เสียงเต้นระรัวของหัวใจ

    แอนดี้โงหัวขึ้น เม้มปาก คว้าผ้าห่มจากปลายเตียงขึ้นมาคลุมถึงลำคออันบอบบางนั้น ส่งเจ้าตัวเข้านอน แล้วลุกออกไป

    ต้องยอมรับ เหมือนยังไง ก็ไม่ใช่

    "ราตรีสวัสดิ์ คิลลี่"

    ต้องยอมรับ...ไม่มีใครแทนใครได้จริงๆ

    .
    .

    'ฉันให้เวลานายมามากแล้ว พี่แจ็คก็ยังไม่ฟื้นอยู่ดี จะไปกันได้หรือยัง'

    ทอมไม่ได้ตอบ และแม้จะเจ็บปวดเพียงใด ก็จำใจถอดแหวนแต่งงานของตนออกจากนิ้วนาง วางคืนไว้ที่หัวเตียง เขาทำใจไม่ได้ หากต้องสวมใส่มันไว้ต่อจากนี้... ในตอนที่เขากำลังจะทรยศเอิร์ล

    ทอมยืนขึ้น ยังกุมมือแจ็คไว้
    โน้มตัวลงไปกระซิบ

    'ผมรักพี่นะ...'

    ราวกับหวังว่าคนที่หลับใหลจะได้ยิน

    ริมฝีปากช้ำเลือดจากการกัดขบตัวเองพรมจูบลงบนหน้าผากที่แตก แก้มและกรามที่ช้ำ จบลง ณ เรียวปากซีดเซียวของคนเจ็บ ในจังหวะเดียวกับที่น้ำใสไหลรินจากดวงตา ระแก้มเนียนลงมาถึงปลายคาง สลัดร่างหลุดร่วงลงอาบแก้มของคนที่นอนไม่รับรู้อะไร

    ...

    แผลถูกยิงของทอมไม่ได้ถึงตาย
    แต่หลายเดือนผ่านไป กลับไม่ฟื้น

    กระสุนเฉียดขั้วหัวใจราวกับปาฏิหาริย์ แพทย์ช่วยชีวิตทอมเอาไว้ได้เฉียดฉิว แต่ร่างกายที่เสียเลือดมากจนอ่อนแอถึงที่สุดกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เพียงสมองยังทำงานและยังหายใจ โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมเจ้าตัวจึงยังหลับใหลอยู่เช่นนั้น

    "ฟื้นสิ เจ้าหญิงนิทราของพี่..."

    แจ็คพึมพำเสียงแห้งแหบ

    สลับกับการแวะเข้าไปตรวจตราทั้งธุรกิจของเอิร์ลและเรดแฮนด์ เขามาเฝ้าทอมทุกวัน ทุกวัน...ทำได้เพียงแค่รอ...ทำได้เพียงแค่กุมมือบอบบางนั้นเอาไว้ จุมพิตซ้ำๆ เป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไร ไอเย็นเล็กๆ จากแหวนแต่งงานให้ความรู้สึกอันอธิบายไม่ได้ยามเขาแนบแก้มตนลงไปกับฝ่ามือเล็ก ขณะที่ความปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงของมันบดขยี้หัวใจของเขาให้แหลกสลายทั้งเป็น

    "แกต้องกลับไปนอนบ้าง แจ็ค..."

    เสียงแบร์รี่ดังขึ้นจากด้านหลัง

    เพราะเอิร์ลหงุดหงิดกับลูกน้องทุกคนและไม่ฟังใคร คนอื่นๆ จึงต้องไปตามแบร์รี่กลับมาช่วยดูแลเพื่อนรักของตนอีกที แน่นอนว่าเขาเต็มใจทำให้ในฐานะเพื่อน แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานให้แล้วก็ตาม เขากลับมาขับรถให้แจ็ค คอยจ้ำจี้จ้ำไชให้มันกินอิ่มนอนหลับ คอยรับฟัง...แม้หลังจากเกิดเรื่องมันจะไม่ค่อยพูดอะไร แต่ก็มีอย่างอื่นให้ฟัง เพราะนานๆ ครั้ง อยู่ๆ มันก็นั่งร้องไห้ออกมาในรถ

    "วันนี้ฉันรู้สึกโหวงๆ แต่เช้า..."
    "ยังไง"
    "ไม่รู้" ส่ายหน้าช้าเชื่อง "แค่...ไม่อยากทิ้งทอมไปไหนเลย"

    แบร์รี่ถอนหายใจ "หน้าแกเหมือนคนไม่ได้นอนมาสิบปี มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าทอมฟื้นวันนี้ แต่แกน็อคตายไปก่อน กลับบ้านเหอะแจ็ค นิคก็เฝ้าอยู่หน้าห้อง มีอะไรเดี๋ยวเขาโทรบอกแกทันทีอยู่แล้ว"

    อ้างถึงลูกน้องของทอมที่คอยดูแลอยู่อีกคนหน้าประตู กระตุกคอเสื้อเจ้าเพื่อนหัวรั้นเบาๆ เป็นเชิงเรียกให้ลุก แจ็คยังนั่งกุมมือนั้นอยู่อีกสักพัก ยังภาวนาให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาอยู่ทุกลมหายใจ ต่อเมื่อแบร์รี่เร่งเร้า และเริ่มยอมรับความจริงว่าคงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในเร็ววัน จึงยืนขึ้น

    โน้มตัวลง พรมเสียงกระซิบ
    คำเดิม...พร่ำย้ำซ้ำๆ ทุกวัน

    ราวกับหวังว่าคนที่หลับใหลจะได้ยิน

    "พี่รักทอมนะ..."

    รักมาก

    "...กลับมาหาพี่สักที"

    .
    .

    ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันอีก

    ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาหา หลังจากเรื่องนั้น...หลังจากผ่านไปหลายเดือนที่ถูกหลบหน้า อนายรินคิดว่าเรื่องของพวกเขามันจบไปแล้วโดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ เมื่อแบร์รี่เงียบหาย เขาก็ไม่กล้ายื้อหรือขัดขวาง เพราะรู้ตัวว่าได้ทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายรุนแรงแค่ไหน หลงเชื่อคำของฟินน์ ช่วยให้แจ็ครถคว่ำ และแบร์รี่กลายเป็นคนทรยศ จนถูกไล่ออก

    แต่แล้ววันนี้ เจ้าตัวก็มาอยู่หน้าร้านของเขา
    พร้อมดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ในมือ

    ให้ใครกันนะ...?

    กรรไกรตัดกิ่งเกือบตัดเข้านิ้วตัวเองแทนหนามกุหลาบ อนายรินตกใจจนทำทั้งกรรไกรทั้งดอกไม้ตกพื้น ยิ่งรับรู้ว่าแบร์รี่กำลังมองเข้ามาผ่านกระจกยิ่งทำเอาประหม่า เก็บกรรไกรไม่ขึ้นสักที จนอีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามา และช่วยเก็บดอกกุหลาบที่ทำหล่นให้

    "...ขอบใจ"
    "ไม่คิดจะมองหน้าเราหน่อยเหรอ" แบร์รี่ทัก

    อนายรินยืนขึ้น ไล่เลี่ยกับที่อีกคนยืน
    เห็นแบร์รี่ยิ้มแล้วได้แต่ยิ้มบางๆ คืนให้

    "เดี๋ยวนี้ไม่อุดหนุนดอกไม้ร้านเราแล้วเหรอ"
    แบร์รี่หัวเราะ "ไม่ได้หรอก..."
    "กลัวสาวไม่ชอบดอกไม้ของเรา?"
    "เปล่า"

    แบร์รี่ยื่นช่อกุหลาบมาตรงหน้า

    "จะให้ซื้อดอกไม้ในร้านมาให้เจ้าของร้านได้ยังไง"

    อนายรินเริ่มทำตัวไม่ถูก "แบร์..."
    "รับดอกไม้เราหน่อยนะ"
    "ทำไมถึง..."
    "ถ้าไม่รับดอกไม้ รับเราเป็นแฟนก็ได้"

    แทนที่จะดีใจ สีหน้าคนฟังกลับเจื่อนลงเรื่อยๆ
    และเรื่อยๆ...เมื่อคนถือช่อกุหลาบเริ่มคุกเข่า

    "แบร์ทำอะไร...เราคิดว่—"
    "คิดว่าเรื่องของเรามันจบแล้วน่ะเหรอ?" แบร์รี่ส่ายหัว "เราแค่ถอยกลับมาคิดทบทวนทุกอย่าง และเราอาจจะคิดนานไปหน่อย แต่เวลาทำให้เราเข้าใจว่าตลอดมาเราสนใจแต่ความรู้สึกตัวเอง เรามัวแต่คิดว่าทำไมนายที่เป็นคนดีมาตลอดถึงกล้าทำร้ายจิตใจเรา กล้าร่วมมือกับฟินน์ทำร้ายแจ็ค..."

    คนร่ายยาวพักหายใจช่วงหนึ่ง "พอมาคิดอีกที เราก็ไม่ใช่คนดีอะไรเลย จะมีสิทธิ์อะไรไปว่านายได้ และถ้าความจริงที่เรากำลังจะบอกจะทำให้นายไม่อยากยุ่งกับเราอีกเราก็ไม่ว่าเลย แต่นายมีสิทธิ์รู้ เราอยากให้นายรู้ก่อนตัดสินใจอะไร"
    "ความจริงอะไร...ตัดสินใจอะไร"
    "ตอนที่ยังทำงานกับพวกเอิร์ล เราไม่ได้แค่ขับรถหรือดูแลแจ็คเฉยๆ...เราเป็นมือสังหารของเอิร์ล"
    "..."
    "เราฆ่าคนตามใบสั่ง"

    อนายรินไม่ได้ดูตกใจหรือเสียขวัญมากอย่างที่อีกฝ่ายกลัว ตั้งแต่รู้ว่าแจ็คเป็นใคร เขาก็พอเดาได้ว่าแบร์รี่ซึ่งเป็นลูกน้องต้องรู้เห็นคลุกคลีกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แม้ไม่ได้คาดหมายว่าคนน่ารักจิตใจดีอย่างแบร์รี่จะลงมือฆ่าใครได้ลงคอก็ตาม

    "ตอนนี้เราไม่ใช่ลูกน้องมาเฟียแล้ว เราอาจเคยเป็นคนไม่ดี แต่เราอยากทิ้งอดีตนั้นไว้ข้างหลัง และอยากให้ชีวิตที่เหลือของเรามีนายอยู่ด้วย นายจะว่ายังไง..."

    อนายรินเม้มปาก เอาแต่ก้มมองดอกไม้
    ยิ่งแบร์รี่พูด น้ำตายิ่งพาลจะไหล

    "เราอาจไม่มีความฝันสวยหรูมาขายให้ ว่าเราจะหนีจากชีวิตที่นี่ไปเริ่มต้นอนาคตใหม่ เรามีแค่ปัจจุบัน มีแค่วันนี้ มีแค่ใจที่อยากดูแลนายทุกๆ วัน เราขอทำหน้าที่นั้นได้ไหม..."
    "แบร์ยืนก่อน..."
    "เราไม่—"
    "ไม่งั้นเราจะร้องไห้แล้วนะ"

    อนายรินพูดเสียงอู้อี้ แบร์รี่เลยต้องรีบลุกยืน และกอดคนขี้แยเอาไว้ทั้งที่มือยังกำช่อดอกไม้ พอได้กอด เจ้าตัวก็ไม่ยอมปล่อย ฝั่งคนยังมีอะไรพูดจึงกระซิบต่อไปข้างใบหู

    "ที่เราคิดได้ส่วนหนึ่งก็เพราะเห็นแจ็คมันเป็นอย่างนี้ด้วยละ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เราไม่อยากปล่อยเวลาผ่านไปเฉยๆ จนถึงวันที่สายเกิน..."

    คนในอ้อมแขนสะอื้นแข่งเสียงกระซิบ

    "ไม่อยากต้องมานั่งบอกรักใครในวันที่เขาไม่อาจรับรู้"

    แบร์รี่ถอนกอด ใช้มือข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาบนใบหน้าอันเปียกปอน อนายรินรวบช่อกุหลาบสีแดงเข้าไปกอด กุหลาบช่อแรกที่เคยได้รับในชีวิต เพราะเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ จึงไม่เคยมีคนรักที่ผ่านมาคนไหนคิดให้ดอกไม้เขาเลย ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาชอบดอกไม้แค่ไหน ถ้าไม่ชอบ คงไม่เปิดร้านดอกไม้

    มีแต่แบร์รี่ที่ใส่ใจ
    มีแต่แบร์รี่ที่รู้จักเขาจริงๆ

    "แบร์จะขอดูแลเราตอนนี้ทำไม ในเมื่อแบร์ก็ทำมาตลอดอยู่แล้วตั้งไม่รู้กี่ปี..."

    ตั้งแต่รู้จัก...แบร์รี่ก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด

    อนายรินก้มลงสูดกลิ่นหอมจากดอกไม้ช่องาม
    แบร์รี่อดไม่ได้ ลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

    "แปลว่าอนุญาตให้ทำไปเรื่อยๆ ใช่ไหม"

    อนายรินพยักหน้ารัวๆ
    ยิ้มหวานทั้งน้ำตา

    ไม่ต้องมีชีวิตที่ดีพร้อมอะไรมากมาย

    แค่เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว

    .
    .

    แจ็คงีบหลับไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง

    ความรู้สึกวูบโหวงเหมือนมีโพรงว่างเปล่าอยู่ในอกไม่ได้จางหายไปเมื่อยามตื่น เขาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะรีบกลับไปเฝ้าหัวใจที่หลับใหลของตนอีกครั้ง แบร์รี่นั่งหลับรออยู่โถงกลางชั้นล่างของตัวบ้าน ต่อเมื่อขายาวๆ สับเท้าลงบันไดมา เจ้าตัวก็ลืมตามองอัตโนมัติ

    "นอนแค่นี้จริงดิ"
    "อืม"

    เห็นแววตาเป็นกังวลของมันแล้วเปล่าประโยชน์จะยื้อ แต่ก็ยังทำ "แกแน่ใจนะว่าจะไม่—"

    "แป๊บนะ"

    แจ็คตัดบทเพราะโทรศัพท์บ้านดังขึ้น
    เดินไปรับ "สวัสดีครับ..."

    แบร์รี่นั่งมองเงียบๆ
    เห็นเจ้าตัวหน้าถอดสีลงเรื่อยๆ

    ก่อนวางสาย และหันมาบอก 
    "แกรอเดี๋ยว"
    "มีเรื่องอะไรเปล่าวะ"

    แจ็คไม่ตอบ เดินหายขึ้นบันไดกลับไป
    ลงมาอีกทีในชุดเสื้อผ้าสีดำทั้งตัว

    สูทดำ โค้ทดำ ถุงมือดำ

    แบร์รี่ไม่กล้าปริปากถามอะไรอีกเลย

    .
    .

    แอนดี้ดูหงุดหงิดตั้งแต่เช้า

    คิลเลียนบอกได้เลยว่าเจ้าตัวมีเรื่องไม่สบายใจ เจ็บปวดใจ แต่ไม่พูด ทั้งที่ปกติแล้วเป็นคนพูดไม่หยุดและบ่นเขาไปเรื่อยทุกเรื่อง วันนี้หลังกลับจากทำเรื่องสัพเพเหระนอกบ้านเช่นทุกวัน อีกฝ่ายเพียงแค่เข้ามาปลุกเขา สั่งให้อาบน้ำ เพราะจะพาไปข้างนอก ไม่อธิบายด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงแน่ใจว่าเขาจะปลอดภัยหากออกไป และยื่นเสื้อผ้าชุดเฉพาะเจาะจงให้สวมใส่

    สูทสีดำ โค้ทดำ ถุงมือดำ

    เขาเลิกคิ้วสูงแบบยังเอาลงไม่ได้แม้หลังแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว

    ขึ้นรถ แอนดี้ก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ
    จนคิลเลียนคว้าฝ่ามือใหญ่มาไว้ในมือ

    ใช้นิ้วเขียนข้อความล่องหน

    'ไปไหน'

    คนตัวโตสบตาเขา
    เนิ่นนาน ชั่วขณะ

    ในแววตาคู่นั้น 
    บางอย่างเปลี่ยนไป

    บอกไม่ได้ว่าอะไร

    "..."

    บางที 
    อาจเป็น...

    บรรยากาศ?

    .
    .

    ADDED**

    นอกจากอยู่บนเครื่องบิน คิลเลียนก็ไม่รู้อะไรอื่นอีก ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน ต้องไปพบใคร หรือไปงานศพใคร...? เขาเดาได้จากเสื้อผ้าสีดำทั้งชุดที่แอนดี้ใส่ และหาให้เขาใส่ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าทำไมแอนดี้ถึงไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่พาเขาออกมา นั่งรถไปสนามบิน ยันขึ้นเครื่อง จนปัญญาจะหาคำตอบ คิลเลียนตัดสินใจนอนตลอดการเดินทาง...ไปถึงก็คงรู้เอง

    “...” คนตัวโตแอบจ้องมองใบหน้างดงามยามหลับใหลอยู่เงียบๆ

    ยังโหยหาทุกลมหายใจ แม้เมื่อเคียงชิดใกล้ออกปานนี้ เขากุมมือตนไว้บนตัก ได้แต่ใช้สายตาโลมไล้สัดส่วนเลอค่าของรายละเอียดบนดวงหน้านั้น ความกลมลึกของเบ้าตา ความรั้นของปลายจมูกเล็กราวลูกแมว ความบางนุ่มนิ่มน่าลิ้มลองของริมฝีปากสีอ่อน ทุกอย่างยังเหมือนฝัน...ทุกครั้งที่ได้มอง

    ปลายเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ระลาดไหล่เล็กทำเขาอมยิ้มขึ้นมาน้อยๆ...คิลเลียนไม่ได้ตัดผม

    ‘ชอบ...ชอบคุณผมยาวประมาณนี้’

    คนตัวเล็กเปลี่ยนอิริยาบถ
    เอียงคอมาทางเขา 

    ซบไหล่หนาน่าพักพิงได้พอดี

    “...” 

    ก้มใกล้ ลมหายใจอุ่นเป่ารดเรือนผมนุ่มเบาๆ
    เพียงนิดเดียวเท่านั้น กลับทำเจ้าตัวตื่น

    พระจันทร์คู่โตส่องสว่างมองโลกแวดล้อม พบตัวเองเผลอหลับซบแอนดี้จึงเอียงร่างกลับมาตั้งตรง เจ้าของไหล่ไม่ได้ว่าอะไร เพียงส่งยิ้มให้, อุ่น...ทั้งอบอุ่น ละมุนละไมกว่าที่เคยจนรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับ...ไม่ใช่แอนดี้...ราวกับนี่คือใครอีกคน

    แต่ใครคนนั้นไม่มีวันกล้าสบตาเขาได้แบบนี้

    และทั้งที่ใกล้ชิดอยู่ทุกวันมาเกือบปีโดยไม่เคยคิดอะไรก็กลับคิด หัวใจไม่เคยไหวก็ดันหวั่น คนตรงหน้ายังมองตาเขาด้วยสายตาอ่อนโยนรักใคร่ ไม่หลบเลี่ยงเบี่ยงบ่าย และจากที่ไม่เคยต้องหลบตาใคร ก็ดันต้องมาหลุบสายตา มองมือ มองตัก มองทางเดิน มองผู้โดยสาร

    อย่าว่าแต่คริสเลย แม้แต่สายตาของแอนดี้ก็ไม่เคย ‘รุนแรง’ ขนาดนี้

    “ผมชนะ...”

    เสียงทุ้มที่พึมพำทำคิลเลียนเบิกตากว้าง 

    ไม่มีทาง—

    เกมเล็กๆ ระหว่างเราที่ผมพ่ายแพ้เสมอมา...ครั้งนี้ผมชนะ

    มั่นใจแล้ว แต่เพราะเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาดังๆ ไม่ได้ จึงทำได้เพียงส่งเสียงครวญในลำคออย่างลืมตัว ที่เล็ดลอดออกมาได้มีเพียงลมผะแผ่วแว่วหวีดหวิวคล้ายลูกแมวครางเท่านั้น มันทั้งทำให้คริสทั้งดีใจ —ที่เห็นเจ้าตัวสัมผัสได้ว่าเป็นเขา— และใจสลายไปพร้อมๆ กัน

    “ผมขอโทษ...” คริสกระซิบพร่ำซ้ำไปมา เอื้อมมือแตะลำคอขาว ลูบไล้แผ่วเบาตรงรอยแผลเป็นที่พาดยาวเหมือนปลอกคอ รอยแผลเป็นที่ตอกย้ำว่าคิลเลียนเอาชีวิตมาทิ้งเพราะรักคนอย่างเขาโดยแท้ คนที่เกิดในตระกูลมาเฟียและไม่อาจหนีมันพ้น คนที่เกิดมาเพื่อเป็นศูนย์กลางความเจ็บปวดของคนรอบกาย และสำหรับคนรักที่เกือบต้องมาตายจากไป ก็ไม่มีทะเลคำขอโทษใดจะถมความผิดของเขาได้เต็ม

    คิลเลียนไม่สนใจความเจ็บปวดหรือความรู้สึกผิด, เท่าที่ต้องการคือคริสกลับมาเท่านั้น

    มือขาวสั่นเทาขณะประคองใบหน้าคมคายเอาไว้ แม้ไม่ตั้งใจแต่ความรู้สึกก็ท่วมท้นทะลักทลายไหลรินออกมาทางดวงตา คริสยิ่งดูใจสลายเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนั้น เมื่อเห็น...พระจันทร์แฝดแสนงดงามร่ำไห้เป็นสายฝน และทั้งที่ไม่อาจ...ไม่มีวันได้ยินน้ำเสียงอันไพเราะลึกซึ้งจับใจนั้นอีกแล้ว แต่ในโสตประสาทของเขา เสียงของคิลเลียนยังจะก้องดังอยู่เสมอ แม้ไม่ต้องพูดบอกกันก็ตาม

    ‘ผมไม่โกรธคุณ’
    ‘อย่าขอโทษ’
    ‘ขอบคุณที่กลับมา’

    ทุกถ้อยคำอยู่ในดวงตาคู่นั้น อยู่ในรอยยิ้มเจือจางข้างมุมปาก ในจังหวะร่ำร้องก้องระรัวของหัวใจ ในความเงียบงันระหว่างกัน ในละอองความคิดที่แผ่กลิ่นอายออกมาให้เขาได้สัมผัส ในความรัก...รักจนไม่อาจกลั่นกรองเป็นถ้อยคำใดๆ

    “ขอบคุณนะครับ”

    ขอบคุณที่รอ

    ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตา ณ ปลายคางให้ คิลเลียนเอียงหน้าเข้าหาสัมผัสนั้นราวดอกทานตะวันเอนก้านรับแสงอาทิตย์ มือนั้น, ความรู้สึกที่ได้รับ...ทุกอย่างอบอุ่นสว่างไสวดุจฤดูร้อนได้มาเยือนก่อนเวลา เขากุมมือใหญ่เอาไว้ คริสใช้อีกมือกุมตอบ จ้องมองสีฟ้าเริ่มสดใส

    พอกล้าสบตากันแล้ว...ก็เอาใหญ่

    คิลเลียนมองค้นด้วยหมั่นไส้ ก่อนหรี่ตา ราวกับเพิ่งนึกอะไรออก
    และคริสก็รู้ทัน “แอนดี้หรือครับ? ขึ้นเครื่องกลับไปตั้งแต่เช้าแล้ว...”

    พี่น้องสลับตัวกัน คนน้องต้องการไปให้ทันเพื่อเป็นคนจัดการเรื่องพิธีศพ ส่วนคนเป็นพี่ชายก็ได้โอกาสบินมารับคนรักคนสำคัญด้วยตัวเอง

    คริสนะคริส...แล้วก็มาแกล้งให้สับสนกันแบบนี้ !


    .
    .

    “แอนดี้...”

    มือที่กำแน่นจนข้อหมัดขาวยกขึ้นในฉับพลัน
    ส่งสัญญาณไม่ให้พี่ชายเอ่ยอะไรปลอบ

    “...ไม่เป็นไร”

    ระหว่างนั้นคนอื่นๆ ทยอยเข้าไปหลบพายุฝน ณ อาคารอันใกล้กันหมดแล้วตามคำสั่งดอน รอบบริเวณตอนนี้จึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน กับ...หลุมศพที่ยังปิดไม่ได้ เพราะคนเป็นไม่ทันได้โปรยดินลงไปฝนก็กระหน่ำสาดเทลงมาเสียก่อน ผ้าใบผืนกว้างถูกรีบนำมาขึงกางกันไว้ไม่ให้น้ำฝนไหลเซาะตัวหลุม ทุกอย่างที่ไม่เป็นใจในงานพิธีสะกิดเส้นอารมณ์อันเปราะบางของแอนดี้ให้ขาดผึง แม้พยายามข่มซ่อนสักเพียงใด

    “ถ้านายอยากอยู่ตรงนี้คนเดียว พี่เข้าใจ—“
    “เข้าใจเหรอ?” แอนดี้สวนทันควัน แต่ด้วยเสียงที่เบานัก

    คริสไม่อยากโต้ตอบ ทำได้เพียงตัดสินใจหลบฉากออกมาเงียบๆ ทว่าคล้อยห่างมาไม่ถึงหนึ่งก้าวดี ก็เอี้ยวตัวกลับไปกระซิบกับอีกฝ่าย “ใช่...”
    “...”
    “ที่นายรู้สึกอยู่ตอนนี้ มันไม่ต่างจากสิ่งที่พี่รู้สึกในวันพิธีสืบทอดตำแหน่งเอิร์ลของแจ็คเมื่อหลายปีก่อนหรอก”

    วันที่ต้องถูกตอกย้ำว่านายจากไป
    พี่ทั้งหงุดหงิดและเสียใจเช่นกัน

    ต้องขอบคุณที่ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหก

    หลังสารภาพเพียงสั้นๆ คริสเดินจากไป
    แต่...กลับถูกมือหนาหนักรั้งบ่าเอาไว้

    “กอดหรือเปล่า...”
    “...?”
    “ตอนนั้น...พี่ได้กอดปลอบหลานตัวเองสักครั้งไหม”

    คนถูกถามตกอยู่ในความเงียบกะทันหัน
    สายฝนเคยโปรยปรายก็หยุดลงดื้อๆ เช่นกัน

    ทำไม...ถามอะไรอย่างนั้น?
    แค่อยากประชดประชัน...หรือว่า...

    "ไม่ร้องสิ..."

    อยากให้กอด?

    คริสรวบตัวน้องชายเข้ามาไว้ในอ้อมแขนหลังจากแปลความหมายของคำถามนั้นออก แอนดี้คงนึกน้อยใจ...หากว่าคราวนั้นเขากอดปลอบหลานชายที่เสียพ่อ แต่ตอนนี้กลับไม่ยอมกอดปลอบน้องชายแท้ๆ ที่เสียแม่ ในท้ายสุดแล้ว อีกฝ่ายก็ยังเป็นน้องชายที่รอคอยความรักจากคนเป็นพี่เสมอมา

    "แม่คงไม่ชอบใจแน่ ถ้ามองลงมาตอนนี้..." แอนดี้พึมพำระหว่างยังซบไหล่พี่ชาย

    แม่ชอบเห็นลูกชายแข่งขันชิงดีกัน 
    ทั้งที่สองแฝดต่างต้องการเพียงพี่น้อง

    "แม่รังแกนายพอๆ กับที่รังแกพี่..." คริสว่า สายตาจ้องมองป้ายชื่อหลุมศพ —'คริสติน่า เอเลน่า มาร์คีโอเน่'— "แต่มันไม่มีอีกแล้ว นายไม่ต้องทำตามคำสั่งแม่ หรือคำสั่งใคร ไม่ต้องอยู่ใต้อาณัติใคร หรือเป็นเงาของใคร..."

    ถอนกอด เอื้อมมือออกไปหาบ่าคนเป็นน้อง
    ขณะแอนดี้ไม่มั่นใจว่าพี่ชายหมายถึงอะไร

    "จากนี้ไป นายคือดอน แอนดี้"

    แอนดี้ลูบหน้า มองตาพี่ชาย "คริส..."

    ยังงุนงงกับเรื่องราวที่ได้ยิน ระหว่างดอนคนปัจจุบันค่อยๆ ถอดแหวนประจำตำแหน่งออกจากนิ้วกลางข้างซ้ายของตน คว้ามือน้องชาย วางวัตถุโลหะสูงค่าแห่งตระกูลมาร์คีโอเน่ลงไปตรงกลางฝ่ามือใหญ่ แอนดี้ไม่ได้รวบนิ้วเพื่อรับมันด้วยซ้ำ ยังแบมือค้างไว้

    ไม่คิดว่าคนเป็นพี่จะตัดสินใจแบบนี้
    ไม่คิดมาก่อนว่าพี่ชายจะยังคง...รัก

    "ฉันไม่เคยอยากได้แหวนหรือตำแหน่งอะไร ไม่ว่าเอิร์ลหรือดอน คริส ทั้งหมดที่ฉันต้องการก็แค่พี่ชาย"
    "และนายได้แล้วทุกอย่าง แอนดี้"

    ไม่ว่าแหวน ตำแหน่ง หรือพี่ชาย

    "ฉันรู้สึกว่ามีพี่ชายครั้งสุดท้ายตอนเก้าขวบ..."
    "พี่ขอโทษ"
     "ไม่ต้อง"

    เขาไม่ได้อยากฟังคำขอโทษ
    มันไม่เคยมีค่าอะไร

    "พี่รักนาย แอนดี้" คริสเปลี่ยนถ้อยคำใหม่ ราวกับอ่านใจได้
    "..." แอนดี้กำแหวนดอนแน่น จมูกและตาแดงก่ำ
    ฟังคริสพึมพำ "พี่ไม่เคยไม่รักนาย พี่แค่...พี่ทำผิดต่อนายใหญ่หลวงเกินกว่าจะยอมรับการอภัยจากนาย หรือแม้แต่ให้อภัยตัวเอง..."

    เสียงทุ้มนุ่มแผ่วลงทุกขณะ "พี่ฆ่าเจสสิก้า..."
    "..." แอนดี้ตัวชาวาบ หายใจติดขัด 
    "แม่ใช้เธอมาตามหาพี่ในแอลเอ พี่โกรธ...และ...นายก็รู้..."

    เวลาพี่โกรธ พี่ทำอะไรได้ ใช่...เขารู้ดี
    รอยแผลเป็นข้างขมับเริ่มเต้นตุบๆ ขึ้นมาทันควัน

    คนฟังไม่มีอะไรจะพูด เขาไม่เคยคิดว่าอดีตจะถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง อดีต...ซึ่งยังค้างคาใจมาตลอดหลายสิบปี ทว่าในตอนนี้ที่ทุกอย่างเฉลย  ต่างฝ่ายต่างได้แต่ภาวนาให้มันไม่เคยถูกเปิดเผย ไม่เคยอธิบาย เพราะความจริงนั้นเจ็บปวด และความจริงกำลังพยายามฉีกกระชากพวกเขาออกจากกัน

    แอนดี้ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง

    นั่งไปกับพื้น กอดเข่า อย่างคนไร้เรี่ยวแรง เขาไม่ได้เกรี้ยวโกรธเหมือนที่เคยคิดว่าจะรู้สึกหากได้รู้ใครฆ่าภรรยา และไม่ได้ใจสลายแม้เมื่อรู้ว่าพี่ชายเป็นคนทำ แต่ความว่างเปล่าที่กัดกินหัวใจน่ากลัวกว่ามากนัก อาการชาไล่มาแต่หัวจรดเท้า ความเงียบงันของสัจธรรมที่ว่าไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความจริงได้ดังก้องในโสตประสาท 

    และเขารู้ว่าคริสไม่ได้ตั้งใจ, ก็แค่พลั้งมือ เพราะโกรธแม่
    ก็แค่มีคนต้องรับกรรม เหมือนที่เขาถูกกระทำหนนั้น

    "ช่างมันเถอะ คริส"

    ต้นเหตุทุกความเจ็บปวดระหว่างพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว
    แม่ตายไปแล้ว...ไม่ควรต้องทำให้พี่น้องผิดใจกันได้อีก
      
    "ช่างเถอะ" เขาพร่ำซ้ำ ราวกับจะบอกตัวเองมากกว่า

    คริสยืนมองน้องชายในความเงียบ ยินเสียงฝีเท้าผู้คนในงานเริ่มทยอยกลับเข้ามายังพิธี หนึ่งในนั้นคือจังหวะย่ำของคนตัวเล็ก ซึ่งแม้ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แต่ก็เดินมาลูบหัวสีฟางของน้องชายเขา ปลอบโยนแผ่วเบาในแบบของเจ้าตัว

    คิลเลียนยิ้มให้เขาจางๆ 
    เพยิดคางสั่งเขาฉุดน้องลุกขึ้น

    คนตัวโตยื่นมือให้แอนดี้ เจ้าตัวรับความช่วยเหลือเพื่อยืนขึ้นอีกครั้ง และร่วมพิธีต่อให้เสร็จ คริสถอยมาอยู่ด้านหลังน้องชายหนึ่งก้าว พยักหน้าให้ แอนดี้มองแล้วเข้าใจ สวมแหวนใส่นิ้วกลางข้างซ้าย กลายเป็นดอนคนใหม่ต่อหน้าลูกน้องและแขกเหรื่อในงานทุกคน 

    เริ่มโปรยดินลงไปบนฝาโลงของอดีตดอนน่าเป็นคนแรก

    .
    .

    โปรยดินเสร็จ ฟินน์ปลีกวิเวกมาอยู่เงียบๆ คนเดียว

    ตลอดเวลาที่นี่ คุณย่าสอนอะไรเขาหลายอย่าง ท่านว่าความเป็นทหารในตัวเขามันเด่นชัดตั้งแต่ตอนที่ปฏิบัติการในลอนดอน จู่โจมรวดเร็วดุจสายฟ้า อาจเห็นผลไว แต่ไม่ยั่งยืน และมันสังเกตเห็นได้ง่าย เพราะมาเฟียส่วนใหญ่ไม่ทำกันแบบนั้น 

    'เราใช้ความอดทนเป็นหลัก รอเวลา...จนเหยื่ออ่อนแอที่สุด แล้วค่อยขย้ำ'

    เขารับฟัง แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้

    หน้าที่ของเขาในเอ็มไอไฟฟ์ยังไม่สิ้นสุด ฟินน์รู้แล้วว่าถูกทอมหลอก รู้เพราะภายหลังเมื่อติดต่อกลับไป...หน่วยงานต้นสังกัดชี้ชัดว่าเรื่องแอนนาเบล วอลลิสเป็นเพียงฉากที่ทอมจัดขึ้น เป็นกับดัก เป็นเหยื่อให้เขาตะครุบ รัฐบาลไม่เคยสั่งเก็บเขา จึงไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องหันหลังให้องค์กร

    เขายังอยู่ที่นี่ ก็เพื่อปฏิบัติงานต่อไป
    ในฐานะสายลับที่โอนย้ายมาอยู่เอ็มไอซิกซ์

    ตอนนี้ที่พ่อของเขาขึ้นเป็นดอนแทนลุงคริส
    ก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป

    คนเราเลือกครอบครัวที่เกิดไม่ได้
    แต่เลือก 'บ้าน' ของใจตนเองได้เสมอ

    "ยังไม่คุ้นกับการเข้าสังคมสักทีเลยสิ ใช่ไหม"

    แจ็คเดินมายืนล้วงกระเป๋าอยู่ข้างๆ "เรียนรู้ไว้เยอะๆ นะ อีีกหน่อยนายอาจต้องเป็นดอนต่อจากพ่อ"
    ฟินน์แค่นหัวเราะ "ไม่กลัวผมจะสลายอาณาจักรธุรกิจมาร์คีโอเน่ทิ้งหรือไง"
    พี่ชายยักไหล่ "ไม่ใช่เรื่องของพี่อยู่แล้ว"
    "พูดถึงเรียนรู้นะ...ผมว่าผมได้เรียนรู้อะไรจากทอมยิ่งกว่าจากคุณย่าซะอีก"

    คนโตกว่าหันมามอง "ยังไง"
    "แค่วันนั้นวันเดียว ผมก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายแล้ว ไม่เกี่ยวกับพี่หรือทอมหรอก...แต่เป็นตัวผมเองนี่แหละ หลังจากลั่นไก ผมถึงค้นพบว่า ตัวเองไม่ได้ดีกว่าพวกพี่หรือใครแค่เพราะอยู่ข้างกฎหมาย ก็แค่คนธรรมดา เมื่อถึงเวลาก็พร้อมจะทรยศหลักการด้วยความรู้สึก"

    ไม่มีหรอกเทวดา หรือ ปีศาจ
    ก็แค่จิตใจดีสลับชั่วผสมปนเป
    ก็แค่...มนุษย์

    "ผมตั้งใจยิงทอม เพราะรู้ว่ายังไงพี่ต้องปกป้องทอม"
    เอิร์ลทำเสียงรับรู้ "นายวางหมากให้พี่ตายว่างั้น"

    เพื่อจะได้ทอมมา...อาจใช่

    "ผมรู้ตัวว่ามันฟังงี่เง่า" 
    "ไม่หรอก" แจ็คขัด "ไม่แปลกด้วย พี่ก็เคยเป็นแบบนั้น ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมถึงอยากได้ทอมนักหนา รู้แค่ว่าอยากได้ แค่ความรู้สึกมันบอก รู้ตัวอีกทีก็ยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งรอให้เขาลืมคนในใจอยู่สี่ปี แม่งดูงมงาย แต่ดันได้ผล"
    "พี่โชคดี" ฟินน์ยิ้ม "ผมคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าทอมจะรักพี่ขนาดนั้น"

    รัก...จนสละชีวิตได้

    "เอาตรงๆ เรื่องนั้นก็ทำพี่อึ้งไปเหมือนกัน"

    แจ็คเม้มปาก ก่อนว่าต่อ "พี่ยังเคยคิดด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีพี่ ทอมอาจจะรู้สึกกับนายเหมือนกันก็ได้ พวกนายสองคนมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง บางครั้งทอมก็คิดว่านายเป็นกระจกสะท้อนตัวเอง เขารู้สึกเชื่อมโยงกับนายอย่างอธิบายไม่ได้"
    "แต่บังเอิญว่ามีพี่"
    "ใช่ และพี่ไม่เคยระแวง เพราะรู้ดีว่าหัวใจทอมมั่นคงแค่ไหน"

    แววตาพี่ชายทอประกายจนน่าอิจฉา

    "มั่นใจจังเลยนะ"

    ไม่ใช่เสียงฟินน์
    เสียงนั้นมาจากด้านหลัง

    มาพร้อมอ้อมกอด

    "ลงจากรถทำไม ทอม" 

    แจ็คเหลียวมองคนที่กอดเอวเขาจากข้างหลัง 
    ดุ "ลมมันแรง ฝนก็ยังตกปรอยๆ เรายังไม่แข็งแรงนะ"

    รีบถอดเสื้อโค้ทของตนออกมาคลุมเจ้าตัวเล็ก 

    ทอมยิ้มทะเล้น หันเหความสนใจ "สวัสดี ฟินน์"
    "ไง" คนถูกทักยิ้มน้อยๆ ตอบ "มาก็ดี อยากขอโทษนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาส..."
    อีกฝ่ายยักไหล่ ตัดบท "ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่นอนเป็นผักไม่กี่เดือน กับทำใครบางคน..." เหล่มองแจ็คที่กำลังติดกระดุมเสื้อโค้ทให้ตน "...ร้องไห้ทุกคืน เรื่องเล็กน้อย"

    ทอมฟื้น วันเดียวกับที่โทรศัพท์ทางไกลจากนิวยอร์กแจ้งข่าวว่าคุณย่าเสีย

    วันนั้นแจ็คแทบจะวิ่งวนเป็นหนูติดจั่น ไม่รู้เลยว่าควรทำอะไรก่อน เขาช็อคเมื่อรู้ข่าวคุณย่า ตั้งสติได้ก็สั่งลูกน้องให้จองไฟลท์ด่วนไปนิวยอร์ก แบร์รี่สตาร์ทรถรอขับไปส่งสนามบินแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังก็รั้งเขาไว้อีกหน จากโรงพยาบาล แจ้งว่าทอมรู้สึกตัว นอกจากอ่อนเพลียเพราะนอนโคม่ามาหลายเดือน อาการก็แทบจะปกติ เขาต้องเปลี่ยนจุดหมายปลายทาง เลื่อนไฟลท์ไปอีกวัน จองที่นั่งเพิ่มให้ทอมมาด้วย

    "อย่าให้มีอีกแล้วกัน" ทอมแซวคนที่ยิงตัวเอง

    รอยยิ้มน่ารักยังเขย่าหัวใจฟินน์ได้ แม้เนิ่นนานมาแล้ว ไม่รุนแรงเท่าตอนนั้น แต่ยังพอให้รู้สึก พลันความสงสัยเล็กๆ น้อยๆ ค่อยๆ ซึมซ่านไปทั้งหัวใจ อยากรู้...ทอมเคยรู้สึกอะไรกับเขาสักนิดหรือเปล่า แค่เพียงเสี้ยววินาที...เสี้ยวขณะหนึ่ง หัวใจดวงนั้นเคยมีเขาบ้างไหม

    "ถ้ามีอีก คราวนี้พี่ฆ่ามันจริงๆ แน่"

    แจ็คเอ่ยทีเล่นทีจริง ทอมก็รับมุกด้วยการคล้องแขนตนเข้ากับแขนสามี เป็นเชิงระแวดระวังไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายน้องชายต่างแม่ได้อีก ฟินน์ได้แต่หัวเราะตาม ทั้งที่แววตาว่างเปล่า

    สุดท้ายแล้ว เคยรู้สึกหรือไม่ จะสำคัญอะไร

    ต่อให้เคยรู้สึกบางอย่าง คนแบบทอมก็คงไม่มีทางปล่อยให้ความรู้สึกเช่นว่านั้นเติบโตอยู่ดี ความแตกต่างระหว่างเขาและทอมอาจอยู่ตรงนี้ ตรงที่หัวใจของทอมไม่เคยไหวเอนให้กับกิเลสชั่ววูบ ความตื่นเต้นชั่วคราว ดั่งไม้งามหยั่งรากลึก ปักหลักรักมั่นไม่แปรผันตามสิ่งที่เข้ามาใหม่แต่ละคราว

    "ไปเถอะ คุณน้องชาย"

    ไม่ได้ฟังว่าทั้งสองชวนเขาไปไหน
    มาได้ยินตอนถูกเรียกตามศักดิ์

    ฟินน์มองตามมือเล็กแต่ละข้างที่ลากทั้งตนทั้งแจ็คไป ความรู้สึกอบอุ่นเจือจางถักทอขึ้นในใจเขาช้าๆ แต่งดงาม คนบางคนก็เกิดมาเพื่อเป็นบางอย่างสำหรับเราเท่านั้น และกับคนที่เป็นลูกเมียน้อยอย่างเขา การมีใครสักคนหยิบยื่นความเป็นครอบครัวให้โดยไม่ต้องร้องขอถือว่าดีถมไป

    และเขาไม่ควรหวังอะไรมากกว่านี้

    ถ้าทอมจะสอนอะไรให้เขาโดยไม่รู้ตัว 
    หนึ่ง ความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ความรัก 

    สอง...

    ยังไงครอบครัวก็คือครอบครัว

    .
    .

    "อุ่นไหมครับ?"

    ถามหลังบรรจงพันผ้าพันคอผืนหนาให้ ทับรอยแผลเป็นพาดยาวตัดลำคอไปสนิท เพียงอันตรธานจากสายตาก็รู้สึกสะดวกใจ รู้สึกผิดน้อยลง เจ็บปวดน้อยลง ขุ่นข้องหมองใจน้อยลง แม้ความเป็นจริงที่มันอยู่ตรงนั้นจะยังทิ่มแทงใจเขาอยู่ซ้ำๆ

    เป็นตัวแทนของความจริงที่ว่าเขาส่งคิลเลียนไปตาย

    ความผิดของเขาเองที่เชื่อใจ...ไว้ใจโจเซฟมากเกินไป ไม่เคยแม้แต่ระแวงสงสัยว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นหอกข้างแคร่อย่างนี้ได้ หากคิลเลียนดวงไม่แข็งพอ และแอนดี้ไม่นึกห่วงจนแอบตามรถของโจเซฟไป เขาอาจต้องสูญเสียคนรักอย่างไม่มีวันได้คืน และหากเขาไม่เอะใจจนตรวจสอบพบว่าจดหมายที่เขาฝากถึงคิลเลียนไม่เคยถูกส่ง หากเขารู้ตัวช้ากว่านี้อีกสักนิด...ความเจ็บปวดทรมานจากการรอคอยอาจกลืนกินคิลเลียนไปทั้งเป็น

    ความผิดเขาทั้งหมด แต่คิลเลียนไม่เคยโทษเขา ยังคงรอ...รอเพราะเขาบอกให้รอ

    “มีอะไรหรือเปล่า เหมือนคุณมีอะไรอยากถามผมตั้งแต่ในงานแล้ว...”

    ทั้งคู่นั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน ห่างจากบริเวณหลุมฝังศพของตระกูลมาร์คีโอเน่ออกมา และแม้คิลเลียนไม่มีน้ำเสียงจะเอื้อนเอ่ย แต่แววตาของเจ้าตัวทอประกายเคลือบแคลงสงสัย
    เขาอ่านออก “หรือ...ได้ยินอะไรมา”

    สีหน้าอาจราบเรียบ แต่คริสรู้ว่ามีบางอย่าง จึงหยิบปากกาที่เหน็บอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อสูทออกมา ยื่นให้พร้อมกับมืออีกข้างหนึ่ง คิลเลียนเม้มปาก แต่สุดท้ายก็ยอมรับปากกา
    จรดปลายหัวโลหะลงบนฝ่ามือใหญ่ เขียนคำถามลงไป

    ‘คนในงานพูดกันว่า...’ เว้นช่วง คิด เขียนต่อ ‘คุณวางแผน...’
    คริสตั้งใจรอ แม้พอเดาได้ตั้งแต่คิลเลียนยังเขียนไม่จบ ‘…ให้แม่ตาย’

    คนตัวโตเม้มปาก ก่อนกระซิบ “คุณถาม...เหมือนคุณไม่รู้จักผม”
    คิลเลียนนิ่ง เงียบไป แทบไม่ได้ยินแม้เสียงหายใจ ...ขยับปากกาอีกหน

    ‘ผมไม่แน่ใจแล้ว...’

    ไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้ว ว่าคริสที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ คือคนที่เขารู้จักหรือเปล่า ตั้งแต่พบกันอีกครั้ง ความรู้สึกเล็กๆ ตรงโน้นตรงนี้...สิ่งละอันพันละน้อยที่คิลเลียนเก็บรายละเอียดได้ มันไม่ค่อยเหมือนเก่า อาจยังมีคริสคนเดิมอยู่ แต่ก็มีหลายอย่างต่างออกไป ที่โดดเด่นก็เช่น...การที่เจ้าตัวไม่หลบตาเขาอีกแล้ว

    อย่างคริสเคยว่า การเป็นดอน อาจทำให้ตัวตนของคริสไม่เหมือนเดิมอีกเลย

    “คิลเลียน...” 

    คริสถอนหายใจ คิลเลียนมองสบนัยน์ตาสีครามใต้ท้องฟ้ามืดหม่นนั้น พลังบางอย่างที่สะท้อนกลับมาทำให้เขาต้องกลายเป็นฝ่ายหลบตาคนรัก...อีกครั้ง 

    “ผมจะพูดเรื่องนี้แค่ครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ที่ผมยอมรับตำแหน่ง เพราะผมต้องการมีอำนาจในแก๊งให้มากกว่าผู้หญิงคนนั้น ผมกำลังรอจังหวะที่ลูกน้องจะเชื่อฟังผม และช่วยผมตลบหลัง ไล่อดีตดอนน่าออกจากอเมริกา…” 

    เขาเว้นวรรค “แต่สงครามระหว่างแก๊งปะทุไวกว่าที่คิด แก๊งอื่นหมายหัวทั้งเธอทั้งผม เธอไม่รอด...เรื่องราวมันมีแค่นั้น”

    คริสเล่าถึงความตายของแม่เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา ต่างจากแอนดี้ที่ทั้งหงุดหงิดและดูเหมือนคนอยากร้องไห้ตลอดงานพิธี คนน้องน่ะรักแม่มากอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ถูกทำร้ายจิตใจยังไงก็ไม่ได้ทำให้ความรักจืดจางลง แต่ปัญหาระหว่างคนพี่กับแม่อาจจะหยั่งรากลึกเกินไป เกินกว่าจะเยียวยาหรือเลือนหายเพียงเพราะต้นเหตุไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว

    ครอบครัวที่ไม่เคยให้ความรู้สึกว่าเป็นครอบครัว คงไม่มีความหมายอะไรกับคริส

    คิลเลียนไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่รู้ควรยืนยันว่าเขาเชื่อเจ้าตัวหรือไม่ มันอาจไม่จำเป็นอะไรก็ได้ เพราะแม้ส่วนลึกในใจ...เพียงเสี้ยวหนึ่ง, อาจจะหนึ่งในล้านส่วน, ยังแอบเคลือบแคลงสงสัยอยู่เสมอ แต่สุดท้ายเขาก็พบตัวเองเชื่อสิ่งที่คริสพูดทุกคำ พร้อมทำตามทุกอย่างที่คริสสั่ง

    บอกให้รอก็รอ แม้จะรอแบบมืดบอดอยู่เป็นปี 
    เหมือนคนงมงาย แต่ก็รอ

    อาจเพราะรู้...สุดท้ายยังไง 
    เหตุผลของทุกอย่างที่คริสทำไป...ก็คือเขา

    และแม้คิลเลียนไม่คิดว่าตัวเองรู้จักคริสอีกแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิต...ก็ยังมีเวลาให้รู้จัก สำหรับเขา ชีวิตคู่คือการเรียนรู้ซึ่งกันตลอดไป เขาไม่เชื่อ...ไม่มีทางหรอกที่เราจะเป็นคนคนเดียวกับใครสักคนอย่างแท้จริง รู้ซึ้งถึงทุกรายละเอียดของกันและกัน ไม่มีเรื่องเล็กๆ สักเรื่องปิดบังต่อกันเลย แต่มันไม่สำคัญอีกแล้ว เขาไม่สนใจจะรู้หรือเหนื่อยหาคำอธิบายใดๆ

    นอกจาก ‘รัก’ ...ก็ไม่อยากทำอะไรอื่นอีกแล้ว

    ครั้งสุดท้าย...ปากกาขยับ

    ‘ผมเชื่อคุณ’

    .
    .

    ( ส่งท้าย )

    สายธารสีทองพร้อมละอองฟองขาวนุ่มกระชากตัวขึ้นฟ้า

    ซ่านกระเซ็นไปทั่วบริเวณ หยดซึมลงตามเสื้อสูทชุดดำ ไหลลงตามคอขวดและมือคนถือ เอิร์ลส่งมีดเปิดแชมเปญให้ลูกน้องเก็บ รินเครื่องดื่มสำหรับโอกาสแห่งการฉลองลงบนแก้วใสที่อยู่บนยอดพีระมิด ให้ของเหลวสีสวยค่อยๆ ไหลย้อยลงมาเข้าปากแก้วซึ่งวางเรียงกันไล่ชั้นลงมา ถัดกลุ่มผู้ชายมากหน้าหลายตาไปข้างหลัง คือประตูไนท์คลับเปิดใหม่ ที่มีป้ายใหญ่สีดำประดับตัวอักษรทองส่องสว่างด้วยหลอดไฟ เขียนว่า

    Earl’s Red Hand
    เรดแฮนด์...ของเอิร์ล 

    กิจการเปิดใหม่แห่งแรกหลังจากสององค์กรควบรวมบริษัทกัน

    ไม่มีอีกแล้ว แค่เอิร์ล หรือ แค่เรดแฮนด์ มีแต่เอิร์ล’ส เรดแฮนด์เท่านั้น แจ็คกับทอมพูดคุยกันเรื่องนี้ตั้งแต่กลับจากงานศพคุณย่า และลูกน้องของพวกเขาก็ไม่มีใครไม่เห็นด้วย เพราะที่ผ่านมาก็ทำงานร่วมกันได้อย่างดีจนขี้เกียจจะแยกย้ายกันไปไหน แถมแบบนี้อาณาเขตของสองแก๊งก็จะยิ่งเข้มแข็งและขยายออกไปได้ง่ายด้วย ไม่มีใครกล้าแตะแก๊งที่ใหญ่ที่สุดในอีสต์เอนด์ตอนนี้อย่างแน่นอน

    “ไหนคืนยัยหนูมาให้ป๊ะป๋าอุ้มหน่อย”

    แจ็คกางผ้าเช็ดหน้าออกเช็ดมือที่เปื้อนแชมเปญ ก่อนรับ ‘ยัยหนู’ มาจากทอม เด็กน้อยดูตื่นเต้นกับผู้คนมากมายที่รายล้อม แม้ยังไม่ถึงวัยจะรู้เรื่องราวความเป็นไปใดๆ รอบตัวก็ตาม ทั้งคู่ถือโอกาสที่เดินทางไปร่วมงานศพคุณย่า รับ ‘โรส’ มาจากนิวยอร์ก ทารกน้อยกำพร้าพ่อแม่ที่คุณย่าเคยฝากฝังเอาไว้หากแจ็คและทอมอยากรับเลี้ยง และเป็นอีกเหตุผลให้พวกเขาอยากควบรวมแก๊งเป็นหนึ่งเดียว 

    เพื่อที่หัวหน้าแก๊งจะได้ผลัดกันดูแลลูก
    เวลาอีกคนต้องทำงาน

    “พี่แจ็ค มือไม่ล้างอย่าจับหน้ายัยหนู” ทอมแทบจะตีมือใหญ่อยู่แล้วตอนที่ดุ โชคดีเขาหลบทัน ปล่อยให้อีกคนเช็ดเหงื่อตรงไรผมของลูกสาวเอง 
    “ท่าจะร้อนนะ ไม่ต้องใส่ตัวนอกแล้วก็ได้มั้ง”

    ทอมเห็นด้วยกับแจ็ค
    แกะกระดุมเสื้อคลุมตัวน้อยของยัยหนูออก

    “เออ ผมมีคำถามหนึ่ง” โจ โคลเอ่ยขึ้นกลางวงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
    “อะไรวะ” พอลถามแทนทุกคน
    “ผมยังไม่รู้เลย ตอนนี้ที่เรารวมแก๊งกันแล้ว ใครเป็นประธาน? ใครเป็นหัวหน้าแก๊ง?”

    นิคทำหน้าครุ่นคิด “ก็ถ้าตามเอกสารจดทะเบียน เอิร์ลเป็นประธานบริษัท...”
    “แต่...” พอลหัวเราะพรืด “ถ้าเอาตามความจริง คนใหญ่สุดก็หัวหน้าเราว่ะ โจ”
    “ทำไมอะ”
    “เอ้า ที่ไหนๆ เมียประธานก็อยู่เหนือประธานหมด แกไม่รู้เหร—”

    เสียงพอลขาดหายฉับพลันเพราะเจ้าตัวก้มหลบแก้วแชมเปญที่ถูกขว้างมาเฉียดหัว

    ...ฝีมือทอม

    คนเกือบหัวแตกยังหัวเราะ หันมาสะกิดแจ็ค “ดูไว้เป็นบุญตานะ เอิร์ล ไอ้ตัวแสบเนี่ย ผมเห็นมันมาแต่เล็ก ไอ้อาการแบบเนี้ย สิบปีจะมีครั้ง แต่ก็คือเขิน

    แจ็คมองคนหน้านิ่ง —แต่เพิ่งปาแก้วใส่คนแซว— แล้วเกือบหลุดขำ ทว่ายังห่วงชีวิตตัวเอง เลยหันหน้าเข้าซุกพุงลูกสาวในอ้อมแขนแทน ซึ่ง...ก็ยังไม่วายถูกทอมหยิกแขนจนเนื้อเขียว พวกลูกน้องเห็นแบบนั้นยิ่งระเบิดหัวเราะกันยกใหญ่ กระทั่งมือเล็กเริ่มจะควานหาแก้วอีกใบหรือให้ดีกว่านั้นคือขวด

    “มานี่เลยๆๆ” เอิร์ลฉุดแขนคนเขินแล้วรุนแรงกลบเกลื่อนออกจากวงลูกน้อง ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาชีวิตพวกมัน แต่เพราะสบโอกาสที่กำลังหาเวลาคุยกันเป็นส่วนตัวอยู่พอดี เขาลากเจ้าตัวข้ามถนนไปอีกฝั่ง โดยแขนอีกข้างยังอุ้มยัยตัวเล็กอยู่ ทำให้มือไม่สามารถหยิบของที่ต้องการออกจากกระเป๋าด้านในเสื้อโค้ทได้

    “ส่งยัยหนูมาก่อนสิ”

    ทอมรับโรสมาจากแจ็ค เพื่อให้อีกฝ่ายหยิบของได้ถนัด
    ตลับแหวน?

    “อะไรอีกล่ะ นี่เราต้องแต่งงานกันกี่ครั้งเหรอ”

    แจ็คยิ้มทะเล้น ขณะหยิบกุหลาบแดงก้านยาว —ซึ่งไม่รู้ว่าซ่อนไว้ในเสื้อโค้ทได้ยังไง— ออกมา และคุกเข่าลงตรงหน้าทอม...อีกครั้ง ราวกับภาพสะท้อนจากความทรงจำที่ฉายวน

    “ก็...ในเมื่อไม่มีเรดแฮนด์ ไม่มีเอิร์ลแล้ว สัญญาสมรสก็หายไปพร้อมกับแก๊งที่รวมกัน พี่เลยคิดว่า อยากขอทอมแต่งงานอีกสักครั้ง ถ้าทอมไม่คิดเปลี่ยนใจ...”

    คาบกุหลาบ หยิบแหวนสองวงออกจากตลับ 
    ไม่มีคำว่าเอิร์ล หรือเรดแฮนด์สลักไว้ 

    มันไม่เกี่ยวกับธุรกิจ หรือการเอาตัวรอดในฝูงหมาป่ามาเฟียลอนดอน เป็นแค่แหวนแต่งงานเรียบๆ ง่ายๆ แต่มันจะผูกพันคนสองคนเอาไว้ด้วยรัก ไม่ใช่ด้วยผลประโยชน์แอบแฝงอื่นใด

    เป็นเครื่องหมายของชีวิตคู่ที่แท้จริง

    แทนคำสัญญาว่าจะรักและดูแลกัน 
    ด้วยชีวิต...ด้วยหัวใจ

    “ทอมไม่เปลี่ยนใจ”

    ถอดแหวนวงเก่า รับดอกกุหลาบ
    สารภาพโดยไม่อ้อมค้อม 

    เขามั่นใจแล้วว่าจะอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้...ไม่ไปไหน ผู้ชายคนที่บ้ารอเขาอยู่สี่ปี ทั้งที่ไม่เหลืออะไรให้หวัง คนที่ไล่เท่าไรก็ไม่ไป ไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหนก็จะนั่งรอจนกว่าคนบ้างานอย่างเขาจะกลับบ้านพร้อมกัน คนที่ไม่เคยเซ้าซี้ในเรื่องที่เขาไม่อยากบอก ไม่เคยรบกวนเวลาเขาต้องการความสงบ แต่ก็รู้ว่าเวลาไหนควรถามไถ่ เวลาไหนควรปลอบโยน

    คนที่ให้ความรู้สึกเหมือน ‘บ้าน’


    เราจะไม่กลับบ้านก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไง...บ้านรอเราอยู่เสมอ มันอาจฟังดูน่าเบื่อ แต่เขาไม่อยากได้อะไรพิเศษไปกว่านี้ แค่มีคนที่จะอยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อหันไป ดูแลกัน ทำทุกอย่างเหมือนเดิมในทุกๆ วัน ให้ชีวิตที่วุ่นวายเสี่ยงอันตรายได้มีบางมุมอย่างคนธรรมดาบ้าง และแจ็คเป็นทุกอย่างนั้นแล้ว
     
    นั่นอาจเป็นสิ่งสำคัญสุดเท่าที่ชีวิตคู่จะมีได้

    แจ็คสวมแหวนให้ทอมเงียบๆ
    ยืนขึ้นรับแหวนจากทอมเงียบๆ 

    “รู้ไหมนี่แปลว่าอะไร...”
    “...?”
    คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้น ยิ้มหวาน 

    “พี่เป็นคนสุดท้ายของทอมแล้วนะ”

    แชะ! ช่างภาพที่จ้างมาถ่ายพิธีเปิดไนท์คลับใหม่ตามมาถ่ายรูปพวกเขา

    ทั้งคู่หัวเราะ ยัยหนูโรสก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากตามพ่อๆ ไปด้วย ถึงตอนนี้ แจ็คเป็นคนอุ้มลูกไว้ ก่อนพากันหันหน้ามาให้ตากล้องเก็บภาพที่ระลึกดีๆ อีกสักหน่อย

    “หอมแก้มน้องหน่อยครับ”

    คู่รักฝังจมูกลงบนแก้มยัยหนูคนละข้าง แชะ!
    แจ็คหันยัยหนูหลบ หอมอีกแก้ม...ของอีกคน แชะ!

    “เดี๋ยวว่ารักไม่เท่ากัน โอ๊ย—”

    ทอมตีแขนคนตัวโตเสียงดัง
    ดังจริง เจ็บจริง จนตากล้องเจ็บแทน

    “ยังไม่มีใครงอแงเลย!”

    แหมที่รัก...เขินตากล้องก็บอกมาเถอะ!

    .
    .

    คริสไม่กลับไปอเมริกาอีก

    ไม่ว่านิวยอร์กหรือลอสแอนเจลิส แอนดี้เป็นดอน เจ้าตัวเก่งกว่าที่แม่คิดมาตลอดอยู่แล้วจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และเขาปิดสำนักงานด้านกฎหมายของตนเองลง โจเซฟถูกเขาไล่ออกจากชีวิตตั้งแต่รู้เรื่องที่เจ้าตัวทำกับคิลเลียน

    เขาได้งานเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่ ม. ในคอร์ก

    อย่างถาวร...เขาจึงย้ายมาอยู่คฤหาสน์ริมทะเลของตระกูลลาวเดน ณ คอร์ก ไอร์แลนด์ บ้านเกิดของเด็กเลี้ยงม้า ที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้น ต่อจากนี้มันจะเป็นที่ที่ทุกอย่างดำรงอยู่ และจบลง มันจะเป็นบ้านของพวกเขา เหมือนที่มันเคยเป็นทุกฤดูร้อนเมื่อหลายสิบปีที่ผันผ่าน คฤหาสน์ สวนหลังบ้าน สะพานหินที่ยื่นออกไปในทะเล หาดทรายขาว คอกม้าเก่าๆ ทุกสิ่งยังคงงดงามเหมือนภาพจำในอดีต กาลเวลาอาจทำให้มันทรุดโทรมทางกายภาพ แต่ยิ่งสูงค่าในทางจิตใจ เพราะความทรงจำอันมีความหมายซึ่งไหลเวียนหล่อเลี้ยงทุกตารางนิ้ว

    “ลีโอ!”

    คริสตะโกนเรียกจากหน้าต่างชั้นสอง คนเพิ่งเปิดประตูลงจากรถโบกมือให้ ก่อนกลับเข้าไปเพื่อเคลื่อนรถเข้าจอดในบริเวณที่เจ้าของบ้านชี้บอก เรียบร้อยแล้วคนที่ลงจากรถมาก่อนก็คือทอมมี่ เจ้าตัวส่งยิ้มทักทายมาให้ เขาไม่เห็นคิลเลียนอยู่ในบ้าน จึงรีบลงไปต้อนรับแขก

    ทอมมี่ตรงเข้ามากอดอย่างเป็นมิตร “คิลล่ะครับ”
    คริสไม่แน่ใจ “น่าจะอยู่กับม้า เดี๋ยวผมไปหาก่อน...”
    “ไม่ต้องรีบก็ได้ อย่าไปขัดขวางเวลาสวีทกับม้าของเขาเลย” 

    ทอมมี่แอบนินทาเพื่อนรัก 
    หัวเราะกับคริสอย่างรู้กัน

    “หัวเราะคิกคักอะไรกันครับ” ลีโอที่แบกกระเป๋าเต็มสองมือแซว
    “ก็คือไม่ใช่เรื่องของคุณไง” ทอมมี่แกล้งว่า
    ลีโอนาร์โดเบะปาก หันมาฟ้องคริส “แต่ก่อนไม่มีแบบนี้นะพูดเลย พอหลวมตัวพาเข้าบ้านเท่านั้นแหล—”

    ทอมมี่ถลึงตาใส่ 
    คริสยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องทำแบบนั้น

    กระทั่งสังเกตดีๆ 
    วัตถุแปลกปลอมที่มือทั้งคู่ก็สะท้อนแสงแยงตา

    แหวนทองวงเรียบกลมเกลี้ยง
    บนนิ้วนางข้างซ้าย

    คริสไม่พูดอะไร แค่ยิ้มอ่อน
    ให้คนที่บอกว่า ‘คิดถึงคิล’ เลยมาเยี่ยม

    ที่แท้ก็มาฮันนีมู—

    “ตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปตามคิลเลียนก่อน”

    .
    .

    ไม่ได้อยู่กับม้า...แต่ว่าอยู่กับทะเล

    บางครั้งก็อยู่บนหลังม้าที่ทะเล เพียงแต่ไม่ใช่ครั้งนี้ คิลเลียนยืนมองผืนน้ำสีครามหม่นเพียงลำพัง มองเส้นแสงสุดท้ายของวันซึ่งกำลังค่อยๆ กลืนลับกลับกลางวันเป็นกลางคืน มันคืบคลานเชื่องช้าราวกับฝันร้าย แต่ก็เป็นฝันร้ายที่งดงาม และไม่ว่ากลางคืนจะมืดมิดสักเพียงใด เมื่อถึงเวลา ดวงตะวันย่อมลุกขึ้นมาผลักไสเหล่าดวงดาวลงจากท้องฟ้า

    ชีวิตก็มีอยู่แค่นั้น

    มรสุมหนักเพียงใด สุดท้ายฟ้าก็จะเปิดจนเห็นแสงอาทิตย์ดวงใหม่ อับจนหนทางแค่ไหน เพียงมีใครสักคนร่วมฟันฝ่าก็จะผ่านมันไปได้ ไม่มีอะไรยั่งยืนแม้แต่ดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ เพราะสิ่งสำคัญอาจไม่ใช่การอยู่ค้ำฟ้า

    แต่เป็นการอยู่ เพื่อเปลี่ยนแปลง
    เพื่อยอมรับว่าไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนไป

    “ทอมมี่กับลีโอมาแล้วนะครับ”

    น้ำเสียงของคริสยังคงอ่อนโยน 
    ไม่เท่าเดิม...แต่ไม่เป็นไร 

    เขาก็ไม่เหมือนเคยเช่นกัน ถึงเมื่อก่อนไม่ใช่คนพูดเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ไม่พูดเลย พอมาเป็นใบ้ มันเลยพาลหงุดหงิดชีวิตง่ายขึ้นอีกเท่าตัว เอาแต่ใจยิ่งกว่าเก่า กลายเป็นคริสที่ต้องคอยดูแลเอาใจเขาหนักขึ้น คิลเลียนไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมานั่งเสียดายเสียงตัวเอง เขาไม่เคยปลื้มเสียงตนเป็นพิเศษ แต่พอคริสชมว่าเพราะ บอกว่าชอบมากจนอยากเก็บไว้ฟังคนเดียวในโลก มันก็พลอยจะชอบตาม พอเป็นแบบนั้น จากที่ไม่เคยถือโทษโกรธอะไร ก็เริ่มมานั่งสาปแช่งโจเซฟทุกวัน 

    พอไร้สุ้มเสียงจะพูด 
    ความคิดในหัวก็ยิ่งดัง

    “คิดอะไรอยู่บอกผมได้ไหม” คริสเกยคางลงบนไหล่เล็ก จ้องมองทะเลที่ค่อยๆ มืดลง คิลเลียนยกมือขึ้นแตะแก้มคริสด้วยความเอ็นดู เงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนหันมาส่งภาษามือบอกใบ้

    “คิดถึง...โลกที่...เราไม่ได้...อยู่ด้วยกัน?” 

    คริสอ่านตามมือของเจ้าตัว ทั้งคู่ต้องเริ่มเรียนภาษามือไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้สื่อสารกันได้สะดวกขึ้น และกลายเป็นว่าคริสเรียนรู้ไวกว่าฝั่งคนเป็นใบ้เสียอีก

    แต่...โลกที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน 
    มันเป็นยังไงนะ?

    คริสจินตนาการไม่ออก แต่คิลเลียนไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ความจริงมันไม่ใช่แค่นั้น ไม่แปลกที่คริสจะไม่เข้าใจ เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อเช้า เขาตื่นขึ้นมาหลังจากท่องไปในฝันอันแปลกประหลาด เป็นโลกที่มีคริส...มีเขา รักกัน...แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ระยะเวลาในฝันยาวนานเป็นสิบยี่สิบปีเหมือนกัน และจังหวะเวลาของพวกเขาคลาดกันเสมอ

    เจอกัน พลัดพราก 
    เจอกันอีกครั้ง คนหนึ่งแต่งงาน 

    แต่ต่างคนยัง...รู้สึก

    ราวกับถูกสาปให้เกิดมาเพื่อรักกัน
    เพียงในฝัน, ไม่ใช่ชีวิตจริง

    มันทำให้คิลเลียนตระหนักว่าโชคดีแค่ไหน 
    ที่ในโลกนี้...ได้อยู่ด้วยกัน

    “ครับ?”

    คริสแค่เอ่ยทักไปอย่างนั้น เพราะจู่ๆ คิลเลียนก็หันมากอดเขา...ซุกใบหน้าลงกับอกกว้าง แทบฝังทั้งร่างเข้ามาในอ้อมแขนอบอุ่น กอดแบบนี้ของคิลเลียนมีความหมายหลายอย่าง บางครั้งเพียงออดอ้อนงอแงไม่ให้เขาออกไปข้างนอก บางครั้งก็แค่หนาว บางครั้ง...เพื่อขอบคุณอะไรสักอย่าง

    ขอบคุณทุกวันที่เคียงข้างกัน
    กอดนี้หมายความแบบนั้น

    “...”

    คล้ายกลัวเขาไม่เข้าใจ คิลเลียนถอนกอด
    และทำท่าจะส่งภาษามือให้

    คริสรวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างเอาไว้ 
    อมยิ้มบาง “คุณไม่ต้องพูดก็ได้...”

    คุณเป็นผู้เล่าที่ดีที่สุด 
    แม้เมื่อคุณไม่พูดอะไร

    “...” คิลเลียนเอื้อมมือขึ้น 

    ไล้ปลายนิ้วนางลงมาตามสันจมูกโด่ง

    ความเงียบของคุณพูดแทนแล้วเสมอ
    สายตาของคุณพูดแทนแล้วเสมอ


    คริสจ้องมองจันทราสุกสว่างสีฟ้าใสตรงหน้า นึกเสียดายเวลาราวสามสิบปี ที่หมดไปกับการเลี่ยงหลบเพราะเขินทุกครั้งยามได้สบมอง ดวงตาคู่นี้ที่เขาตกหลุมรักแต่แรกพบ ไม่ควรต้องถูกเมินเพียงเพราะคนมองใจไม่แข็งพอ ตอนนี้คิลเลียนต้องเป็นฝ่ายหันหนีไปทางทะเลบ้างแล้ว

    และหัวใจของคุณ...พูดแทนแล้วเสมอ
    ทุกคำ


    “คุณรู้เสมอ...ตลอดมาว่าคุณรักผม...”

    และผมรู้เสมอ...ตลอดมาว่าผมรักคุณ

    รักดวงตาของคุณ
    รักทุกอย่างที่เป็นคุณ

    เพราะการมีตัวตนของคุณ...

    มันช่างแสนวิเศษ.






    ( จบบริบูรณ์ )
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in