เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
filmtofichoramiji
[SF: Dunkirk] In A Bleak Midwinter (Mole/Sea/Air)


  • ฉันฝันถึงคริสต์มาสสีขาว
    อย่างที่ฉันเคยรู้จัก


    .

    .

    มันดูไม่จริงเท่าไร
    แต่ก็ใกล้เคียง

    ดันเคิร์กไม่เคยดูสวยอย่างนี้มาก่อน

    ร้านรวงที่เดินผ่าน ตกแต่งด้วยแสงไฟ
    เถาไม้สีเขียว ลูกบอลสีแดง กล่องของขวัญ

    เขาเดินแยกตัวออกจากกลุ่ม
    บางสิ่งร่วงโรยโปรยลงมาไม่ขาดสาย

    ...?

    หิมะ

    เปลี่ยนเมืองทั้งเมืองเป็นสีขาว
    ดูราวกับเขากำลังอยู่ในลูกแก้วหิมะ

    ใครคนหนึ่งเดินเลียบบ้านหลังเล็ก
    หน้าต่างเปิด ที่เขี่ยบุหรี่วางอยู่หมิ่น ๆ

    มือนั้นยื่นออกไป...

    ปัง!

    !!

    ทอมมี่สะดุ้งตื่น
    เท้าเกือบเตะเข้ากับฟืนที่กองไฟ

    ยันตัวขึ้นนั่ง
    มองไปรอบ ๆ

    "กิ้งก่า"

    สำเนียงสก็อตแข็ง ๆ พึมพำ
    ทอมมี่หันไปมอง เลิกคิ้ว

    "ไมค์คิดว่าเห็นพวกอิตาลี" อเล็กซ์ว่า
    โยนเศษไม้เข้ากองไฟ "ปัญญาอ่อน"

    ทอมมี่ยังจ้องหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ

    "เป็นอะไร"
    ทอมมี่สั่นศีรษะ "เสียดายความฝัน"
    "ฝันถึงอะไร"
    "คริสต์มาส..."

    อเล็กซ์หัวเราะลั่น ทอมมี่เริ่มกระดาก
    แต่ทหารนายอื่นไม่ได้สนใจจะหันมอง

    "เงียบน่า"

    เขาเอนหลังอีกครั้ง นอนตะแคงหนุนแขน
    อเล็กซ์หยุดล้อเลียนไปเอง

    "คิดถึง...แม่ชอบอบไก่งวงตัวใหญ่ ๆ ตอนนี้ทั้งบ้านอาจจะกำลังกินกันอยู่ก็ได้..."

    ทอมมี่กระซิบ แผ่วเบา
    ทหารไฮแลนด์ทำหน้าครุ่นคิด

    "ฉันก็อยากกลับบ้าน..."

    น้ำเสียงอีกฝ่ายทำอกซ้ายเขาโหวงไปหมด
    โดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา อ้างว้าง วังเวงนัก

    ทอมมี่ได้แต่มองผืนทรายตรงหน้าเงียบ ๆ

    อยากให้มีปาฏิหาริย์อีกสักครั้งจัง

    ต้องอธิษฐานยังไงถึงจะเป็นจริง?

    ...

    เอ๋...?

    ทอมมี่ขมวดคิ้ว
    มองสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้

    ปุยเล็ก ฟ่าม สีขาว
    ร่วงจมลงบนละอองทราย

    หิมะเหรอ?

    ทอมมี่เงยหน้าขึ้น
    อีกมากมาย...โปรยปรายตามลงมา

    ประหลาด...

    ลุกขึ้นนั่ง
    เอื้อมมือกร้านแดดกรำลมออกไปพิสูจน์

    อเล็กซ์ย่นหน้าผาก "อะไร"
    "แค่..." นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของทอมมี่ถูกัน

    "หิมะ..."

    อเล็กซ์หัวเราะในลำคอ "ประสาท"

    นั่นสินะ

    "นายอยู่ในแอฟริกา ที่บ้านตอนนี้อาจจะมีหิมะ แต่ที่นี่เหรอ ฝันไปเถอะ"

    ทอมมี่มองอเล็กซ์อีกครั้ง
    เงียบงัน

    "..."

    อีกฝั่งของเขา กิบสันปรากฏตัวขึ้นเงียบๆ
    นั่งกอดเข่า แววตาสดใสจับจ้องละอองหิมะ

    นั่นสินะ

    __________

    "ทำไมเราไม่เคยได้กินไก่งวงตอนคริสต์มาส..."

    พีทบ่นพึมพำ
    โยนบ่วงเชือกลงไปยังพื้นท่าเรือ

    คนเป็นพ่อหักพังงาครั้งสุดท้าย
    เตรียมดับเครื่องยนต์

    "มันเป็นประเพณีของตระกูลเราว่าต้องกินปลา"
    "จริงเหรอครับ"

    พีทขมวดคิ้ว กระโดดลงจากเรือ
    คล้องเชือกกับหัวเสา

    "ไม่เห็นเคยเล่าให้ผมฟัง"
    "ไม่จริง" คุณดอว์สันหัวเราะ
    "แม่ของลูกแค่ขี้เกียจทำ เขาว่ามันยุ่งยาก"

    เรือเทียบท่าโดยสมบูรณ์
    พีทมองพ่อขึ้นจากเรือ เกาท้ายทอย

    "ขอให้แม่ทำดีกว่า ผมเป็นลูกมือให้ก็ได้"
    "เอาสิ"

    พ่อส่งปลาตัวใหญ่ให้เขา
    ทั้งคู่เดินกลับบ้าน

    ลมแรงและเย็นจัด
    หิมะเริ่มเริงระบำ ลอยละล่อง

    พีทยิ้มบาง ๆ ให้กับฤดูหนาว
    และร้านรวงริมทางที่ตกแต่งรับเทศกาล

    "ปีก่อนผมแอบหนีไปกินไก่งวงของบ้านมิลส์ด้วย ป้าของจอร์จทำอร่อยมากเลย..."

    เสียงนุ่มแผ่วลงทุกคำจนถึงท้ายประโยค
    คุณดอว์สันรับรู้ แต่ลูกชายก็ยิ้มกลบได้ไว

    "ไม่รู้บ้านนั้นจะเป็นไงบ้างนะครับ"

    พ่ออมยิ้ม ไม่พูดอะไร
    ลูกคนนี้ห่วงความรู้สึกคนอื่นก่อนเสมอ

    แม้แต่ตอนที่พี่ชายไม่กลับมา
    พีทก็ไม่ได้ร้องไห้ ทั้งที่สนิทกันมาก

    เจ้าคนเล็กเอาแต่ปลอบแม่ ดูแลพ่อ
    เป็นแสงสว่างให้ครอบครัวในยามมืดมน

    "นั่น...?"

    เสียงพีเทอร์สะกิดพ่อให้เงยหน้าขึ้น
    ที่หน้าประตูบ้าน มีคนมารออยู่

    ชายในชุดสูทสีดำ
    ตัดกับหิมะขาวรอบกาย

    ...บนรถเข็น

    พีทเดินนำหน้าพ่อไปหาเขา

    "คุณ..."

    แม้ไม่เคยรู้จักชื่อ
    แต่ใบหน้านี้ยังฝังอยู่ในความทรงจำ

    "พีเทอร์..."

    เสียงของเขาไม่สั่นเหมือนวันนั้น
    นิ่งสงบ มั่นคง สุภาพ

    แต่นัยน์ตากลับเหมือนคนหัวใจสลาย

    "ช่วย..."

    เขาเริ่มต้น
    กระซิบ

    "พาฉันไปเยี่ยมจอร์จหน่อยได้ไหม..."

    __________

    คริสต์มาสนี้เขาได้ช็อกโกแลตเป็นของขวัญ

    ส่งตรงจากเวย์เมาธ์
    จ่าหน้าถึง 'คอลส์'

    "...แมร์รี่ คริสต์มาส จากพีท"

    รอยยิ้มคลี่ออกบาง ๆ ตรงมุมปาก
    เสียบโน้ตไว้ใกล้เกจวัดน้ำมัน

    คลุมปากตนด้วยหน้ากากนักบินอีกครั้ง

    คริสต์มาสเคยเป็นช่วงเวลาแห่งปีที่เขาชอบที่สุด แม้ไม่เคยให้ของขวัญหรือช็อกโกแลต แต่ฟาร์เรียร์จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์มาสของครอบครัวตัวเองมาเล่า มันพิเศษเพราะนักบินรุ่นพี่ไม่เคยปริปากเรื่องส่วนตัวหรือที่บ้านให้ใครฟังเลย ในเวลาปกติ เขาพูดแต่เรื่องงาน เรื่องการบินเท่านั้น

    มันเคยเป็นของขวัญสุดวิเศษ
    ความรู้สึกที่ว่าเจ้าตัวเปิดใจให้เขาน่ะ

    แต่ตอนนี้...เจ้าตัวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

    ว่ากันว่าเยอรมันดูแลเชลยสงครามของอังกฤษค่อนข้างดี เพราะติดอนุสัญญาเจนีวา ที่น่ากลัวคือคนอย่างฟาร์เรียร์มีแววว่าจะต้องพยายามหนีทุกครั้งที่มีโอกาสต่างหาก และหากถูกจับได้ว่าหนี... ผลของมันก็... เกินกว่าเขาจะกล้าคิด

    "..."

    คอลลินส์มองความมืดนอกหน้าต่าง
    ถอนหายใจ

    บิวไฟเตอร์ไม่ได้ขับยากไปกว่าสปิตไฟร์
    แต่การบินตอนกลางคืนนี่สิ...

    "ใช้สัญชาตญาณ คอลลินส์"

    เสียงนักบินรุ่นพี่แว่วดังขึ้นข้างหู

    "ตาของนายไม่มีประโยชน์หรอกตอนนี้"
    "ฉันรู้น่า..."

    คอลลินส์พยายามไม่สนใจคนที่เท้าแขนอยู่กับพนักที่นั่งของตนในค็อกพิท

    "...กองทัพถึงได้พัฒนาเรดาร์ขึ้นมาไง"

    ฟาร์เรียร์พ่นหัวเราะออกมาทางลมหายใจ

    "อะไร"

    เขาถาม แต่ไม่ได้หันไปมอง

    "เอาจริง? นายจะตามเรดาร์นั่นไปแล้วเมินคำแนะนำจากรุ่นพี่ของนายหรือไง"

    นั่นเป็นตอนที่เรดาร์จับบางสิ่งได้
    สองลำ

    คงเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด
    กับไฟเตอร์คุ้มกันตามสูตร

    "แน่นอนสิ..."

    คอลลินส์พึมพำ
    ปรับเพดานบิน โยกคันบังคับ

    "นายไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ"

    ไม่ใช่ตัวจริง

    ก็แค่ภาพหลอนธรรมดา ๆ
    ที่ติดตามฉันมาตลอดสี่เดือน

    ภาพสะท้อนจากจิตใต้สำนึก
    ที่ยังรอวันนายกลับมา

    กลับ...

    ...บ้าน


    "เอาละ...จับตาดูให้ดี ฟาร์เรียร์"

    คอลส์เอ่ยกับแฟริเออร์ในจินตนาการ

    ฉันจะปกป้องแมนเชสเตอร์ให้นายดู

    __________

    ทอมมี่มองหิมะ
    สลับกับกิบสัน

    "นาย...พามันมาเหรอ?"

    ทหารฝรั่งเศสยิ้ม ไม่ตอบ
    ปุยนุ่มสีขาวเกาะเต็มเส้นผมหยักศกสีดำ

    เกล็ดหนึ่งทิ้งตัวลง ณ ปลายจมูกรั้น
    ทอมมี่ยิ้มเอ็นดู ใจอยากเอื้อมนิ้วมือไปปัด

    ติดแต่ว่าคนตรงหน้าไม่มีอยู่จริง

    "นายรู้ใช่ไหมว่ามันจะดูบ้ามากที่ทำอย่างนั้น..." อเล็กซ์ว่า "พวกนั้นมองนายแน่"

    ทอมมี่หันกลับมามองคนพูด
    ม่านตาขยายวงกว้างเล็กน้อย

    ราวกับเพิ่งรู้สึกตัว

    "นาย...เห็นด้วยเหรอ?"

    ทหารไฮแลนด์ขยับมานั่งติดกับเขา
    ยกแขนขึ้นโอบไหล่ กระซิบ

    "นายเห็น ฉันก็ต้องเห็นสิ มันแปลกตรงไหน รู้ไหมอะไรต่างหากที่แปลก..."
    ทอมมี่เอียงคอออกห่าง มองหน้า "อะไร"
    "นายไง เลิกทำตัวแปลก ๆ สักที..."
    "..."
    "อย่าขยับริมฝีปากมากสิเวลาคุยกับฉัน..."
    "..."

    นั่นสินะ

    "พวกนั้นไม่เห็นฉัน อย่าลืม..."

    ทอมมี่เม้มปาก
    กิบสันก็มองมา อมยิ้มกึ่งขัน

    แต่เขาไม่อาจยิ้มตอบ

    นั่นสินะ

    "นายโอเคนะ เพื่อน"

    เสียงทหารร่วมหน่วยดังขึ้นจากตรงข้าม
    เปลวไฟลามเลียใบหน้านั้นไปเสียครึ่ง

    ทอมมี่แค่พยักหน้าน้อย ๆ
    อีกฝ่ายกระชับปืนในมือ เฝ้ายามต่อ

    ราวกับเพิ่งตื่นจากฝันกลางวัน

    โลกแวดล้อมค่อยๆ เข้ามาในความรับรู้
    เสียงพูดคุยของอีกสองคนลอยมาตามลม

    "เอ็งว่าพวกเขาจะทิ้งเราไหมวะ—"
    "พูดอะไรแบบนั้น"
    "เอ้า ทหารไฮแลนด์ทั้งหน่วยเชอร์ชิลยังตัดสินใจทิ้งไว้ที่เซนต์วาเลอรี่ฯ ได้เลย..."
    "เออ ข้าก็ได้ยินมา"
    "เขาว่าตายกันเป็นเบือ"

    นั่นสินะ

    อเล็กซ์จะมาอยู่ที่นี่แต่แรกได้ยังไงกัน

    "หยุดทำหน้าแบบนั้นเลยนะ..."

    หน้าแบบไหน?
    ฉันเปล่า—

    "แบบที่ทำบนรถไฟ ตอนนึกได้ว่ากิบสันไม่ได้ออกมาจากเรือไง"

    เขาเพียงเถียงในใจ
    แต่แน่นอน อเล็กซ์ต้องรู้ได้อยู่แล้ว

    คนข้าง ๆ จะเป็นใครไปได้
    หากมิใช่ภาพจากจิตใต้สำนึกของเขา

    ทอมมี่เอียงคอ
    ซบไหล่กิบสัน

    จากสายตาเพื่อนทหารในหน่วย
    มันแค่ดูเหมือนเขานั่งสัปหงกทับหัวไหล่ตน

    'ไม่เป็นไรนะ'

    กิบสันกระซิบเป็นภาษาฝรั่งเศส
    แต่ทอมมี่ฟังออก ราวกับเป็นอังกฤษ

    แน่นอน...เจ้าตัวก็เหมือนอเล็กซ์

    "ฉันคิดถึงแม่..."

    ทหารผู้จากบ้านมาไกลหลายเดือนกระซิบ
    กับอเล็กซ์ กับกิบสัน...

    กับตัวเอง

    คริสต์มาสควรเป็นวันของครอบครัว
    แต่หน้าที่ต่อประเทศชาติส่งเขามาที่นี่

    'ไม่ต้องห่วง'

    กิบสันกระซิบ น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนแม่
    มือขาวยกขึ้นลูบหัวปลอบประโลมเขา

    "ใช่ คนเก่งอย่างนาย ไม่เห็นต้องกังวล"

    อเล็กซ์ตบบ่าทอมมี่
    กิบสันไม่ได้หันมองด้วยซ้ำ

    แต่แอบเอื้อมปัดมือนั้นออกจากไหล่ทอมมี่

    "เฮ้!"

    อเล็กซ์ร้อง ปัดมือกิบสันคืนบ้าง
    ทั้งคู่เริ่มทะเลาะกันเหมือนเด็ก ๆ

    ทอมมี่เอาแต่หัวเราะในลำคอ

    พวกนายนี่นะ

    ศึกระหว่างสก็อตแลนด์กับฝรั่งเศสสงบลง
    ต่างคนต่างโอบกอดทอมมี่เอาไว้แน่น

    ท่ามกลางหิมะสีขาว
    ที่โปรยปรายในทะเลทราย

    ท่ามกลางคริสต์มาสลวงตา
    ที่เขาได้แต่เฝ้าใฝ่ฝัน

    "นายจะได้กลับบ้าน ทอมมี่... นายจะได้กลับบ้าน"

    __________

    "คุณมาทำอะไรที่นี่"

    พีเทอร์ถาม เสียงเบา แต่ฟังชัด
    ชายบนรถเข็นไม่ลืมตา ไม่ตอบ

    จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่

    พระจันทร์เต็มดวงคู่นั้นจึงสว่างไสวขึ้น
    จ้องมอง...ป้ายหินสลักชื่อใต้หิมะขาวโพลน

    'จอร์จ มิลส์'

    "เคารพหลุมศพคนที่ฉันฆ่าไง..."
    "อันนั้นผมรู้ ผมหมายถึง..."

    มีประเด็นให้ถกเถียงในคำตอบตรง ๆ ที่ไม่ตรงคำถามนั้นมากมายจนพีทไม่รู้จะต่อบทสนทนายังไง

    เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจ

    "ทำไมต้องพูดเหมือนตัวเองเป็นฆาตกรแบบนั้น และผมหมายถึง คุณมาทำอะไรที่เวย์เมาธ์ในวันคริสต์มาสต่างหาก..."
    "..."
    "ไม่มีบ้านให้กลับหรือไง"

    นายทหารปลดประจำการขยับตัว
    ก้มลงวางดอกไม้สีขาว

    "แล้วต้องพูดยังไง ฉันทำให้เด็กคนนั้นตาย ต่อให้นายจะเรียกมันว่าอุบัติเหตุหรืออะไร ก็ไม่เปลี่ยนความจริงข้อนั้น"
    "...แล้วแต่คุณละกัน"

    พีทพึมพำ เอาสองมือถูกัน
    ขยับคอเสื้อไหมพรมให้สูงขึ้นอีกนิด

    หิมะที่ร่วงหล่นเริ่มเกล็ดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

    "ตกลงว่าคุณมาเพื่อแค่นี้จริง ๆ เหรอ..."
    "ทำไมเธอต้องสนใจ"
    "..."
    "เธอจะแคร์อะไรนักหนา..."

    ทำไมต้องใส่ใจคนอื่นไปซะทุกอย่าง
    ทำไมต้องดีกับทุกคนขนาดนี้

    แม้กระทั่ง...
    กับคนที่ฆ่าเพื่อนของตัวเอง

    "ก็เผื่อว่าคุณจะทำตัวดี ๆ กับผมบ้าง..."
    "..."
    "เราควรจะดีกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ใช่เหรอ..."

    ให้ตายสิ
    ทำไมต้องเหมือนเธอขนาดนี้

    ร่วงลงมาจากฟ้าด้วยกันหรือยังไง

    "..."

    ไหล่ของอดีตนายทหารเริ่มสั่น
    คล้ายทหารบนซากเรืออับปางตอนนั้น

    หวาดหวั่น เปราะบาง ใกล้แตกสลาย

    "คุณ..."

    มือที่เคยดึงเขาขึ้นเรือวางประทับลงบนบ่า เสียงที่เคยห้ามปรามไม่ให้เขาวู่ว่ามใส่พ่อของตน เอ่ยถ้อยคำปลอบประโลมออกมา

    "...ไม่เป็นไรใช่ไหม"

    ชายหนุ่มซบหน้าลงกับฝ่ามือ
    พีทคุกเข่าลงข้างรถเข็น เฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ

    เพิ่งสังเกตว่าแหวนแต่งงานได้หายไป

    "พวกเขา...ตายหมดแล้ว..."

    อีกฝ่ายพูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งสะอื้น
    พีทได้แต่กุมมือใหญ่ข้างที่เหลืออยู่บนตัก

    "ไม่มีบ้าน...สำหรับฉันแล้ว..."

    ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพ เขาต้องพักฟื้นจากการถูกยิงทะลุไขสันหลังจนเป็นอัมพาต แล้ววันหนึ่ง ข่าวร้ายก็ถูกส่งมาซ้ำเติมจิตใจให้ยิ่งบอบช้ำ

    บ้านเมืองแถบที่เขาอยู่ปลิวหายไปกับการโจมตีทางอากาศของเยอรมัน

    ภรรยา ลูกสาว น้องชาย และพ่อ
    ไม่มีใครเหลือรอดทั้งนั้น

    ไม่มีแม้แต่ซากศพให้ทำพิธี

    "ผมเสียใจ...ผมเสียใจ..."

    ได้แต่ขอโทษที่ถาม ได้แต่ลูบหลังแสดงความเสียใจ ไม่พูดอะไรอื่นให้เป็นการสะกิดย้ำซ้ำเติม เขารู้ดีว่าคำปลอบโยนไม่เคยช่วยอะไร

    แม้ยังเด็ก
    แต่พีทเสียทั้งพี่ชายและเพื่อนรักมาก่อน

    คนตรงหน้าแม้จะแก่กว่า
    แต่ยังใหม่กับการสูญเสียมากนัก

    เขาบอกได้เลยจากแววตา
    ตั้งแต่แรกพบอีกฝ่ายที่หน้าประตูบ้าน

    "พวกเขาก็แค่หายไป...แค่...หายไป"

    เสียงทุ้มพึมพำในลำคอ มือเปื้อนน้ำตาปาดเช็ดทุกอย่างจากใบหน้า เก็บงำก้อนสะอื้นกลืนกลับลงไป

    เอาเข้าจริง ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องมาที่นี่

    แค่...วันนั้น...

    พ่อของพีทดูแลเขาเหมือนพ่อของเขา
    จอร์จที่ใสซื่อ...ก็วัยใกล้เคียงน้องชายเขา

    และพีท...

    "..."

    นัยน์ตาของพีท...
    อ่อนโยนเหมือนเธอ

    เธอผู้เป็นดวงใจของเขา

    นางฟ้าที่ถูกเรียกกลับสวรรค์ไป

    "ผมรู้ว่าตอนนี้มันยาก...แต่อีกไม่นาน มันจะไม่เป็นไร"

    เด็กหนุ่มยืนยันด้วยแววตาแสนเชื่อมั่น

    หิมะสีขาวเกาะเต็มศีรษะ
    เส้นผมสีฟางยิ่งดูซีดจาง

    แต่ความงดงามนั้นช่างสว่างไสวแจ่มชัด

    พีเทอร์ลุกขึ้นยืน
    เดินอ้อมไปด้านหลัง

    ก่อนออกแรงเข็นรถให้อีกครั้ง
    เขาก้มมองชายหนุ่มที่แหงนหน้าขึ้นฟ้า

    ราวกับ...กำลังข่มน้ำตาไม่ให้ไหล

    เด็กหนุ่มค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงไป
    จรดริมฝีปากลงบนหน้าผากชายนิรนาม

    "..."

    ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากจุดเล็ก ๆ นั้น
    อาจไม่พอต่อกรพายุหิมะที่โปรยปราย

    แต่ช่วยปัดเป่าความเหน็บหนาวอ้างว้างในจิตใจ

    "มาเถอะ แม่คงดีใจที่คริสต์มาสปีนี้มีคนมากินข้าวเพิ่มขึ้น..."

    ทำไมถึงได้...

    "แบบนี้ผมจะได้มีข้ออ้าง..."
    พีทยิ้ม "...ให้แม่อบไก่งวงด้วย"

    ทำตัวเหมือนบ้านนักนะ?...เด็กคนนี้

    __________

    "ทันทีที่นายสอยบอมเมอร์ข้างหน้าร่วง ไอ้ 109 ข้างหลังเก็บนายตามไปแน่—"

    เงียบน่า ฟาร์เรียร์

    "เลี้ยวกลับซะ คอลลินส์"

    เงียบสิ

    "มีสมาธิหน่อย หมอนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่..."

    นักบินสหราชอาณาจักรพึมพำกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา อากาศหนาว ความกดดัน และอาการป่วยทางจิตใจร่วมมือร่วมใจกันเขย่ามือของเขาให้สั่น แต่ในที่สุดก็จัดการล็อกเป้าหมายได้ด้วยความช่วยเหลือจากเรดาร์

    "เลี้ยวกลับ หรือโดดออกไปเดี๋ยวนี้"

    เสียงฟาร์เรียร์แว่วแผ่วมาอีกครั้ง
    เสียงจากความไม่แน่ใจของเขาเอง

    คอลลินส์กลั้นหายใจ
    กดปุ่มยิง

    "..."

    เครื่องบินทิ้งระเบิดหายไปจากเรดาร์
    หากไม่มีเวลาให้ถอนหายใจด้วยซ้ำ

    !!!

    กระสุนเข้าปะทะจากด้านข้าง
    คอลลินส์หักเลี้ยวแทบไม่ทัน

    ลดเพดานบินลงต่ำ เริ่มมองหาทางหนีทีไล่ ท้องฟ้าด้านนอกสว่างไสวขึ้นเพราะระเบิดที่เหล่าศัตรูทิ้งลงไปกำลังโหมพายุไฟให้ลุกลามไปทั่วเมืองแมนเชสเตอร์...ท่ามกลางคืนวันคริสต์มาสอันแสนศักดิ์สิทธิ์...ใช่

    คืนที่ควรสว่างไสวด้วยไฟประดับตกแต่ง
    ไม่ใช่แสงเจิดจ้าและกลุ่มควันทะมึน

    ยังไงก็เถอะ เขาใช้เรดาร์ช่วยสอยหนึ่งในเครื่องทิ้งระเบิดพวกนั้นได้สำเร็จ ตอนบรีฟภารกิจยังไม่มีใครแน่ใจด้วยซ้ำว่าเทคโนโลยีใหม่จะช่วยได้แค่ไหน กลับไปคงต้องคุยสักหน่อย

    ถ้าได้กลับไปน่ะนะ

    "ไม่ๆๆ..."

    เริ่มเสียการควบคุมเครื่องยนต์ และกำลังจะโหม่งพื้นในไม่ช้า เครื่องบินขับไล่ยังคงตามบี้มาติด ๆ แต่คอลลินส์ต้องรีบหนีแล้ว

    "...?"

    เครื่องบินอีกลำปรากฏขึ้นบนเรดาร์
    คือสิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนปลดตัวจากที่นั่ง

    เมสเซอร์ชมิตต์ระดมยิงปิดฉาก
    บิวไฟเตอร์ลุกไหม้ ร่วงตามแรงโน้มถ่วง

    ร่มชูชีพกางออก
    หิมะและลมหนาวกรีดเนื้อเถือหนัง

    เขาถึงพื้นโลกอย่างปลอดภัย
    ในพื้นที่ที่อันตรายที่สุด

    ตูม!!!

    แรงระเบิดฉีกอาคารใกล้ ๆ แหลกเป็นจุณ
    ร่างนักบินปลิวราวถูกมือล่องหนฉุดกระชาก

    เอาเถอะ

    ไม่ใช่คริสต์มาสแรกสักหน่อยที่ไม่ได้กลับบ้าน

    .
    .

    ราวกับหิมะสีขาว
    นายตกลงมาอย่างเงียบๆ

    ทั้งที่เกิดขึ้นเสมอ
    ก็ยังตื่นเต้นทุกครั้ง

    ...

    "ได้ของขวัญเยอะจังนะ..."

    แฟริเออร์เงยหน้าขึ้น
    มองนักบินรุ่นน้องที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน

    บนสนามหญ้า
    ปกคลุมไปด้วยละอองขาวโพลน

    บนตักยอดนักบิน
    เต็มไปด้วยการ์ดหลากสี

    "หลาน ๆ ที่บ้านน่ะ...อยู่ในวัยขีดเขียนเลย"

    คอลลินส์หลุดหัวเราะ "มีหลานกี่คนเนี่ย"
    เอื้อมมือไปหยิบแต่ละใบมาพินิจ

    น่าจะเป็นหลานชายซะส่วนใหญ่
    วาดเครื่องบินมาเต็มไปหมด

    แฟริเออร์ไม่ได้ตอบ เพียงยกยิ้ม
    "คริสต์มาสแรกรึเปล่า"
    "หืม?"
    "ที่ไม่ได้อยู่บ้าน..."
    "อือฮึ แต่ไม่แย่อย่างที่คิดนะ ครอบครัวฉันก็มีเด็กๆ เต็มไปหมด ไม่โดนเกาะแกะสักปีก็ดี"

    คริสต์มาสที่มีแต่ฉันกับนาย
    บางทีก็ดีเหมือนกัน

    อบอุ่น
    ไม่ต่างจากบ้าน

    "ฉันก็เคยคิดแบบนั้น"
    "แบบไหน"

    คนพูดน้อยเงียบไปอีกครั้ง
    จ้องมองแต่การ์ดคริสต์มาสบนตัก

    "พอหลายๆ ปีเข้า กลายเป็นต้องภาวนา..."
    "..."
    "...ว่าคริสต์มาสนี้จะได้กลับบ้าน"

    คราวนี้เป็นคอลลินส์ที่เงียบไป

    "ว่าแต่...นายได้อะไรมาบ้างล่ะ..."
    "..."
    "คอลลินส์?"


    .
    .

    "—ลินส์...คอลลินส์!"

    นั่น...นายเหรอ
    หรือฉันคิดไปเอง

    ...อีกแล้ว?

    "ได้ยินฉันไหม ลืมตาสิ..."

    แต่เขาลืมไม่ขึ้น ความระคายเคืองที่น่าจะเป็นเลือดไหลเข้าขัดขวางการเปิดเปลือกตา คอลลินส์มองไม่เห็นอะไร แทบไม่ได้ยินอะไร ทั้งที่เจ้าของอ้อมแขนซึ่งประคองร่างเขาไว้กำลังตะโกน ทุกอย่างอื้ออึง เสียงหวีดยาวๆ บ่งบอกว่าระเบิดดับหูเขาไปแล้วชั่วคราว

    ไม่อาจรู้เลยว่าโลกแวดล้อมเกิดอะไรขึ้น
    หรืออ้อมกอดนี้มีจริงไหม

    ชีวิตนี้ยังเป็นของจริงอยู่รึเปล่า?

    "คอลลินส์...นี่ฉันเอง บีบมือหน่อยได้ไหมถ้านายได้ยิน"

    เขาแทบไม่รู้สึกถึงมือตัวเอง
    แต่ก็พยายามบีบ

    "โอเค...ไม่เป็นไรแล้วนะ..."

    เสียงทุ้มกระซิบพรมลงที่ข้างหู
    ด้วยความอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์

    "ฟ..."
    "ชู่...อย่าเพิ่งพูดอะไร โอเค?"

    ฟาร์เรียร์...

    ...จริง ๆ ด้วย

    "นายปลอดภัยแล้ว..."

    แฟริเออร์ถอดหน้ากากนักบินที่ห้อยคออยู่ทิ้ง มือข้างหนึ่งยังประคองรองศีรษะคนเจ็บไว้ อีกข้างคอยเช็ดเลือดเช็ดฝุ่นออกจากตาและใบหน้า สลับกับลูบหัวปลอบ ระหว่างรอเปลสนามจากแพทย์ทหาร

    ห่างออกไปด้านหลังคือเมสเซอร์ชมิตต์ที่เขาขโมยหนีออกมาจากค่าย ไกลกว่านั้นคือเครื่องบินแบบเดียวกันที่ตามไล่บี้บิวไฟเตอร์และถูกเขายิงตก

    พระเจ้าต้องเข้าข้างแค่ไหนที่นักบินของบิวไฟเตอร์ลำนั้นคือคอลลินส์

    ราวกับ...
    ของขวัญคริสต์มาสที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้

    "ฟาร์..."

    เจ้าตัวเปล่งเสียงได้แค่นั้น
    เขาจึงเอียงหูเข้าไปฟังใกล้ๆ

    "นาย...ค...คริสต์มาส..."

    "ถึงจะช้าหน่อย แต่คริสต์มาสนี้นายจะได้เจอครอบครัว คอลลินส์..."

    นายเหมือนกับวันคริสต์มาส
    แค่นั้นเอง...ที่เขาอยากจะบอก

    คือหิมะโปรยปรายเงียบงันตลอดค่ำ
    คือของขวัญใต้ต้นคริสต์มาสที่รอให้เปิด
    คือความรู้สึก...ของการได้กลับบ้าน

    นายคือคริสต์มาสของฉัน ฟาร์เรียร์
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in