เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
central europe 2019themoonograph
DAY9 : ฮัลล์สตัทท์ จุดเริ่มต้นที่เป็นสถานที่สุดท้าย
  • เวลาจะเริ่มทริปใดทริปหนึ่ง ทุกคนเริ่มเพราะรู้สึกอยากไปประเทศนั้นเฉย ๆ หรือเปล่าคะ? หรือเพราะอยากไปเมืองหนึ่งที่เคยได้ยินคนรีวิวมา? หรือเพราะสถานที่ที่หนึ่งที่ใคร ๆ ก็แนะนำ? แต่ในส่วนของเรา ทริปครั้งนี้เริ่มเพราะหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมทะเลสาบท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้เองค่ะ อีกหกเมืองและสองประเทศที่เหลือค่อยถูกเพิ่มเข้ามาทีหลังจนกลายมาเป็นทริปนี้ได้ 

    ถ้าถามเราว่าทริปนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร คำตอบก็คือเกิดขึ้นได้เพราะฮัลล์สตัทท์ หมู่บ้านอันเป็นจุดเริ่มต้น ที่กลายมาเป็นสถานที่สุดท้ายที่เราเดินทางมาเที่ยวจากทั้งทริป

    มุมนี้เป็นมุมที่ใคร ๆ ก็ถือว่าสวยที่สุดจากทั้งหมู่บ้าน ที่เราเลือกรูปนี้มาเปิดไม่ใช่เพราะคำพูดของทุกคนที่เคยมาเยือนที่นี่ แต่เพราะองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่รวมกันจนในที่สุดก็กลายมาเป็นรูปนี้ได้



    เช้าวันที่เก้าเราต้องรีบตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่า ๆ อีกเช่นเคย เตรียมตัวและแพ็คกระเป๋าให้พร้อมก่อนจะเดินทางไปสถานีกลางของซัลบวร์ก แพลนสำหรับวันนี้คือเราจะนั่งรถไฟของ ÖBB เที่ยวเจ็ดโมงเช้าจากซัลบวร์กไปยังฮัลล์สตัทท์ เที่ยวรอบ ๆ หมู่บ้านเป็น Day Trip แล้วนั่งรถไฟตอนประมาณห้าโมงจากฮัลล์สตัทท์กลับเวียนนาค่ะ โดยรถไฟแต่ละเที่ยวล้วนต้องไปเปลี่ยนสถานีที่ Attnang-Puchheim ค่ะ

    ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับหลายคนที่เลือกเดินทาง Route นี้เหมือนกับเรานะคะ ถ้าใครจะเที่ยวจาก Salzburg-Hallstatt-Vienna หรือ Vienna-Hallstatt-Salzburg ภายในวันเดียวโดยที่เช็คเอาท์จากโรงแรมมาแล้ว และต้องการฝากกระเป๋า จะมีวิธีฝากกันอยู่หลายวิธีค่ะ

    1) ฝากที่สถานี Attnang-Puchheim
    : ใช่ค่ะ สถานีที่เป็นจุดเปลี่ยนรถนั่นเอง แต่วิธีนี้จะแนะนำสำหรับใครที่มาแบบ Backpack กระเป๋าเป็นเป้ใบใหญ่ ๆ ไม่มีสัมภาระที่เป็นกระเป๋าลาก หรือถ้าเป็นกระเป๋าลากก็ต้องเป็นใบเล็กเท่านั้นนะคะ เพราะระยะเวลาการเปลี่ยนรถไฟที่ Attnang-Puchheim ระหว่างสามเมืองนี้ จะใช้เวลาราว 10-20 นาทีเท่านั้น และเป็นแบบนี้ทุกครั้งค่ะ แปลว่าเวลาในการจะวิ่งเอากระเป๋าไปฝากและวิ่งไปหาชานชาลา/วิ่งกลับไปเอากระเป๋าและวิ่งไปหาชานชาลา มีน้อยมาก ข้อเสียคือเรื่องเวลาที่น้อยนี่แหละค่ะ แต่ข้อดีคือราคาไม่แพง หนึ่งตู้ใส่กระเป๋าได้ตั้งหลายใบ ราคามีประมาณ 2-6 ยูโรแล้วแต่ขนาดตู้ค่ะ

    2) ฝากที่ Locker ของ Hallstatt Salt Mine Visitor Center
    : อันนี้เราไม่ได้เข้าไปดูมาด้วยตัวเอง แต่เห็นรูปผ่าน ๆ มา ตู้ฝากกระเป๋าใหญ่พอสมควรเลยนะคะ ราคาก็ตามตู้แต่คิดว่าไม่ได้แพงมากค่ะ ส่วนถ้าใครจะเข้าเหมืองเกลืออยู่แล้ว ได้ยินมาว่าฝากได้ฟรีนะคะ ตรงนี้เราก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน วิธีนี้ข้อเสียคือเรือเวลาจอดจะจอดสถานี Marktplatz ซึ่งอยู่ริมขวาสุดของหมู่บ้าน แต่ตัว Salt Mine Visitor Center จะอยู่ริมซ้ายสุดของหมู่บ้าน ซึ่งกว่าจะเดินไปถึงก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเลยค่ะ ถ้าของใครกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากคงพอไหว แต่ถ้าใบใหญ่ เราไม่แนะนำเท่าไรเลยค่ะ เพิ่มเติมนิดนึงคือจริง ๆ เราเห็นตรง Salt Mine Visitor Center เขามีท่าเรือนะคะ แต่ตัวเรือที่เรานั่งเข้าจอดแค่สถานีเดียว ไม่ได้จอดตรงนั้นอะค่ะ อีกอย่างคือจะปิดช่วงฤดูหนาวนะคะ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเมษายน 

    3) ฝากกับคนขับเรือ
    : อันนี้คือวิธีที่เราเลือก แต่ก็เป็นวิธีที่แพงที่สุดเหมือนกันค่ะ แง5555555 พอลงเรือที่ Marktplatz ปุ๊บ ใครอยากฝากกระเป๋าก็ให้เดินไปบอกคนขับเรือเลยค่ะว่าจะฝากกระเป๋า เขาจะมีบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นแนว ๆ บ้านไม้ไว้เก็บของอะค่ะ ให้เราเอากระเป๋าเข้าไปวางได้ ตกกระเป๋าใบละ 3 ยูโร ซึ่งแพงมาก แต่เราไม่ได้จะเข้าเหมืองเกลือและไม่ได้คิดว่าจะเดินไปแถบ ๆ นั้นด้วย เลยตัดสินใจเอาฝากกับคนขับเรือนี่แหละค่ะ พอจะเอากระเป๋าก็ให้เดินมาบอกเขาตอนรอบที่เราจะนั่งเรือกลับ เดี๋ยวเขาจะเปิดประตูให้ เท่าที่เราดูก็มีคนฝากเยอะอยู่นะคะ เกือบเต็มพื้นที่เลย

    4) ฝากกับ Hallstatt Tourist Office
    : เคยสามารถฝากได้ค่ะ แต่ปัจจุบันเขาไม่รับฝากแล้ว

    กลับมาที่เรื่องทริปของเราบ้างนะคะ

    เราก็นั่งรถไฟไปเปลี่ยนที่สถานี Attnang-Puchheim กัน แล้วนั่งตรงมาถึงสถานี Hallstatt ตามแพลนค่ะ แต่สถานีรถไฟ Hallstatt จะอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ ตัวหมู่บ้านจริง ๆ จะอยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ ดังนั้นทุกคนจำเป็นต้องนั่งเรือข้ามฟากไป พอเราลงรถไฟปุ๊บ คนขับเรือก็รีบมาเร่งให้วิ่งลงไปขึ้นเรือ เพราะอีก 2 นาทีเรือจะออกแล้ว ตอนแรกเราบอกเขาไปว่าถ้ารีบก็ออกก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวเรารอลำหน้า เพราะที่บ้านเราก็มีผู้ใหญ่ด้วยอะเนอะ ไม่ได้มีแค่เราที่เป็นเด็กสามารถรีบลากกระเป๋าลงไปได้ทัน แต่เขาก็บอกไม่ได้! ไปลำนี้! 2 นาที! ลำหน้าอีกหนึ่งชั่วโมง! ก็เลยต้องยอมเขาค่ะ วิ่งลากกระเป๋าลงไปกันแบบงง ๆ 555555

    ไม่ต้องซื้อตั๋วไปก่อนนะคะ ซื้อกับคนขับเรือตอนจะขึ้นเรือได้เลย เขาก็จะถามว่าเอาตั๋วไปเที่ยวเดียวหรือไป-กลับ ของเราไปเช้ากลับเย็นเลยซื้อไปเลยเป็นไป-กลับค่ะ จริง ๆ วิวจากบนเรือสวยมากนะคะ โดยเฉพาะตรงหลังเรือที่เปิดให้เดินขึ้นไปนั่งตากลมตากแดดได้ แต่เพราะเราขึ้นท้าย ๆ เลยทำให้ไม่ได้นั่งตรงนั้น เดินลงมานั่งด้านหน้าเรือแทน 

    พอลงเรือก็ฝากกระเป๋าตามสเต็ป หาห้องน้ำเข้าสักครู่แล้วเริ่มภารกิจเดินถ่ายรูปรอบเมืองค่ะ

    ปล. ห้องน้ำค่าเข้า 1 ยูโร พอลงจากเรือที่ Marktplatz แล้วให้เดินไปทางซ้ายประมาณ 300 เมตร เดี๋ยวจะเห็นจุดที่เป็นทางเดินขึ้นไปหาน้ำตก มองดี ๆ จะเจอป้าย WC สีเขียว ๆ ค่ะ

    ตอนช่วงเช้าที่เรามาแดดยังไม่ออก ฟ้ามืดมากด้วย รูปที่ถ่ายออกมาเลยดูทึม ๆ หมดเลยค่ะ แอบแต่งยากด้วยเพราะส่วนตัวเราถนัดแต่งรูปฟ้าสีสด ๆ แสงเยอะ ๆ แต่ก็ท้าทายดีค่ะ ไม่รู้ว่าออกมาสวยไหม 555555
    เป็นหนึ่งในมุมที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายกันค่ะ เดินตรงมาทางซ้ายเรื่อย ๆ ใกล้ ๆ Salt Mine เลย 
    หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมารอบหมู่บ้านค่ะ แปป ๆ ก็เที่ยง เลยซื้ออาหารมานั่งทานริมทะเลสาบ แถวนั้นมีเก้าอี้ให้นั่งพอดีเลยด้วย พอทานข้าวเที่ยงกันเสร็จ แดดก็ออกทันทีเลยค่ะ ฟ้าเปิด แสงสวย คิดได้ดังนั้นก็ไม่รอช้า รีบวนกลับไปแก้รูปใหม่ทั้งหมู่บ้านค่ะ (เหนื่อยมากแต่รูปสวยก็ยอม 5555555) 
    ตรงนี้ที่เราบอกว่ามีห้องน้ำค่ะ ถ้าเดินมาเรื่อย ๆ จากจุดที่ลงเรือแล้วมองขวา
    เห็นน้ำตกเมื่อไรก็ให้เดินตามทางขึ้นไปเลย จะเห็นป้ายห้องน้ำขวามือเลยค่ะ
    (จริง ๆ ในหมู่บ้านมีห้องน้ำสาธารณะอีกจุดหนึ่ง แต่จะอยู่ใกล้ ๆ กับเหมืองเกลือคือต้องเดินไปอีกไกลพอสมควรค่ะ)
    มาถึงจุดไฮไลท์ของทั้งหมู่บ้านที่ได้เกริ่นไปในตอนต้นบ้าง วิธีมาถ่ายรูปนะคะ เริ่มจากจุดที่ลงเรือให้เดินตรงขึ้นมาจนใกล้ ๆ โบสถ์ประจำหมู่บ้าน แล้วมองขวาค่ะ จะเห็นทางเดินลอดใต้สักอย่างที่เป็นคล้าย ๆ กับประตู แล้วเดินตรงขึ้นไปเรื่อย ๆ จะเป็นเนินสูง เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ แล้วจะเริ่มเห็นทางโค้ง ตรงจุดโค้ง ๆ นั่นเองที่เป็นมุมประจำของนักท่องเที่ยวที่จะไปถ่ายรูปกันค่ะ
    อันนี้เดินขึ้นเนินมาได้สักนิดแล้วหันหลังกลับไปถ่ายทางที่เดินมาค่ะ
    มาถึงมุมคลาสสิกของหมู่บ้านกันบ้าง กว่าจะมาเป็นรูปนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ คือเราขึ้นมาถ่ายแล้วรอบนึง (ที่ฟ้าปิด) พอเห็นฟ้าเปิดเลยวิ่งขึ้นมาถ่ายอีกรอบ แต่รอบหลังที่ขึ้นมาก็ไม่ใช่ว่าจะขึ้นมาถ่ายแบบชิว ๆ นะคะ ลองมองขึ้นไปบนฟ้าคือเมฆฝนเริ่มมาแล้ว เริ่มรู้สึกถึงน้ำหยดแหมะ ๆ รอบตัวแล้วด้วย วินาทีนั้นเราวิ่งสี่คูณร้อยเลยค่ะ แต่อุปสรรคก็ยังไม่จบที่สภาพอากาศ เพราะทัวร์มาเยอะมาก! ถ่ายกันไม่มีใครหลบใครเลย เอาจริง ๆ มันถ่ายได้ทั้งแถบแหละค่ะ แต่ส่วนตัวเราชอบตรงจุดนี้มากที่สุด ซึ่งก็เป็นจุดที่คนยืนกระจุกกันเยอะมากที่สุดเหมือนกัน 55555555 กว่าจะได้ถ่ายก็ต้องรอแล้วรอเล่า กังวลว่าฝนจะตก ฟ้าจะปิดก่อนไหม แต่ในที่สุดก็ถ่ายได้ค่ะ พอได้จังหวะก็จับกล้องนิ่ง ๆ แล้วรัวไม่หยุดเลย กะว่าค่อยกลับมาเลือกรูปเอาอีกที พอถ่ายเสร็จฝนก็โครมลงมาทันที ตกหนักมากเลยด้วย นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกจริง ๆ ที่ยอมวิ่งฝ่าฝูงชนขึ้นไปอีกรอบ เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ได้รูปนี้มาค่ะ /ปรบมือ

    อันนี้เทียบให้ดูระหว่างตอนฟ้าเปิดกับฟ้าปิดนะคะ จริง ๆ ตอนฟ้าปิดก็สวยไปอีกแบบ แต่เราแอบชอบสีกับความสดของตอนฟ้าเปิดมากกว่า แต่ก็ดีนะคะ ที่มีรูปทั้งสองแบบเก็บเอาไว้เลย
    หลังจากนั้นก็รอเรือข้ามฟากมารับ เอากระเป๋าคืน แล้วไปรอรถไฟที่สถานีมารับกลับไปเวียนนาค่ะ เป็นอีกหนึ่งวันที่สนุกและเหนื่อยมาก ๆ แต่ก็ได้รูปกลับมาเยอะมากเหมือนกัน 
    เช้าวันถัดไปก็วันสุดท้ายของเราสำหรับทริปนี้แล้วค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเพิ่มอีกเพราะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน ตื่นเช้ามาก็แพ็คกระเป๋าแล้วตรงมาที่สนามบินนานาชาติเวียนนารอขึ้นเครื่องตอนบ่ายสองเลย ใช้เวลาราวสิบชั่วโมงบนเครื่อง ผ่านเขตอากาศแปรปรวนเป็นว่าเล่นแต่ก็ลงสู่พื้นดินประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย ถือเป็นอันจบทริปออสเตรีย-เช็ก-เยอรมันของเราในครั้งนี้ค่ะ

    ขอบคุณทุกคนที่อ่านกันมาจนถึงตอนนี้ หวังว่าเรื่องราวของเราคงทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกอยากเริ่มการเดินทางของตนเองบ้าง หรือไม่ก็ให้แรงบันดาลใจดี ๆ ไม่มากก็น้อยนะคะ

    ขอให้เป็นวันที่ดีค่ะ

    — themoonograph

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in