เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ว่ายพระจันทร์thisisnothing
เต็มดวง
  • 17


    เรากอดกัน ชั่วครู่เดียวเท่านั้น — เป็นอ้อมกอดที่แฝงความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง


    ฉันไม่อยากปล่อยมือ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกอย่างต้องพบจุดจบ และวินาทีนั้นอ้อมกอดของเราก็สิ้นสุดลง


    ชาไม่ได้ถามฉันว่าร้องไห้ทำไม ได้แต่จับมือฉันไว้ พลางหยิบกระดาษทิชชู่ให้ ส่วนฉันเองก็ไม่กล้าถามว่าเพราะอะไรชาถึงรู้สึกมากมายกับการจากลาและภาพสะท้อนของคนที่ยังหายใจในแววตาผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว


    เราขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านทางเดียวกัน ฉันรู้ว่าชาต้องลงสถานีอะไร จุดสิ้นสุดของวันนี้ก็กำลังจะมาถึงเช่นกัน


    ระหว่างทาง ฉันมองขอบตาแดง ๆ ของเธอ และเธอเองก็คงกำลังมองตาบวม ๆ ของฉันอยู่ เราไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก นอกจากคุยเรื่องบ้านเมืองนอกหน้าต่างรถไฟกันอย่างเงียบ ๆ


    ก่อนจะถึงที่หมาย ชาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วเปิดแอปพลิเคชันแชท ก่อนจะหันหน้าค้นหาชื่อไอดีมาให้ฉัน


    “จะได้ติดต่อกันได้ไง”


    ฉันเกือบจะทำตัวบ้าบอด้วยการร้องไห้ออกมาอีกรอบให้ชาเห็น ความรู้สึกดีใจ ขอบคุณ และโหยหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจุกคอจนได้แต่ก้มหน้าเพิ่มตัวเองเข้าไปในโทรศัพท์มือถือของชาจนสำเร็จ ชากดส่งสติ๊กเกอร์รูปหมาหน้าตากวนตีนให้ฉันเป็นจุดเริ่มต้นของหน้าจอแชทของเรา


    ‘สวัสดีค่ะ’ ฉันพิมพ์ตอบไป


    ‘สวัสดีค่ะ’ ชาส่งกลับมาให้ฉัน


    และแล้ววันนั้นของฉันก็ไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อชากล่าวคำอำลาสุดท้ายก่อนก้าวเท้าออกจากขบวนรถไป




    18


    ไม่น่าเชื่อว่าความสัมพันธ์หนึ่งจะสามารถมีจุดเริ่มต้นได้มากกว่าหนึ่งครั้ง


    การได้รู้จักตัวตนออนไลน์ของอีกฝ่ายเปิดโอกาสให้ฉันได้เดินเข้าไปในโลกกว้างที่ชาคัดสรรเอาไว้


    และมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันหลงรักเธอน้อยลงเลย


    นั่นไง ตายล่ะ ว่ากันว่าความรักมักเข้ามาจู่โจมคุณในวินาทีที่คุณไม่คาดคิด กะทันหัน รุนแรง แต่ก็หอมหวานเสียจนอดวาดฝันไปต่าง ๆ นานาไม่ได้


    และมันก็เล่นงานฉันเข้าแล้ว


    ที่ผ่านมาฉันอาจจะรู้อยู่ลึก ๆ ในใจว่าความรู้สึกที่ก่อตัวอย่างอุกอาจในใจฉันคืออะไร แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่รับรู้การมีตัวตนอยู่ของมัน ไม่อยากคิดมาก ไม่อยากนิยาม ไม่อยากให้ความรู้สึกตอนนึกถึงหน้าอีกฝ่ายกลายเป็นเรื่องซับซ้อน คิดมาก ๆ แล้วก็พาลจะทำให้อยากร้องไห้เปล่า ๆ


    แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เผลอสะกดคำต้องห้ามนั้นขึ้นมาในใจเสียอย่างนั้น


    โทรศัพท์ฉันสั่น บ่งบอกถึงข้อความที่มีคนส่งเข้ามา แค่นั้น ใจก็เหมือนสั่นตามไปด้วย หากสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ไม่ใช่สิ่งที่หวัง ก็คงทำให้จิตใจวุ่นวายไปอีกพักใหญ่ ฉันรู้ดีว่าอาการแบบนี้ไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไร้อำนาจจะแก้ไขสถานการณ์ เป็นเหมือนข้างขึ้นข้างแรมที่หมุนเวียนไปไม่จบสิ้น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มนุษย์ตัวเล็กอย่างฉันคงไม่อาจเอื้อมมือไปแตะต้องอะไรได้


    ฉันมองโทรศัพท์มือถือในมือ แย่แล้วใช่ไหมนะ แต่สุดท้ายก็กดเปิดหน้าจอขึ้นดูข้อความ


    ‘namcha sent a photo.’


    แต่ก็ทำให้รู้สึกดีมากไปพร้อม ๆ กัน




    19


    เพื่อนที่บริษัทฉันเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างล่ะมั้ง วันนี้ถึงได้ทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าปกติธรรมดาเหมือนชวนไปกินกะเพราหมูสับราดข้าวเป็นมื้อเที่ยงว่า


    “แอมมีแฟนเหรอ”


    เป็นคำถามที่แค่ฟังก็ควรจะตอบได้ทันที ฉะฉานเสียงดังฟังชัด แต่หน้าใครบางคนที่มาวนเวียนอยู่ในความฝันช่วงนี้ก็พลอยทำให้ฉันชะงักกึกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดได้ว่าควรส่ายหน้า ปฏิเสธเรื่องเหลวไหลนี่ไปให้พ้นตัว


    “นั่นแน่” เพื่อนตัวดีไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดรอดไปได้ง่าย ๆ “คิดก่อนตอบแบบนี้แปลว่ามีคนคุย”


    “ใคร ๆ ก็มีคนคุยหรือเปล่า” ฉันย้อนเข้าให้ “นี่เราก็คุยกันอยู่ไง”


    เพื่อนสาวสั่นหัวเป็นเชิงเอือมระอา ลอนผมสีน้ำตาลแดงประบ่าไหวเป็นระลอกคลื่นตามจังหวะการเคลื่อนไหว “คนคุยพิเศษน่ะ พิเศษแบบใส่ไข่สองฟองเลย”


    ฉันแสร้งกลอกตา แต่ในใจแย้งว่า ไข่ห้าฟองเลยต่างหาก


    “ช่วงนี้เอาแต่ยิ้มให้จอโทรศัพท์ ต้องมีกิ๊กซ่อนอยู่ในนั้นแน่ ๆ”


    ฉันส่งสายตาเป็นเชิงว่า ‘ไร้สาระ’ ให้เพื่อน แล้วหมุนเก้าอี้กลับมาพิมพ์รายงานต่อในแลปทอปประจำตำแหน่ง ส่งสัญญาณว่าบทสนทนาจบลงแล้ว และในเมื่อฉันไม่เสริม ไม่อธิบาย ไม่สาธยายอะไรต่อ สุดท้ายคนอยากรู้ความเคลื่อนไหวของเพื่อนก็ต้องยอมแพ้ หมุนเก้าอี้กลับไปทำงานต่อบ้างในที่สุด


    ฉันอ่านข้อมูลบนหน้าจอ งานตรงหน้าต้องส่งภายในเย็นวันนี้ แต่ในหัวคิดถึงแต่ไข่ห้าฟองนั้น


    ความรู้สึกแท้จริงมากมายกว่าไข่ห้าฟองมากนัก แต่ขืนลองคิดจริงจังว่าต้องมากขนาดไหนนั้น เห็นทีว่าค่ำนี้อาจจะไม่ได้กลับบ้านเร็วอย่างที่วางแผนเอาไว้




    20


    ฉันไม่รู้ว่าเราคุยอะไรกันบ้าง


    ชาถามฉันว่า ‘นี่วัน ๆ เราคุยอะไรกันนักหนานะ’


    คำถามตรงไปตรงมายิ่งกว่าเส้นทางเดินรถไฟฟ้า แต่ฉันกลับตอบไม่ได้ง่าย ๆ ว่าวันหนึ่งเราคุยอะไรกันบ้าง


    พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว รวมกับไล่ดูประวัติการสนทนาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ก็พบว่าสิ่งที่เราคุยกัน กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ล้วนแล้วเป็นสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่ต่างฝ่ายต่างพบเจอ เพลงที่ฟัง หนังที่ดู คุยกันตั้งแต่เรื่องข้าวแกงหน้าบริษัท ไปจนถึงสุนัขจรจัดขนฟูประจำซอยบ้าน เรียกได้ว่าแทบเป็นการใช้บทสนทนาระหว่างกันแทนบันทึกประจำวันก็ยังได้


    เราคุยอะไรกันบ้างนะ จะว่าไปก็คงคุยกันทุกเรื่อง ไร้ซึ่งใจความสำคัญชัดเจน คล้าย ๆ คุยเพราะต้องการลดระยะทางระหว่างกัน มากกว่าจะต้องการสื่อสารเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เมื่อรู้เรื่องแล้ว การสนทนาก็อาจจบลงด้วยการส่งสติ๊กเกอร์น่ารัก หรือหัวเราะ ‘55555’


    บทสนทนาของเรายืดยาวออกไปอย่างที่สติ๊กเกอร์น่ารักหรือการหัวเราะ ‘55555’ ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้


    เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ช่วงนี้คำถามเทือกนี้มาเยือนความคิดฉันอยู่บ่อยครั้ง ฉันต้องการอะไร คาดหวังอะไร รอคอยอะไรจากสิ่งที่ทำอยู่


    แต่การคิดหาคำตอบให้คำถามมูลค่าร้อยล้านขนาดนั้นก็ดูน่าเหนื่อยหน่ายเสียเหลือเกิน ฉันต้องการความชัดเจน อยากรู้ว่าถนนที่กำลังเดินอยู่ตอนนี้มีชื่อว่าอะไร แต่ในขณะเดียวกัน ก็หวาดกลัวว่าอะไร ๆ จะไม่เป็นไปตามที่วาดหวังเอาไว้ กังวลว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ที่ปลายทางของถนนเส้นนี้ จะเป็นแก้มเปื้อนน้ำตาแทนหัวใจพองโต


    โทรศัพท์ฉันสั่นอีกครั้ง


    ฉันหยิบมันขึ้นมาเปิดดู ฉันเปรยทิ้งไว้เมื่อสี่นาทีที่แล้วว่า ‘เบื่อจัง ไม่มีอะไรทำเลย’


    ชาส่งสติ๊กเกอร์น่ารักรูปหมีมาให้ฉัน พร้อมหัวเราะ ‘55555’ มาให้อย่างครบชุด ก่อนจะส่งข้อความมาให้อีกข้อความหนึ่ง


    ข้อความที่ทำให้ฉันมือสั่น


    ‘มานั่งเล่นที่บ้านกันไหม’






เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in