เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Murderous Hand (DToL Omegaverse AU)piyarak_s
Chapter 5 : The Hand of Glory
  • “ในเมื่อมีรอยมือบนลำคอของผู้ตาย บนหน้าต่างที่เปิดอยู่ก็มีรอยนิ้ว ทำไมสารวัตรถึงยังไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมือปีศาจตามที่ภรรยาและสาวใช้ของเขาเชื่อ” ดร. ฟอล์กเนอร์ถาม หลังบริกรที่กลับมาจดรายการอาหารที่สั่งและนำเครื่องดื่มมาให้เก็บเมนูแล้วจากไป เหลือเพียงเราอยู่กันตามลำพังในมุมหนึ่งของร้านอาหารที่เราใช้เป็นสถานที่กินมื้อกลางวัน


    วันนี้ยังเป็นวันลาของเขา และหลังจากการชันสูตรที่ยาวนานพอสมควร ดร. ฟอล์กเนอร์ง่วงและเหนื่อยเกินกว่าจะทำงานต่อ ดร. เวสต์แนะให้เขากลับบ้าน เขาบอกผมว่าจะเรียกแท็กซี่กลับ แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองควรรับผิดชอบอะไรสักอย่าง จึงอาสาไปส่งเขากลับบ้าน จึงค่อยกลับไปสะสางงานต่อที่นิวสก็อตแลนด์ยาร์ด แต่ชวนเขาแวะกินอาหารกลางวันกันก่อน เพื่อชดเชยมื้อเช้าที่พลาดไป


    คำถามของเขาเป็นคำถามที่ผมไม่คิดว่าเขาจะถาม แต่สีหน้าและท่าทีของเขาดูจริงจังเกินกว่าจะล้อเล่น


    “ผมตอบตามตรงนะ คุณหมอ” ผมบอก “ผมทำคดีให้จบด้วยการสรุปว่าเจมส์ พ็อตต์ถูกมือผีที่เขาซื้อมาฆ่าตายไม่ได้ และที่สำคัญ ผมไม่เชื่อว่า เจมส์ พ็อตต์ตายเพราะมือผีนั่น เพราะมีข้อบ่งชี้หลายอย่างที่แสดงให้ผมเห็นว่า เขาตายด้วยฝีมือมนุษย์ หมอเป็นคนผ่าศพเขาเองกับมือก็ให้คำตอบนั้นกับผมแล้ว… ผมคิดว่า มันเป็นสิ่งที่ฆาตกรใช้เบี่ยงเบนความสนใจจากตำรวจและผู้พบเห็น มีอะไรหลายอย่างที่แปลกประหลาด เช่น เขามีเหตุผลอะไรที่จะต้องเอาของสยองขวัญอย่างมือมนุษย์ตากแห้งมาเก็บไว้ที่บ้าน และยิ่งไปกว่านั้น ใครบ้าพอที่จะซื้อมือนั้นต่อจากเขา”


    “อีกคำถามจากผม คือ เขาเอามือตากแห้งนั้นมาจากไหน...” เขาเสริม “ถ้ามันเป็น เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่ ‘ของจริง’ ก็มีความเป็นไปได้สองสามอย่าง คือ เขาขโมยมาจากพิพิธภัณฑ์ ซื้อมันต่อมาจากใครสักคน  หรือทำขึ้นเอง”


    เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่... อย่างที่เขาเรียก คือ ชื่อของของสิ่งนั้นที่คลาร่า พ็อตต์บอกกับผมว่ามันหายไปจากห้องและกล่องที่เขาเก็บมันเอาไว้ แต่ผมยังไม่เคยให้ข่าวนี้กับสื่อมวลชน นอกจากมีสิ่งของบางอย่างหายไปเท่านั้น โดยเหตุผลที่ผมยังไม่อยากนิยามมันให้ชัดเจนไปมากกว่า ไม่ว่ามันจะเป็นมือตากแห้ง มือผี หรือมือปีศาจอย่างที่เจนนี่แม่บ้านต่างชาติของครอบครัวพ็อตต์ตะโกนบอกทุกคนด้วยอารามตกใจเพราะมีอะไรบางอย่างที่ผมกำลังสงสัยเกี่ยวกับมัน และโทเบียส ฟอล์กเนอร์เป็นคนตั้งข้อสังเกตได้ตรงกับสิ่งที่ผมยังเก็บเอาไว้ในใจออกมาเป็นคนแรก


    “คุณหมอคิดว่าข้อไหน”


    “ไม่น่าใช่ข้อแรก... เท่าที่ผมรู้ 'เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่ของจริง' มีเพียงชิ้นเดียวอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่วิทบี้ ถ้ามันหายไปคงเป็นข่าวครึกโครมน่าดู”


    ดร. ฟอล์กเนอร์ดึงแขนสเวตเตอร์ขึ้นจนพ้นข้อมือ วางข้อศอกลงบนโต๊ะ ชูมือซ้ายขึ้นในท่าที่ผมสามารถเห็นได้ถนัด


    “อีกอย่างหนึ่ง ลักษณะของรอยมือเปื้อนหมึกบนลำคอของเขาไม่ใช่ลักษณะเดียวกับการวางมือของเดอะแฮนด์ออฟกลอรี่ที่วิทบี้ เพราะเชิงเทียนมือมนุษย์ที่วิทบี้ เรียงนิ้วทั้งห้านิ้วเสมอกันมีช่องว่างเล็กน้อยระหว่างนิ้ว”


    เขาอธิบายพร้อมทำมือให้ดูเพื่อให้เห็นภาพ กางนิ้วโป้งออก และงอนิ้วอื่น ๆ เล็กน้อย ในลักษณะเดียวกับรอยมือที่ปรากฏบนคอของเจมส์ผู้ตาย ในขณะที่ผมยกมือข้างเดียวกันขึ้นเลียนแบบลักษณะการวางนิ้วของเดอะแฮนด์ออฟกลอรี่ของดั้งเดิมที่เขาทำก่อนหน้านี้ และวางเทียบกับมือของเขา ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน


    "เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่หรือมือตากแห้งไหน ๆ ก็ตาม ไม่มีความยืดหยุ่นมากพอที่จะขยับ โดยที่ไม่หักเสียหาย หรือผิดรูปไปได้ด้วย"


    “คุณหมอเคยเห็นเดอะแฮนด์ออฟกลอรี่ของจริงแล้วสินะถึงมองออก” 


    “ผมเคยเห็นมันที่พิพิธภัณฑ์วิทบี้สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย” เขาพยักหน้ารับ “สารวัตรก็เคยเห็นแล้วเหมือนกันใช่ไหมครับ ถึงได้คิดว่า สิ่งที่ทำให้ผู้ตายเสียชีวิตไม่ใช่สิ่งนั้นแน่นอน”


    “ใช่ครับ เมื่อก่อนผมเคยทำงานในกองตำรวจที่นอร์ทไรดิ้ง ส่วนภรรยาผมเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่เชิร์ชสตรีทในวิทบี้...”


    นาทีที่ผมเอ่ยถึงแมรี่ว่าเป็นภรรยาของผม ดวงตาสีเขียวคู่นั้นแสดงออกว่า จดจำได้ และวูบไหวด้วยความรู้สึกผิดอยู่แวบหนึ่ง ก่อนสบตอบผมเหมือนพยายามข่มใจว่าไม่ได้รู้สึกอะไรและไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลดมือลง เอื้อมออกไปหยิบแก้วน้ำแร่ขึ้นมาดื่ม ผมอ่านท่าทีนั้นออก แต่ไม่ทันได้ขยายความ บริกรก็นำลาซานญาเนื้อของผม และปานินี่แซลมอนของเขามาเสิร์ฟให้เสียก่อน


    ช่วงเวลานั้น เป็นความเงียบที่ชวนอึดอัดอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกระหว่างเราสองคน


    “แมรี่ภรรยาผมเสียไปเมื่อสิบปีก่อนแล้วครับ คุณหมอ... เธอเสียไปก่อนที่ผมจะย้ายมาทำงานที่ลอนดอน” ผมบอก หลังจากพนักงานคล้อยหลังไปแล้วและเหลือเราเพียงสองคน


    ถึงผมจะอดใจหายไม่ได้ที่การได้พบและเริ่มต้นใหม่กับเขาอาจหมายถึงการบอกลากับคนที่ผมเคยรักและไม่คิดว่าตัวเองจะเริ่มต้นใหม่กับใครได้อีก แต่ผมกับเขาต่างเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่ปล่อยให้ความเข้าใจผิดมีผลกับการตัดสินใจของเรา ผมอายุมากเกินกว่าที่จะปล่อยให้เวลาเสียเปล่า และทำให้เขาต้องไม่สบายใจโดยไม่จำเป็น


    “เสียใจด้วยครับ” ดร. ฟอล์กเนอร์เอ่ย “เธอเป็นคนน่ารักมาก และมีความรู้เรื่องหนังสือที่น่าทึ่งทีเดียว”


    จากคำพูดของเขา ผมเชื่อเหลือเกินว่า เขาเลือกที่จะผละจากโดยไม่อยู่รอพบทั้งทีี่เขารับรู้ได้จากกลิ่นประจำตัวที่แฝงอยู่ในร้านหนังสือว่าผมไปที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง เพราะเขารู้ว่า ผมมีใครอยู่ในเวลานั้น และสิ่งที่ผมเห็นจากเขาเมื่อครู่นี้ ก็ช่วยย้ำความเชื่อของผมว่า เราต่างเลือกที่จะไม่ทำผิดกับแมรี่ แม้ว่าคำว่า ‘คู่แท้’ จะสามารถใช้เป็นข้ออ้างสำหรับลบล้างทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ก็ตาม


    ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ได้อยู่ด้วยกัน ผมแน่ใจว่า ผมชอบเขา ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่เขาถูกเบื้องบนกำหนดมาให้เป็นคู่แท้ของผม แต่ผมชอบเขา เพราะผมรู้สึกว่าเราเข้ากันได้ เขาเป็นคนเก่ง เขาเป็นคนดีและความอ่อนไหวบางอย่างที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกเย็นชานั้น ทำให้ผมอยากรู้จักเขามากขึ้นและอยากปกป้องเขาไปในเวลาเดียวกัน ผมไม่อยากพบเขาเพียงแค่ในวันนี้หรือในเวลางาน แต่ผมยังอยากพบเขาอีกในวันต่อไปข้างหน้า


    “ขอบคุณครับ ถ้าเธอยังอยู่คงดีใจมากที่ได้ยินอย่างนี้” ผมยิ้มให้เขา และได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา


    จากนั้น เราต่างคนก็ต่างจัดการมื้อกลางวันตรงหน้าไปพร้อมกับสนทนาเรื่องที่ค้างอยู่เมื่อครู่ แม้จะดูไม่เหมาะกับการเป็นหัวข้อพูดคุยระหว่างรับประทานอาหารนัก แต่สำหรับคนที่มีอาชีพแบบเขาและผม มันเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน


    “กลับมาที่เรื่องของเรา สรุปว่าเรื่องเดอะแฮนด์ออฟกลอรี่ ‘ของจริง’ เป็นอันตัดออกไป" ดร. ฟอล์กเนอร์สรุปประเด็นแรก "แต่ยังมีประเด็นว่าถ้ายังมี ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ ที่ทำจากมือมนุษย์จริง ๆ ไม่ใช่อุปกรณ์ประกอบฉากหนังแฮรี่ พ็อตเตอร์หรือโมเดลเลียนแบบ เขาซื้อมันมาจากที่ไหน หรือถ้าเขาเป็นคนทำมันขึ้นเองเขาไปเอามือมนุษย์จริง ๆ ที่ถูกตัดนั้นมาจากไหน”


    “เท่าที่ทีมของเราหาข้อมูลได้ในตอนนี้ ไม่มีใครที่ขายของประเภทที่ว่า ยกเว้นเท้ากระต่ายกับเท้าเม่นตากแห้งที่ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง แม้กระทั่งในเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ก็ยังไม่เคยมีใครเคยพบ” ผมตอบ “แต่จากประวัติอาชญากรรม ถ้าเขาจะเอามือมนุษย์สักคนมาได้ ก็มีโอกาสอยู่ เพราะเจมส์ พ็อตต์เคยติดคุกข้อหาทำร้ายร่างกายด้วยการเอามีดไล่ฟันคนอื่นจนบาดเจ็บมาแล้ว และเคยมีชื่อพัวพันกับการให้ที่อยู่กับโจรเรียกค่าไถ่ที่ตัดนิ้วเหยื่อส่งให้พ่อแม่เป็นการข่มขู่เมื่อยี่สิบปีก่อน  แต่หลักฐานไม่เพียงพอที่จะมัดตัวเขา ถึงอย่างนั้น ถ้าเขาจะทำอะไรทำนองนี้ขึ้นมา ก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน”


    ดร. ฟอล์กเนอร์พยักหน้ารับ แต่สีหน้าของเขาดูเหมือนยังมีบางอย่างที่ติดใจสงสัย “แล้วใครกันครับที่อยากจะได้ของอาถรรพ์อย่าง ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ ไปไว้ที่บ้าน เพราะเท่าที่ผมรู้จักกับคนในวงการ ‘ห้องสารภัณฑ์’ ทั้งหลาย ก็ไม่มีใครที่ตามหามัน หรืออย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่ต้องการของปลอมไปอยู่ในคอลเลคชั่นให้ขายหน้าแน่ ๆ”


    “ห้องสารภัณฑ์งั้นเหรอ คุณหมอ” ผมขมวดคิ้ว


    “Cabinet of Curiosity หรือ Wunderkammer คือ พิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลขนาดย่อมที่ใช้สะสมสิ่งต่างๆ ที่มีคุณค่าทางวิทยาศาสตร์หรือวัฒนธรรม หรือของแปลกน่าสนใจน่ะครับ” เขาอธิบาย “สารวัตรลองนึกถึงห้องที่เอาของสะสมแปลก ๆ อย่างจระเข้สตัฟฟ์ หินอุกกาบาต หรือหอกของชนพื้นเมืองในหมู่เกาะแปซิฟิกใต้มาจัดแสดงเอาไว้ด้วยกันในสมัยเรอแนสซองส์หรือวิคตอเรียนก็ได้”


    ดูท่าแล้วผมคงจะแสดงสีหน้าฉงนใจหรือพิศวงเต็มทีกับเรื่องของ ‘ห้องพิศวง’ ที่เขาเอ่ยถึง และดูเหมือนว่าเขาจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ดีมากเป็นพิเศษ เพราะ ดร.ฟอล์กเนอร์วางส้อมกับมีด และมองผมด้วยรอยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ก่อนอธิบายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ 


    “กีเดี้ยนพี่ชายคนที่ห้าของผมเป็นภัณฑารักษ์ของบริติชมิวเซียมครับ ห้องสารภัณฑ์เป็นความสนใจพิเศษของเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ดร. แฮมิลตัน กับ ดร. เวสต์ อาจารย์ของผมถึงได้เสนอชื่อผมให้ร่วมชันสูตรในเวลามีคดีที่เกี่ยวข้องกับ ‘ของแปลก’ พวกนี้เข้ามา...”


    “แต่ทำไมผมไม่เคยได้ยินชื่อคุณหมอในทำเนียบพยานผู้เชี่ยวชาญมาก่อน... ทำไมไม่เคยมีใครพูดถึงชื่อคุณหมอให้ผมได้ยินเลย”


    โทเบียส ฟอล์กเนอร์ยิ้มน้อย ๆ “แทบไม่มีตำรวจสืบสวนที่เป็นอัลฟ่าคนไหนที่อยากฟังหรือยอมรับความคิดเห็นทางคดีจากโอเมก้าแบบผมหรอกครับ สารวัตร พวกเขาพร้อมที่จะเชื่อพวกเดียวกันหรือเบต้ามากกว่า แต่ก็ดีแล้ว เพราะน้ำหนักคำให้การของมือสมัครเล่นมีผลต่อความน่าเชื่อถือของคดี และจะได้ไม่มีใครมาเที่ยววุ่นวายกับผมด้วย”


    น้ำเสียงราบเรียบของเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจ แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็สังเกตเห็นความผิดหวังและเหนื่อยใจที่ไม่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญอย่างเท่าเทียม เพียงเพราะโอเมก้ามีสถานะทางเพศที่ด้อยกว่าก็เจือปนอยู่ในท่าทีคล้ายไม่ยี่หระนั้นด้วยเช่นกัน 


    “คนที่มาวุ่นวายกับคุณหมอนั่นหมายถึงผมด้วยหรือเปล่า”


    แพทย์นิติเวชเลิกคิ้วกับคำถามดังกล่าวขยับแว่นสายตาที่สวมอยู่ ส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมหัวเราะเบา ๆ ไปกับผม  “ไม่ใช่เลยครับ ต้องขอบคุณสารวัตรมากกว่าที่ให้โอกาส”


    คำว่า 'โอกาส' ที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้าทำให้ผมอยากจะดึงตัวเขามากอดแน่น ๆ สักครั้งหนึ่ง แล้วบอกว่าผมเชื่อในความสามารถของเขา เหมือนกับที่ทุกคนรอบตัวของเขาเชื่อ แต่ผมรู้ว่า คนอย่างเขาไม่ต้องการความเห็นใจใด ๆ ทั้งสิ้น


    “คุณหมอคิดว่ามีอะไรที่ผมควรจะรู้เกี่ยวกับ ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ อีกบ้าง” ผมถามและจัดการกับอาหารกลางวันของตัวเองต่อเช่นเดียวกับเขา “เพราะถ้าเป็นคนที่รู้เรื่องของเก่าหรือสิ่งสะสมที่คู่ควรกับการเก็บไว้ในห้องสารภัณฑ์ก็ไม่น่าจะอยากได้ของที่อาจเป็นของปลอมเลย”


    “เท่าที่ผมจำได้ สารวัตรบอกว่าเขาเตรียมจะขายให้คนอื่นไม่ใช่หรือครับ ชื่อของคนคนนั้นน่าจะอยู่ในบัญชีลูกค้า”


    “น่าเสียดายที่ไม่มีสมุดบัญชีที่จดเอาไว้ด้วยลายมือหรือแฟ้มเอกสารที่พิมพ์เป็นสำเนาออกมา ภรรยาของเขาแจ้งให้ทราบแค่ว่า ชื่อมิสเตอร์สแตนตัน” ผมว่า “นั่นเป็นจุดที่แปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า กิจการค้าของเก่าของเจมส์ พ็อตต์ไม่ชอบมาพากลจนผมคิดว่าเขาอาจได้รายได้จากการแบล็คเมล์คนในวงการของเก่าหรือคนที่ลักลอบค้าของเถื่อน หรือเอาของปลอมมาหลอกขายก็ได้”


    ผมหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความทรงจำเกี่ยวกับกลิ่นแปลกปลอมที่สัมผัสได้ในร้านของเจมส์ พ็อตต์ผุดขึ้นในใจ สัญชาตญาณของผมบอกว่า กลิ่นประจำตัวของอัลฟ่าชั้นสูงและน้ำหอมนั้นอาจเป็นกลิ่นของสแตนตันคนนั้นก็เป็นได้ ถึงไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่านัก แต่ผมก็ตัดสินใจพูดความคิดของตัวเองออกมา


    “เจมส์ พ็อตต์อาจตั้งใจใช้มือผีนั่นในการแบล็คเมล์ใครสักคนมากกว่าตั้งใจขายให้ และบุคคลที่ว่าอาจไม่ต้องการให้เรื่องแพร่งพรายจึงต้องการฆ่าเขาเพื่อปิดปากและเอามือนั้นไปเสีย โดยทำทีว่าเขาถูกสิ่งลึกลับทำให้ตาย ซึ่งฟังดูไม่เข้าท่าเลย”


    “และเป็นการพยายามอำพรางคดีที่เหลวไหลและไร้ประโยชน์สิ้นดี” ดร. ฟอล์กเนอร์ออกความเห็น “ถึงคนอังกฤษเราจะบ้าเรื่องผีกันขนาดหนัก แต่ตำรวจก็ต้องหา ‘คน’ ที่เป็นฆาตกรมาให้ได้ และคนที่จะถูกเพ่งเล็งมากที่สุด ย่อมไม่พ้นคนที่ต้องการซื้อ ‘เดอะ แฮนด์ ออฟ กลอรี่’ นั่นเป็นคนแรกแต่ในกรณีจนตรอก ก็ไม่แน่ แต่ผมยังไม่อยากซื้อทฤษฎีนี้เท่าไหร่”


    “ผมก็คิดแบบนั้น” ผมถอนใจ “ผมยังสรุปไม่ได้ว่า ใครเป็นคนฆ่ากันแน่ จนกว่าจะได้ทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงของเขาจากแพทย์… ผมยังตัดใครออกไม่ได้ แล้วเผลอ ๆ เราอาจจะได้ชื่อผู้ต้องสงสัยรายใหม่เพิ่มขึ้นก็ได้”


    เมื่อผมพูดจบ ดร.ฟอล์กเนอร์ก็ยิ้มออกมา แม้จะแสดงความเห็นด้วยกับข้อสรุปเบื้องนั้นแต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก


    “ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่า คุณหมอ”


    “เปล่าครับ” เขาส่ายหน้า “ผมกำลังจะบอกว่า เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผมเห็นจากการผ่าศพของผู้ตายกับเรื่องที่สารวัตรเล่า ผมก็นึกถึงความเชื่ออย่างหนึ่งเกี่ยวกับอำนาจของ ‘เดอะ แฮนด์ ออฟ กลอรี่’ ขึ้นมาได้”


     “อำนาจสะกดคนให้หลับ หรือเคลื่อนไหวไม่ได้น่ะหรือ คุณหมอ” 


    เขาไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ แต่ท่องบทกวีขึ้นมาบทหนึ่งน้ำเสียงของเขาทำให้ผมนั่งนิ่งเหมือนถูกสะกด 


    “At the spell of the Dead Man's hand

    Sleep, all who sleep! -- Wake, all who wake!

    But be as the dead for the Dead Man's sake!” *


    อำนาจแท้จริงของ ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ ทำให้คนที่หลับยังคงหลับคนที่ตื่นยังคงตื่น ไม่เพียงแต่ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ หากยังไร้ความรู้สึกปราศจากการรับรู้เสมือนคนที่ตายไปแล้วทำให้ผู้ประสงค์ร้ายสามารถดำเนินการได้ตามอำเภอใจ


    “นั่นเป็นอำนาจของ ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ ที่เขียนเอาไว้ในเรื่องThe Nurse’s Story จาก Ingoldsby Legends หนังสือรวมบทกวีเล่าเรื่องภูติผีปีศาจตำนานและเรื่องลึกลับ” ดร. ฟอล์กเนอร์กล่าว “อำนาจที่ว่าไม่ได้มีที่มาที่ไปลอยๆ หรอกนะครับ และอาจเกี่ยวกับเรื่องที่สารวัตรอยากทราบด้วย”


    ผมโน้มตัวเข้าไปหาเขา “มันคืออะไรครับ คุณหมอ”


    “คำว่า‘the Hand of Glory’ นี้ เชื่อว่ามีที่มาจากคำว่า ‘La Main de Gloire’ ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า ‘Mandragora’ หรือ ‘mandrake’ ซึ่งเป็นชื่อของพืชในตำนานอีกทีหนึ่ง และคำว่า ‘ลา แม็ง เดอ กลัวร์’ ก็คือคำว่า ‘เดอะ แฮนด์ ออฟ กลอรี่’ ในภาษาอังกฤษนั่นเอง” เขาอธิบาย “มันดราโกรา หรือ แมนเดรก หรือ ‘ลา แม็ง เดอ กลัวร์’ เป็นพืชในตำนานที่เล่ากันว่า หัวหรือรากของมันมีรากเป็นรูปมนุษย์ เมื่อถอนขึ้นมาจากดินจะส่งเสียงกรีดร้องทำให้ผู้ที่ถอนกลายเป็นคนวิกลจริตได้ ประเด็นสำคัญของทั้งแมนเดรกและเชิงเทียนมือมนุษย์นั่น คือ อำนาจในการทำให้คนเสียสติและขยับตัวไม่ได้ ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่า ผู้ตายมีอาการเหมือนขาดอากาศหายใจ และมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อในร่างกาย”


    “คุณสมบัติในการสะกดคนให้ไม่รู้สึกตัวของ ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ ก็คือคุณสมบัติหนึ่งของมันดราโกรา” เขาขยายความ “รากของมันดราโกรามีคุณสมบัติในทั้งกดประสาท กล่อมประสาท และหลอนประสาทด้วย เพราะฉะนั้น พิษจากมันดราโกราอาจทำให้ผู้ที่ได้รับพิษจากพืชชนิดนี้มีอาการประสาทหลอนหายใจไม่ออก เพราะมันไปกดการทำงานของระบบหายใจของคนคนนั้นได้... ”


    “คุณหมอคิดว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ ‘เดอะแฮนด์ออฟกลอรี่’ ของเจมส์  พ็อตต์จะหมายถึงต้นแมนเดรกจริง ๆ หรือสารเสพติดที่มีฤทธิ์ใกล้เคียงกับต้นแมนเดรก และสิ่งที่เขาได้รับเข้าไป คือสารที่ออกฤทธิ์ในลักษณะนี้”


    ดร.ฟอล์กเนอร์มีท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้ารับ “นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่เหมือนกัน พรุ่งนี้ ผมจะลองโทรศัพท์ไปคุยกับเจ้าหน้าที่แล็บให้ว่า เขาจะตรวจหาและระบุสารเคมีที่พบในตัวอย่างเลือด เส้นผมและเนื้อเยื่อที่เราส่งให้ได้เร็วที่สุดเท่าไหร่ก็แล้วกันครับ สารวัตร”


    “ขอบคุณมาก คุณหมอ”


    “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีช่วย เพราะผมเองก็อยากทราบเหมือนกัน” เขายิ้มตอบ และหันไปหาพนักงานเพื่อให้เก็บค่าอาหาร


    ไม่ทันที่ผมจะออกปากบอกเขาว่า ผมขอเป็นฝ่ายเลี้ยงอาหารกลางวันเขา เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าแจ็คเก็ตของผมก็ดังขึ้น หมายเลขบนหน้าจอบอกว่า เป็นสายของจ่ามัสเกรฟ


    “มิสซิสพ็อตต์ ภรรยาของผู้ตาย กับเจนนี่ ลูกจ้างต้องการมาเก็บของใช้ส่วนตัวที่ลืมไว้ครับสารวัตร”


    “โอเค บอกให้เขารออยู่ที่นั่น ผมจะรีบไป” ผมตอบกลับไป


    หลังวางสาย ผมเงยหน้าขึ้นและพบว่าเพื่อนร่วมโต๊ะกำลังมองผมอยู่ด้วยสายตาที่มีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น


    ผมตอบเขาไปตามตรง ในใจของผมตอนนี้ ผมอยากให้เขาไปดูที่เกิดเหตุกับผมด้วย เพราะผมเชื่อว่าเขาคงมีความเห็นบางอย่างที่เป็นประโยชน์ แต่ผมก็รู้ว่ามันเป็นความคิดที่ได้คืบจะเอาศอกมากไปสักหน่อย ผมรับปากเขาแล้วว่าจะพาเขาไปส่งที่บ้าน เพื่อให้เขาได้พักผ่อนหลังจากเขาอุตส่าห์ออกมาช่วยงานของผมทั้งที่เป็นวันลา รวมถึงยอมทำสิ่งที่เป็นอันตรายกับสุขภาพที่เพิ่งเริ่มดีขึ้นของตัวเองเพื่อทำงานให้ผม


    “เดี๋ยวผมไปส่งคุณหมอที่บ้านก่อนก็แล้วกัน คุณหมอจะได้พักสักที ผมรบกวนคุณหมอมามากแล้ว”


    “ถ้าสารวัตรไม่ว่าอะไร ผมขอไปด้วยได้ไหมครับ เผื่อว่าจะทำตัวเป็นประโยชน์ได้บ้าง ไหน ๆ ที่เกิดเหตุก็อยู่ในย่านไวท์ชาเพลอยู่แล้ว ถ้าต้องไปส่งผมที่ชานเซอรี่เลนแล้วต้องย้อนกลับมาอีสต์เอนด์อีก จะเสียเวลาเกินไป”


    “ถ้าอย่างนั้นให้ผมเลี้ยงนะ มื้อนี้...” ผมบอก


    ดร.โทเบียส ฟอล์กเนอร์ยิ้มรับ และเก็บกระเป๋าสตางค์กลับเข้าไปในกระเป๋าโค้ตของเขาตามเดิม พร้อมเอื้อมมือออกมาสัมผัสกับมือของผม 


    ในคราวนี้ สัมผัสที่ถูกส่งผ่านไม่ใช่กระแสของแรงดึงดูดที่ฉุดเราสองคนให้ทำในสิ่งที่สัญชาตญาณเบื้องลึกของอัลฟ่ากับโอเมก้าที่ถูกกำหนดมาให้คู่กันเรียกร้องอีกแล้ว แต่เป็นความไว้เนื้อเชื่อใจ และเชื่อมั่นในตัวของกันและกัน ในฐานะของคู่หูที่ต่อไปนี้จะขาดกันไปเสียไม่ได้



    To be continued.... 


    * จากเรื่องTheNurse’s Story หรือTheHand of Glory ในIngoldsbyLegends (1837) ประพันธ์โดยThomasIngoldsby ซึ่งเป็นนามปากกาของสาธุคุณRichardHarris Barham
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
salmonrism (@salmonrism)
พอเป็นเวอร์ชั่นนี้ก็ดูละมุนขึ้นไปกว่าเดิมหลายเท่าไปเลยค่ะ
belibalii (@belibalii)
อ่านจนถึงตอนนี้ ขอยอมรับและชื่นชมเลยค่ะว่า คุณนักเขียนข้อมูลแน่นมากกกก
และสารภาพเลยค่ะว่า รู้เรื่องตำนาน เรื่องสถานที่ เรื่องวัฒนธรรมอังกฤษน้อยมาก
และตอนนี้เครื่องร้อนมากค่ะ เดี๋ยวจะไปตามเสิร์ช ตามอ่านบ้าง อยากรู้ๆๆๆ 555+

ส่วนเรื่องตัวละครตอนนี้ชอบมากเลยค่ะ
ที่คุณอัลฟ่ากับโอเมก้ามีความเป็นไปในทางที่ดี ดูเข้ากันได้ดี ทั้งในเรื่องงานแล้วก็เรื่องความสนใจส่วนตัว
ตอนนี้รู้สึกเหมือนเขาทั้งคู่กำลังเรียนรู้กันและกัน ทำความรู้จักกันมากขึ้นๆๆๆ
ชอบมากเลยค่าาา สนุกๆๆๆๆ ติดหนึบเลย
iiiiiiiiih (@iiiiiiiiih)
ขอชื่นชมคนเขียนมากๆค่ะ ข้อมูลละเอียดแน่นมาก ความสัมพันธ์ของคุณหมอกับสารวัตรก็ดูน่ารักเหมาะกับวัย ที่ไม่ใช่แค่โฟกัสความหวาน แต่เป็นความคิดความเข้ากันได้ อะไรประมาณนีื ชอบมากเลยค่ะ
piyarak_s (@piyarak_s)
@iiiiiiiiih ขอบคุณมากค่ะ ดีใจที่ชอบ สองคนนี้เพิ่งเจอกันแค่ 24 ชั่วโมงเอง เลยยังไม่ได้อะไรมากค่ะ อยากเน้นความสัมพันธ์เรื่องอื่นนอกจากความรักมากกว่า เลยเขียนออกมาแบบนี้
aqmrtm (@aqmrtm)
ต้นไม้ที่ส่งเสียงกรีดร้องได้นี่ทำเอานึกถึงแฮร์รี่ขึ้นมา ถ้าจำไม่ผิดก็เรียกว่าต้นแมนแดรกใช่มั้ยคะ?

โอ้ย ความรอบรู้ของคุณหมอทำเอาเราทึ่งมากจริงๆ เพราะเป็นเรื่องที่ชอบและถนัดทำให้ศึกษามันอย่างลึกซึ้ง พอฟังไปเรื่อยๆแล้วรู้สึกตื่นเต้นมากค่ะที่สองคนนี้ทำงานเข้ากันได้ดีขนาดนี้ คุณหมอเก่งมากๆ แถมสารวัตรก็ช่วยออกความคิดเห็นด้วย ตอนที่จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กันนี่ดีมากๆเลย :) ยิ่งกว่าคำว่าคู่แท้ก็คือมิตรภาพในการทำงานที่เพิ่มเข้ามาด้วยเนอะคะ

สิ่งน่ารักๆก็คือสองคนนี้มีความคิดไปในแนวเดียวกันด้วย สารวัตรอยากให้ไปแล้วคุณหมอก็อยากไปด้วยจริงๆ ฮือ แอบเขินกับอะไรแบบนี้แหละค่ะ เค้าน่ารักกันมากๆเลย แถมยังคอยซัพพอร์ตคุณหมอเป็นอย่างดี น่ารักจริงๆค่ะ

เราอาจจะไม่ได้พูดถึงตัวเนื้อเรื่องสอบสวนอะไรมากนักเพราะไม่ม่ีความรู้ทางด้านนี้มาก่อนเลย ได้แต่อ่านแล้วพยายามทำความเข้าใจเนื้อเรื่องไปด้วย แต่คดีนี้ยอมรับเลยนะคะว่าคนร้ายคิดแผนการลึกซึ้งอยู่พอควร จากการที่มีเดอะแฮนด์ออฟกลอรี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีกเนี่ย

เราคงแวะเข้ามาคุยด้วยทุกตอนเลยค่ะ แฮะๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ
piyarak_s (@piyarak_s)
@aqmrtm ไม่เบื่อเลยค่ะ ดีใจมากกว่าที่มีคนคุยด้วยแบบนี้ /รีบบอกไว้ก่อน เดี๋ยวหนี ><

ต้นที่กรีดร้องได้ในแฮรี่ พ็อตเตอร์ คือ ต้นแมนเดรก หรือ มันดราโกราที่พูดถึงเลยค่ะ แต่ในโลกจริงก็มี แค่หน้าตาไม่ได้เป็นคนชัดเจน แต่มีฤทธิ์หลอนประสาททำให้คนเสียสติได้เหมือนกัน ถ้าใช้เกินขนาด

อยากบอกว่า ดีใจมากๆ เลยค่ะ ที่มีคนเข้าใจประเด็นนี้ เรื่องที่ความสัมพันธ์ที่มีมิตรภาพกับความเคารพในตัวของกันเป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งกว่าความเป็นคู่แท้ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ คนที่เป็นคู่แท้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องที่ฟ้ากำหนดมาให้พบกัน แต่เป็นคู่คิดที่จะอยู่ด้วยกัน สนับสนุนกันไปตลอดเท่าที่จะเป็นไปได้มากกว่า

จริงๆ เรื่องนี้ แบ่งได้เป็นสองส่วนเลยค่ะ จะอ่านแบบเรื่องสอบสวน หรือเป็นโอเมก้าเวิร์สแท้ ๆ ที่มีตัวละครทำงานด้านสืบสวนสอบสวนก็ได้ ส่วนมือนั้นอยู่ในแผนแต่แรกหรืออะไรยังไง จะค่อยๆ เฉลยนะคะ

ขอบคุณมากๆ ที่มาคุยกันค่ะ ><