เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Murderous Hand (DToL Omegaverse AU)piyarak_s
Chapter 4 : In the Morgue
  • ที่ห้องชันสูตร เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน ดร. ฟอล์กเนอร์ กับ ผม ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเอ่ยทักทายทุกคนตามปกติ ผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ที่นั่นมีจ่ามัสเกรฟ คู่หูคนปัจจุบันของผม ดร. เวสต์ ซึ่งผมได้พบเมื่อวานนี้ ส่วนคนที่ผมเพิ่งรู้จักวันนี้ คือ ดร.ซาแมนธา เคน เบต้าเพศหญิง แพทย์ประจำบ้านปีแรก และเจสัน กู้ดวิน เบต้าเพศชาย เจ้าหน้าที่ประจำห้องชันสูตรศพ


    ศพของเจมส์ พ็อตต์ถูกเบิกออกมาจากช่องเก็บ และนำมาวางไว้บนเตียงสเตนเลสสำหรับผ่าศพโดยเฉพาะ เหนือเตียงดังกล่าวมีกล้องวิดีโอสำหรับบันทึกภาพกระบวนการทั้งหมดของแพทย์ผู้ชันสูตรเพื่อนำมาใช้ทบทวนในการเขียนรายงาน และใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบการให้ปากคำในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญในชั้นศาลในภายหน้า


    ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดผ่าตัดสีเขียว สวมเสื้อกันเปื้อนทับ พร้อมถุงมือ และแว่นตาป้องกันสิ่งแปลกปลอมจากศพกระเซ็นใส่เช่นเดียวกับ ดร. เวสต์  ดร. เคน และเจ้าหน้าที่เทคนิคประจำห้องชันสูตร แพทย์นิติเวชทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับรายงานการตรวจศพเบื้องต้นก่อนลงมือทำงานของตัวเองตามกระบวนการ ส่วน ดร. เคนซึ่งยังเป็นมือใหม่ทำหน้าที่ถ่ายภาพนิ่ง และช่วยจดบันทึกการชันสูตรตามที่แพทย์รุ่นพี่และอาจารย์ของเธอบอก


    ผมมองพวกเขาสำรวจร่างบนเตียงอีกครั้ง บันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับเสื้อผ้าเหล่านั้นเอาไว้ ถอดเสื้อผ้าของศพออกใส่ถุงพลาสติก เขียนป้ายกำกับตามกระบวนการ แล้วหันมาจัดการกับร่างเปลือยเปล่าของอดีตเจ้าของร้านของเก่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะคุ้นชินไปแล้ว แต่คนที่ดูลำบากกว่าใครทั้งหมด คงจะมีแต่จ่ามัสเกรฟที่คงไม่มีโอกาสเห็นกระบวนการเหล่านี้บ่อยนัก เพราะถึงจะยังยืนอยู่ได้ และดูไม่สะดุ้งสะเทือนกับศพที่ยังไม่ได้ผ่ามากนัก แต่ใบหน้าของเขาก็เผือดสีลงไปเรื่อย ๆ ทั้งที่แพทย์ยังไม่ทันลงมีด


    ในเวลานี้ เจมส์ พ็อตต์เป็นเพียงซากร่างที่นอนเปลือยอยู่บนเตียงเย็นเฉียบ ไม่หลงเหลือสภาพความเป็นชายอัลฟ่าร่างใหญ่กำยำที่ยืดอกยิ้มอย่างภาคภูมิและใช้แขนแข็งแรงข้างหนึ่งโอบไหล่ของคลาร่า พ็อตต์ ภรรยา ซึ่งเป็นโอเมก้าสาวร่างเล็ก และรั้งเธอเข้ามาจนชิด ในภาพงานแต่งงานซึ่งตั้งอยู่บนตู้รวมกับถ้วยรางวัลทั้งหลายที่ได้มาจากกีฬาประเภทต่อสู้ก่อนที่เขาจะออกจากกองทัพเรือ


    สภาพภายนอกของผู้ตายไม่มีบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ หรือบาดแผลอื่นบนร่างกาย นอกจากรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณกลางหน้าอก ซึ่งมีตำแหน่งตรงกับบริเวณหน้าของรอยสักรูปนางเงือกและสมอเรือพร้อมกับชื่อเรือที่เคยประจำการและสถานที่ที่เคยไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโซนแอฟริกาและแปซิฟิกใต้


    มองด้วยสายตาแล้ว เจมส์ พ็อตต์ที่ตัวสูงใหญ่และแข็งแรง ไม่ใช่คนประเภทที่จะถูกใครลงมือทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้ง่าย ๆ และเท่าที่ผมได้ข้อมูลจากแพทย์ที่เขาขึ้นทะเบียนเอาไว้ พ่อค้าของเก่าคนนี้มีสุขภาพดีเยี่ยม ทั้งที่เป็นนักดื่มคอทองแดงตามคำบอกเล่าของคนใกล้ตัวและเพื่อนบ้าน


    สภาพศพที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกสุดขีดเหมือนได้พบสิ่งที่สยดสยองที่สุดก่อนตาย และรอยมือที่ประทับอยู่บนลำคอของเขา ซึ่งเจนนี่สาวใช้ชาวต่างชาติบอกแทบทุกคนว่า เป็นฝีมือของมือปีศาจที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ จึงเข้าไปอยู่ในความสนใจของสื่อและผู้ที่ติดตามข่าวอย่างง่ายดาย แต่การไล่จับ ‘มือตากแห้ง’ หรือตั้งข้อหาว่ามันเป็นฆาตกรฆ่าคนเหลวไหลเกินไป และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมและจ่ามัสเกรฟจึงต้องมาอยู่ที่นี่ และจำเป็นต้องได้ข้อสรุปเบื้องต้นเพื่อหยุดข่าวลือไร้สาระที่จะทำให้คนหัวใสเปิดเส้นทางโกสต์ทัวร์ใหม่ในไวท์ชาเพลต่อจากทัวร์แจ็คเดอะริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องที่ลงมือสังหารโอเมก้าอย่างโหดเหี้ยมเมื่อร้อยกว่าปีก่อน


    “ถ้าจ่าไม่ไหวก็ออกไปข้างนอกได้นะ ถอดเสื้อคลุมใส่ตะกร้าตรงนั้น แล้วไปรอผมที่ออฟฟิศ” ผมกระซิบบอกลูกน้อง เพราะในเวลานี้ ยังพอมีเวลาให้เขาเปลี่ยนใจ


    วิลเลียม มัสเกรฟส่ายหน้าดิกแทนคำตอบ เพราะปากของเขาหุบแน่น ขณะที่ตาจ้องเป๋งที่เตียงชันสูตร ผมพอจะมองออกว่าสมองเขาอยากจะบอกให้หันหน้าหนี แต่บางอย่างกลับบอกให้เขาต้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป สำหรับผมแล้ว ต่อให้เขาเห็นร่างมนุษย์ถูกผ่าได้สักสิบนาทีแล้ววิ่งออกไปอาเจียนข้างนอกห้อง อย่างที่ผมเคยเห็นตำรวจตัวโต ๆ ในหน่วยหลายคนออกอาการกันมานักต่อนัก ผมก็ไม่ตำหนิอะไรเขาเลย เพราะนี่เป็นสัญญาณที่ดีว่า เขาพร้อมที่จะเรียนรู้และเผชิญกับสิ่งที่ไม่สวยงามนักในอาชีพนี้ต่อไปได้


    ถึงจะยืนมองและยังสงบอยู่ได้ แต่ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรกับการผ่าศพ เพราะผมเองก็หายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งที่เริ่มต้น และการมีร่างสัตว์อีกร่างหนึ่งเป็นสุนัขซึ่งเป็นสัตว์ที่มีประสาทรับกลิ่นที่ไวเป็นพิเศษ และมีความสามารถในการจำแนกกลิ่นดีเยี่ยม ก็สร้างความลำบากให้ผมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อศพนั้นตายมาหลายวันและกำลังเน่าสลาย


    ผมมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ โดยไม่รบกวนการทำงานของบรรดาแพทย์และเจ้าหน้าที่ ดร. ฟอล์กเนอร์ที่สงวนปากสงวนคำในเวลาที่อยู่กับคนอื่น กลายเป็นคนที่พูดมากที่สุดและพูดได้ไม่หยุด เพราะเขากำลังบรรยายสภาพร่างกายภายนอกของผู้ตาย และข้อสังเกตให้แพทย์ประจำบ้านหน้าใหม่ฟัง รวมไปถึงบอกให้เธอจดตำแหน่งบาดแผล หรือตำหนิต่าง ๆ ลงในแบบฟอร์มมาตรฐานสำหรับบันทึกการชันสูตร เก็บตัวอย่างเลือดสำหรับส่งตรวจหาสารเคมีหรือสารเสพติด ก่อนลงมือผ่าเข้าไปดูภายใน


    “ส่วนมากแล้ว เรามักจะผ่าเป็นรูปตัว T เพราะเวลาเย็บกลับคืนจะไม่เห็นรอยแผลโผล่พ้นเสื้อผ้าออกมาชัดเจน แต่ในกรณีนี้ เราจำเป็นต้องผ่าเป็นรูปตัว Y เนื่องจากเราต้องการเปิดดูด้านในของลำคอว่า มีร่องรอยการถูกทำร้ายหรือความผิดปกติอื่น ๆ หรือไม่” โทเบียส ฟอล์กเนอร์บอกแพทย์สาว “เมื่อกี้ หมอก็เห็นแล้วว่า พอล้างหมึกที่เปื้อนออก เราไม่พบความผิดปกติหรือร่องรอยอื่น ๆ เช่น รอยช้ำ รอยถลอก บนผิวหนังบริเวณลำคอของผู้ตาย แต่ในเยื่อบุตาขาวของเขามีจุดเลือดออก และจ้ำเลือด หรือ livor mortis ที่หลังของเขามีสีแดงอมม่วง ไม่ใช่สีแดงเลือดหมู ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่าเขาอาจเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ”


    น้ำเสียงของ ดร. ฟอล์กเนอร์ราบเรียบเช่นเดียวกับใบหน้าก็จริง แต่ผมสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นที่จะหาคำตอบ และความยินดีเมื่อมีคนสนใจงานในความรับผิดชอบของเขาอย่างจริงจัง แม้ผมจะไม่คิดว่างานนิติเวชเป็นงานที่ใครทำแล้วมีความรื่นเริงบันเทิงใจมากนัก แต่ผมก็ชอบความหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองทำและพลังในการทำงานของเขา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมมองเห็นในตัวของแมรี่ เมื่อเธอเล่าประวัติหรือที่มาที่ไปของหนังสือคลาสสิกให้ลูกค้าฟัง หรือตอบคำถามอื่นๆ ของคนที่โพสต์ถามมาในบล็อกอย่างไม่รู้เบื่อ และสิ่งที่เธอทำก็ทำให้ผมหลงรักเธอจนต้องตัดสินใจทำอย่างไรก็ได้ให้เธอหันมาสนใจและคบกับผม 


    โดยมากแล้ว ผมมักไม่ค่อยอยู่ดูการผ่าชันสูตร แต่ปล่อยให้โคโรเนอร์หรือแพทย์นิติเวชทำงานของตัวเองไปแล้วค่อยกลับมารอรับรายงานภายหลัง เว้นแต่ในบางกรณีที่ต้องการคำตอบโดยด่วน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว งานของ SCIT จะเป็นเช่นนั้น เพราะยิ่งรู้สาเหตุการตายเร็วเท่าไหร่ การจำกัดวงของบุคคลต้องสงสัยก็จะทำได้เร็วขึ้น และการดูการชันสูตรศพก็เป็นการเพิ่มทักษะการสืบสวนอย่างหนึ่งที่จำเป็นกับหน่วยงานพิเศษอย่างเราด้วยเช่นกัน


    เสียงหายใจเฮือกที่ดังขึ้นข้างตัวแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่แพทย์นิติเวชลงมีดทำให้ผมพลอยสะดุ้งไปด้วย เมื่อหันไปมองข้าง ๆ ผมก็เห็นจ่ามัสเกรฟยืนตัวแข็งทื่อ ผมนึกภาพออกทันทีว่า ถ้าอยู่ในร่างของเชปชิฟเตอร์ เขาคงเป็นสุนัขหนุ่มตัวใหญ่ที่กำลังครางหงิง และค่อย ๆ ขยับมาหลบอยู่ด้านหลังผมทีละนิด


    กลิ่นเลือดกับไขมันที่ฟุ้งกระจายทำให้ผมอึดอัดและปั่นป่วนในท้อง แต่เมื่อใช้เวลาสักพักหนึ่งก็เริ่มชิน และดูเหมือนว่าแพทย์นิติเวชเองก็สังเกตและรอจังหวะให้ผมกลับมามีสมาธิอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะลงมือต่อ


    โทเบียส ฟอล์กเนอร์เหลือบมองผมเล็กน้อย ก่อนก้มลงเลาะผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณลำคอของผู้ตายให้เปิดออก จนกระทั่งเผยให้เห็นหลอดลมและเส้นเลือดด้านใน


    ทักษะ ความแม่นยำ และความเชี่ยวชาญอย่างน่ากลัวของเขาดูจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตำรวจที่มีโอกาสได้เห็นฝีมือของเขาหวั่นเกรง เพราะหากเขาเปลี่ยนสถานะจากศัลยแพทย์เป็นฆาตกร เขาก็อาจเป็นอาชญากรที่หาตัวจับยากได้ยิ่งกว่าแจ็คเดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรมือชำแหละที่ไม่เคยมีใครหน้าไหนจับได้และยังเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นได้


    โอเมก้าหนุ่มที่ทำหน้าที่ของแพทย์นิติเวชในเวลานี้ เหมือนเป็นคนละคนกับคนที่รีบวิ่งลงไปซื้อแซนด์วิชกับกาแฟสตาร์บัคส์แบบกระป๋องในซูเปอร์มาร์เก็ตกลับมาที่รถของผมด้วยความรีบเร่ง เพราะเราเกือบมาสายกว่าเวลานัด เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา


    “กล้ามเนื้อด้านในของลำคอใกล้กับเส้นเลือดใหญ่ส่วนหน้าของลำคอทั้งสองข้าง โดยเฉพาะทางด้านซ้ายของลำคอช้ำ มีเลือดออกในเนื้อเยื่อบริเวณนั้นเล็กน้อย เป็นไปได้ว่ามีการกดทับบนลำคอในบริเวณดังกล่าว” ดร. ฟอล์กเนอร์บอก และหยุดรอเหมือนรู้ว่าผมต้องการเวลาสำหรับบันทึกข้อสังเกตสำคัญเกี่ยวกับสาเหตุการตายของพ่อค้าของเก่าด้วย


    “สภาพของหลอดลมปกติ ไม่พบความเสียหาย” 


    เขาใช้มีดเฉือนเปิดหลอดลมตามยาว ใช้ปากคีบควานเข้าไปด้านใน 


    “ไม่พบสิ่งแปลกปลอมติดค้าง หรือปิดกั้นทางเดินหายใจ กระดูกกล่องเสียงยังเป็นปกติ ไม่หักและไม่พบความเสียหายอื่น มีความเป็นไปได้ว่า เขาตายเพราะขาดอากาศหายใจ เนื่องจากหลอดเลือดใหญ่บริเวณลำคอถูกกดทับหรือถูกทำให้ตีบตัน ซึ่งสัมพันธ์กับคราบน้ำลายที่ไหลออกมาจากปาก และลักษณะของศพที่อ้าปากค้างกับอาการเกร็งของกล้ามเนื้อมือและเท้า”  


    เมื่อสำรวจและบันทึกการตรวจศพในส่วนของลำคอแล้วเขาก็ย้ายไปจัดการกับบริเวณช่องอกและช่องท้องของศพ โดยเริ่มจากการใช้มีดเลาะเปิดส่วนหน้าอกของผู้ตายออก


    เมื่อส่วนที่เป็นแผงซี่โครงของศพโผล่พ้นเนื้อออกมา ผมก็ได้ยินจ่ามัสเกรฟทำเสียงบางอย่างในลำคอยกมือขึ้นปิดปากเหมือนอยากอาเจียนเต็มแก่แต่ต้องกลั้นไว้ แข็งใจดูต่อทั้งที่ใบหน้าซีดเซียวเต็มทน 


    แน่ละ ถ้าไม่ใช่คนที่ทำงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะพวกพยาธิแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงไม่เห็นว่าการใช้คีบตัดกระดูกอ่อนและแซะซี่โครงออกมายกแผง แล้วเอาตับไตไส้พุงที่อยู่ในช่องอกและช่องท้องออกมาชั่งน้ำหนักทีละชิ้น สำรวจหาร่องรอยผิดปกติ แล้วใส่กลับลงไปในตัวตามเดิมเป็นเรื่องปกติธรรมดาสักเท่าไหร่


    ท่าทางของเขาทำให้ผมนึกเห็นใจและนับถือความรับผิดชอบในหน้าที่ของเขาไปในเวลาเดียวกัน และปล่อยให้เขากำแขนเสื้อของผม เพื่อใช้เป็นที่พึ่งทางใจของเขาต่อไปโดยไม่ว่าอะไร ตราบใดที่เขาไม่กระชากมันขาด


    “พบรอยร้าวขนาดเล็กบนซี่โครงข้างซ้าย ซี่ที่ห้า” ดร. ฟอล์กเนอร์ยังคงพูดไปเรื่อย ๆ และเรียกเอาอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดมาทาบ และให้ ดร. เคนถ่ายภาพเอาไว้ แล้วจดบันทึกสิ่งที่พบลงไปในแบบฟอร์มที่หนีบอยู่กับคลิปบอร์ด ซึ่งในเวลานี้ เธอดูเหมือนจะหายตื่นเต้น และต่อให้เขาไม่เตือน ผมก็เชื่อว่า เธอสามารถทำเองได้อย่างรู้หน้าที่ “มันเล็กจนผมไม่แน่ใจว่า เราจะเห็นในฟิล์มเอ็กซ์เรย์ที่ถ่ายไว้หรือเปล่า"


    “หมอพอจะบอกได้ไหมครับว่าเป็นรอยร้าวเก่าหรือไม่” ผมถามหลังจากเงียบอยู่นาน ตอนนี้ จมูกของผมรับกลิ่นความของเลือดจนชาไปหมดและแทบไม่ได้กลิ่นอะไรแล้ว


    “รอยร้าวนี้เป็นรอยที่เกิดขึ้นใหม่ครับ แต่ผมบอกไม่ได้ว่า เกิดขึ้นเมื่อใด ด้วยสาเหตุอะไรนั่นเป็นเรื่องของทางตำรวจที่จะต้องตามไปสืบว่าเขาประสบอุบัติเหตุมาหรือมีคนอื่นทำให้มันเกิดขึ้น” เขาตอบ “สาเหตุการเกิดรอยร้าวดังกล่าว มีความเป็นไปได้หลายอย่าง คือ อาจเกิดจากการถูกกระแทก หรือมีบางอย่างซึ่งมีน้ำหนักมากกดทับ”


    “แสดงว่า การกดทับบริเวณหน้าอกและกดเส้นเลือดบริเวณลำคอ เป็นเหตุทำให้ขาดอากาศหายใจได้หมด…” ผมขบริมฝีปากอย่างที่มักจะทำในเวลาที่กำลังคิดหนักเป็นพิเศษ “เป็นไปได้ไหมว่า คนร้ายอาจจะใช้ทั้งสองวิธีไปพร้อมกัน”


    “เท่าที่ผมทราบ มีวิธีการอย่างนั้นอยู่ เป็นวิธีการเก่าแก่เสียด้วย” ผมรู้สึกว่า ผมเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ของเขาแวบหนึ่ง “สารวัตรกำลังคิดว่า คนที่ทำให้เขาตายใช้วิธีนั้นสินะครับ”


    “ครับ เบิร์กกิ้ง... แต่กรณีนี้ผมคิดว่าคนร้ายอาจเปลี่ยนจากการอุดปากหรือจมูก เป็นกดเส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอแทน”


    ‘เบิร์กกิ้ง’ เป็นการฆ่าโดยใช้แรงกดทับ (mechanical asphyxia หรือ  traumatic asphyxia) ร่วมกับการปิดกั้นทางเดินหายใจ (smothering) โดยใช้ของหนักกดทับบริเวณหน้าอกของเหยื่อซึ่งถูกทำให้หมดสติร่วมกับการปิดปากและจมูก ทำให้ขาดอากาศหายใจ วิธีการดังกล่าวทำให้เกิดบาดแผลบนร่างกายของผู้ตายน้อยมาก และแทบไม่ผิดสังเกต การฆ่าวิธีการนี้เรียกตามชื่อของวิลเลียม เบิร์ก ที่ร่วมมือกับวิลเลียม แฮร์ก่อคดีฆ่าคนตายหลายรายในช่วงปี 1828 ด้วยการวางยาให้เหยื่อหมดสติ แล้วขึ้นไปนั่งทับบนอก พร้อมกับปิดปากและจมูกจนหายใจไม่ออก แล้วนำศพไปขายให้โรงเรียนแพทย์ในเอดินเบอระ ที่ต้องการศพจำนวนมากสำหรับนำไปใช้ในการเรียนการสอนวิชากายวิภาคและเพื่อการศึกษาวิจัยของอาจารย์


     “ทำไมสารวัตรคิดว่า คนร้ายใช้วิธีเบิร์กกิ้งในการฆ่าผู้ตาย”


    “ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ มือของผู้ตายเกร็งจิกอยู่กับพื้นแทนที่จะพยายามนำสิ่งที่ทำให้ตนเองหายใจไม่ออกพ้นไปจากตัว” ผมตอบ และดูเหมือนผมจะกลายเป็นฝ่ายถูกแพทย์นิติเวชซักไปเสียแล้ว “หมายความว่าผู้ตายอาจจะอยู่ในสภาวะบางอย่างที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น หมดสติซึ่งอาการเหล่านั้น เกิดจากอะไร ผมก็ไม่สามารถทราบได้”


    “ไว้ผลการตรวจหาสารเสพติดหรือสารพิษอื่นๆ จากเลือดและเนื้อเยื่อที่เราจะส่งตรวจออกมา เราก็จะได้ทราบกันครับ” ดร. ฟอล์กเนอร์กล่าว “อย่างไรก็แล้วแต่ ตามความเห็นเบื้องต้นของผม ผมเห็นด้วยกับสารวัตรว่า ผู้ตายอาจเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ เนื่องจากการถูกกดทับบริเวณหน้าอกร่วมกับการปิดกั้นทางเดินหายใจ หรือกดทับหลอดเลือดใหญ่บริเวณลำคอ จนกระทั่งเลือดและอากาศไปเลี้ยงสมองไม่ได้” 


    เขาหันไปถามความเห็นจากศัลยแพทย์ผู้สูงวัยกว่า และแพทย์สาวรุ่นน้อง “คิดว่าไงครับ”


    แพทย์อาวุโสที่สุดในห้องชันสูตรหันไปทางหญิงสาวคนเดียวในที่นั้น “ผมให้คุณออกความเห็นก่อน”


    ท่าของของซาแมนธา เคนดูขัดเขินเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าสายตาทุกคู่กำลังมองเธออยู่


    “ฉันเห็นด้วยค่ะ...” เธอใช้เวลาครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาได้ และเมื่อพูดได้ ความมั่นใจของเธอก็ค่อยกลับคืนมา “เท่าที่ฉันเคยอ่านเรื่องของเบิร์กกับแฮร์มา วิธีการนี้ทำได้ไม่ยากมาก มีบาดแผลน้อย และคนที่ทำจะเป็นเพศไหนก็ได้ทั้งนั้นโดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ตายหมดสติอยู่”


    “ขอบคุณมาก แซมนั่นเป็นประเด็นที่น่าสนใจทีเดียว... และถ้าคุณถามผม ผมเองก็คิดไปในทางเดียวกัน” ดร. เวสต์ว่า และหันมาสรุปให้ผม “ถ้าสารวัตรถามผม ในเบื้องต้น มีความเป็นไปได้มากว่า เขาตายเพราะขาดอากาศหายใจ และคนที่ทำให้เขาเสียชีวิตอาจใช้วิธีเบิร์กกิ้ง หรือวิธีการอื่นที่ใกล้เคียงกัน ส่วนที่ร่างกายของเขาไม่มีร่องรอยการต่อสู้ จะเป็นเพราะได้รับยาหรือสารอื่นที่ทำให้หมดสติหรือไม่ ต้องรอผลยืนยัน แต่มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจได้รับยาหรือสารที่ทำให้อยู่ในสภาพไม่อาจขัดขืนหรือต่อสู้ได้”


    หลังจากหาคำตอบเบื้องต้นเกี่ยวกับสาเหตุการตาย และผมพอมองออกแล้วว่า ผู้ต้องสงสัยของเราอาจเป็นใครได้บ้าง แพทย์นิติเวชก็ทำการชันสูตรศพของเจมส์ พ็อตต์ต่อ และเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้ออื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการสรุปสาเหตุการตาย


    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมดูการผ่าศพ แต่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นการทำงานของพยาธิแพทย์มือดีที่สุดกลุ่มหนึ่งจนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการ พวกเขาตรวจนับและนำอวัยวะภายในใส่กลับคืนเข้าไปในร่าง แล้วเย็บปิดบาดแผล  


    คนที่ดูจะมีความสุขที่สุดเมื่อการผ่าศพเจมส์ พ็อตต์เสร็จสิ้น เห็นจะเป็นจ่าวิลเลียม มัสเกรฟ ผู้ใต้บังคับบัญชาของผม เมื่อผมบอกให้เขาออกไปรอข้างนอก เพราะ ดร. เวสต์ต้องการจะคุยกับผมเรื่องสำเนารายงานการชันสูตรศพรายนี้ เขาถึงกับถอนใจเฮือก และก้าวเท้าอย่างรวดเร็วจนแทบจะเป็นวิ่งออกจากห้องเก็บศพไปในทันที  


    ถึงจะบอกว่าเป็นเรื่องรายงานการชันสูตรศพ แต่ผมกลับคิดว่า ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น เพราะ ดร. เบนจามิน เวสต์บอกให้ ดร.ฟอล์กเนอร์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนเขาเพียงแค่ถอดเสื้อคลุมที่เปื้อนเลือดเล็กน้อยลงตะกร้าผ้าใช้แล้ว และยังคงอยู่ในชุดผ่าตัดสีเขียวของตนเอง รอจนกระทั่งเหลือเพียงผมและเขาอยู่ตามลำพังหน้าล็อกเกอร์เก็บของของเขา


    “สารวัตรเข้าใจเหตุผลที่ผมอยากให้โทบี้เป็นคนลงมือเองแล้วใช่ไหม” แพทย์นิติเวชวัยกลางคนเอ่ยขึ้น หลังจากเรายืนมองกันอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่ผมเป็นคนรอให้เขาเริ่มก่อน ในเวลานี้ คำที่เขาใช้เรียกเพื่อนร่วมงานเปลี่ยนไปเป็นจากการเรียกชื่ออย่างเป็นทางการเป็นการเรียกชื่อเล่นอย่างสนิทสนม


    “ตอนเรียนปริญญาโท โทบี้ศึกษาเกี่ยวกับการตายเพราะขาดอากาศหายใจ นี่จึงเป็นเรื่องที่เขาชำนาญเป็นพิเศษ” ดร. เวสต์กล่าวต่อ เมื่อเห็นผมพยักหน้ารับแทนคำตอบ “ดร. แฮมิลตัน รองประธานกรรมการราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์ และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาอยากให้เขาเรียนปริญญาเอกต่อจะแย่ แต่เขาขอเวลาพักและทำงานก่อน ซึ่งผมก็คิดว่า น่าจะดีกับเขามากกว่า เพราะที่ผ่านมา เขาทำงานหนัก ใช้ทั้ง Suppressant ใช้ทั้ง pheromone blocker อย่างต่อเนื่องแบบไม่ห่วงสุขภาพตัวเองจนผมอดห่วงไม่ได้ เพิ่งมาหยุดได้ประมาณปีเศษ หลังจากกลับมาทำงานที่นี่”


    น่าแปลก ที่แพทย์อาวุโสและอาจารย์ของ ดร. ฟอล์กเนอร์หยิบยกเอาเรื่องส่วนตัวของเขามาพูดกับผม แต่เรื่องที่ได้ยินก็ทำให้ผมรู้สึกผิดกับเขาอย่างบอกไม่ถูก แม้เขาจะห้ามไม่ให้ผมพูดเรื่องนี้ให้ ดร. ฟอล์กเนอร์ได้ยินก็ตาม


    “ขอโทษด้วยครับ ที่งานของเราทำให้ เขาต้องใช้มันอีก... ผมไม่ทราบเลยจริง ๆ”


    “ไม่เป็นไรหรอก อย่างที่ผมเคยบอก สารวัตรไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดอะไร ธรรมชาติของพวกแมวอย่างเขาก็เป็นอย่างนี้ ลองปักใจกับอะไรแล้ว อะไรก็มาเบี่ยงความสนใจของเขาไม่ได้เว้นแต่เขาจะเลิกสนใจไปเอง” แพทย์นิติเวชยิ้มให้ผม “การที่เขามีใครสักคนอยู่ด้วย เพื่อช่วยให้เขาผ่านมันไปได้ ผมก็ค่อยวางใจ”


    แม้ยังไม่เอ่ยออกมาตรง ๆ แต่คำพูดที่ฟังดูอ้อมค้อมนั้น ก็ขยับเข้าใกล้เรื่องที่ผมคาดเดาเอาไว้มากขึ้น


    “คุณหมอเป็นห่วงเรื่องของผมกับ ดร. ฟอล์กเนอร์ใช่หรือเปล่าครับ”


    ผมถามเขาออกไปตรง ๆ และไม่เพียงแค่เขาที่นิ่งไปด้วยความไม่คาดคิดว่า ผมจะเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน แต่เป็นตัวผมเองด้วยที่ชะงักกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจพูดออกไป แต่ความรู้สึกโล่งใจมีมากกว่าความกังวล โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายที่มองผมอย่างพินิจพิเคราะห์ในคราวแรกนั้น อ่อนลงและปล่อยวางความวิตกและกังขาในตัวผมได้อย่างสิ้นเชิง


    “ใช่...” เขารับตามตรงเช่นกัน “ผมพูดอย่างไม่อ้อมค้อมเลยว่า โทบี้เป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่งของผม ตลอดหลายปีที่ผมรู้จักเขา โทบี้ไม่ใช่คนใจเร็ว เขาหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์กับคนอื่นมาตลอดจนกระทั่งมาพบกับสารวัตร แต่ก็เป็นเรื่องดี เพราะเขาจะมีใครสักคนเข้ามาในชีวิตบ้าง และผมก็ดีใจที่คนที่เขายอมเปิดใจให้เป็นสารวัตร”  


    ผมไม่รู้ว่า เขามองความสัมพันธ์ของเราว่าลึกซึ้งมากแค่ไหน แต่ต่อให้เขาคิดไปไกลถึงขั้นว่า เรา ‘เมท’ หรือหลับนอนด้วยกันไปแล้ว ผมก็ไม่มีสิทธิที่จะอธิบายอะไรทั้งนั้น เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งไม่ให้เกียรติ ดร. ฟอล์กเนอร์อยู่ดี และถ้าผมปฏิเสธ ว่าเราไม่ได้มีอะไรกัน มันก็ไม่ต่างอะไรจากการโกหกอยู่นั่นเอง


    ถึงจะนึกเอาไว้แล้ว แต่คำพูดของเขาก็ยังคงทำให้ใบหน้าของผมร้อนวูบ เพราะมีนัยบางอย่างในน้ำเสียงและท่าทีของเขาเหมือนกับรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับ ‘ความสัมพันธ์’ ของ ดร. ฟอล์กเนอร์กับผม ทั้งที่เราไม่ได้เอ่ยปากบอกกับใคร แต่ดูเหมือนว่าจะไม่พ้นสายตาของแพทย์อาวุโสผู้นี้ไปได้


    ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างเราอีกครั้งหนึ่งถูกทำลายลงด้วยเสียงถอนใจยาวของ ดร. เวสต์ ก่อนที่เขาจะยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร เอื้อมมือมาจับต้นแขนของผมไว้แล้วบีบเบา ๆ 


    “โทบี้เป็นเด็กดี สารวัตร เขาเป็นคนดี... เขาสมควรได้รับความรักที่ดีจากใครสักคนที่ไว้ใจได้ ไม่ว่าจะเป็นคู่แท้ของเขาหรือไม่ก็ตาม”


    เขาหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี แต่สิ่งที่เขาพูดทำให้ผมหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


    “คราวหน้า ถึงผมจะเป็นเบต้า สังเกตความเปลี่ยนแปลงของกลิ่นประจำตัวของอัลฟ่ากับโอเมก้าไม่ได้ แต่ผมจำกลิ่นสบู่ที่โทบี้ใช้ประจำได้" 



    "ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ พวกคุณไม่ควรใช้สบู่ขวดเดียวกัน”



    To be continued.... 


    ------------------------------------------- 



    หมายเหตุ: ที่มาของภาพ 

    http://i1.mirror.co.uk/incoming/article4626154.ece/ALTERNATES/s1200/PAY-Morgue.jpg

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
salmonrism (@salmonrism)
โอโหหหห โป๊ะแตกเพราะใช้สบู่น้องง แหง่ๆๆๆๆ
belibalii (@belibalii)
เหมือนได้ยินเสียง “โพล๊ะๆๆๆ" เลยค่ะ 5555+
คุณอัลฟ่านี่น๊าาาา ประมาทจมูกเบต้าได้ไง
ตะหงิดใจตั้งแต่อาบน้ำในห้องส่วนตัวเขาแล้ว ว่าเดี๋ยวต้องมีคนจับโป๊ะคุณอัลฟ่าได้
แล้วก็ไม่นอดพ้นสายตาคุณเบต้าอาวุโส 5555+

ยิ่งอ่านยิ่งชอบค่ะ เรื่องนี้
สนุกๆๆๆ หลงรักคุณโอเมก้าเหมียวถอนตัวไม่ขึ้นแล้ววว
sasi_tsukidayo (@sasi_tsukidayo)
ปกติเราอ่านสืบสวนไม่ได้นาน แต่เรื่องนี้เราอ่านได้เรื่อยๆ ดีค่ะ ตัวละครมีเสน่ห์มาก ชอบบบ ไม่สิ หลงรักเลยต่างหาก เราว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ตัวละครดูเก่งทั้งในสายตาของตัวละครอื่นและคนอ่าน แต่เราเชื่อจริงๆ ว่า ทั้งคุณหมอและสารวัตรเป็นคนเก่ง คุณนักเขียนเก่งมากๆ เลยค่ะ
aqmrtm (@aqmrtm)
คุณสารวัตรโดนแซวฮุคใหญ่เลยนะคะเนี้ย..ใครจะไปคิดว่าเพราะกลิ่นสบู่จะทำให้เข้าใจอะไรๆได้มากขนาดนี้ คนที่เขามองดูคุณหมอเป็นลูกชายก็แบบนี้ล่ะนะคะ ;w; โอย แต่ตอนสารวัตรเขินเราเองก็แอบเขินไปด้วยเลย ประโยคที่บอกว่าคุณหมอเป็นเด็กดีนี่ราวกับฝากฝังไว้กับสารวัตรให้ช่วยดูแลคุณหมอเลยค่ะ ฮ่าๆๆ

คุณอธิบายการชันสูตรศพละเอียดมากๆเลย ตัวเราไม่เคยอ่านแบบนี้มาก่อนเลยรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย คุณหมอเก่งมากๆเลยล่ะค่ะ ;-; แพชชั่นในการทำงานมาแรงมากๆ ซึ่งเราว่ามันดูเท่มากเลย การที่สารวัตรมองดูแล้วนึกถึงตอนแมรี่แนะนำหนังสือนี่ก็คงจะคิดเหมือนกันใช่มั้ยคะ ว่าการหลงรักคุณหมออาจจะมีสาเหตุที่คล้ายคลึงกัน แถมยังมีความเป็นคู่แท้กันอีก ฮือ /ชงแล้วดื่ม

ความพัวพันในคดีนี้จะเป็นยังไงต่อไปเนอะคะ สารวัตรคงได้รู้จักคุณหมอมากขึ้นเรื่อยๆแน่เลยเนอะ แอบชอบความสุภาพบุรุษที่ไม่พูดถึงเรื่องของคุณหมอของสารวัตรจังค่ะ ฮือ ขนาดมาคุยแบบนี้กับหมอเวสต์แล้วยังแอบรู้สึกผิดเลยที่รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ลับหลังคุณหมอ ;-; กร๊าวใจกับนิสัยของสารวัตรมากเลย

เราเพิ่งกลับไปอ่านดูคอมเม้นในตอนก่อน ไม่คิดว่าคุณจะมาตอบเอาไว้ อา เราเข้าใจเรื่องแมรี่มากขึ้นด้วยค่ะ อยากให้คุณสารวัตรมูฟออนเหมือนกัน เราเชื่อว่าแมรี่จะมีความสุขที่เห็นสารวัตรมีความสุขมากขึ้น มากกว่าที่จะรู้สึกเศร้าไปตลอด ไม่ได้ลืมและกลายเป็นความทรงจำที่สวยงามที่เคยมีในชีวิตเนอะคะ ;w;

ดีใจที่ได้คุยกันเช่นกันนะคะ เราจะรออ่านตอนต่อไปนะ เย้
piyarak_s (@piyarak_s)
@aqmrtm ขอบคุณที่มาคุยกันอีกค่ะ >_<

คู่นี้ ไม่ชงแล้วค่ะ เปิดขวดดื่มได้ทันที ฮา

ตอนนี้ สารวัตรเจอจัดหนักเข้าไปเลยละ มาน้อยๆ แต่เน้นๆ เรื่องนี้ สารวัตรไม่เขินนี่ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วค่ะ ที่ ดร. เวสต์พูดแบบนั้นก็ตั้งใจจริงๆ ละว่า จะฝากให้ดูแล ไม่ว่าจะในสถานะไหนก็ตาม เพราะคนนี้เชื่อใจได้ และยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เก็บเอาไว้เฉลยอีกไม่กี่ตอนข้างหน้านี่ละค่ะ ไหนๆ ก็เขียนแล้ว อยากเขียนตัวละครที่นิสัยดีแล้วก็เป็นสุภาพบุรุษบ้างค่ะ

สารวัตรตอนนี้ มีเป้าหมายให้มูฟออนแล้ว ไม่เหมือนเมื่อสิบปีก่อนที่ไม่เจอใครที่ใช่ หรือคนที่ทำให้รู้สึกว่าอยากอยู่กับคนนี้จังเลยซะที เพราะการตกหลุมรักใครสักคนของสารวัตรไม่ใช่ที่รูปร่างหน้าตา แต่เป็น passion ของคนนั้นมากกว่าอย่างอื่นค่ะ ยิ่งได้เรียนรู้กันไปนานๆ แล้วเห็นว่าใช่ ก็คือใช่ ไม่เปลี่ยนใจจากคนนี้อีกแล้ว ถ้าแมรี่รับรู้ต้องยินดีมากๆ แน่ๆ ค่ะ ;w;

ขอบคุณอีกทีค่า ^^