เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Murderous Hand (DToL Omegaverse AU)piyarak_s
Chapter 13 : New Year's Eve

  • (13)


    สิ่งที่เดียน่า ทเวธส์ย้ำกับผมหนักหนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหาของขวัญไปให้ ดร. ฟอล์กเนอร์ และอย่าชวนคุยเรื่องงานเป็นอันขาด ล่มไม่เป็นท่า เพราะผมทำทุกอย่างที่เธอห้าม และลืมทุกอย่างที่เธอแนะให้ทำ


    ผมเป็นฝ่ายโทรศัพท์ถาม ดร. ฟอล์กเนอร์ว่า คืนนี้ว่างหรือไม่ และโชคดีที่เขาไม่ต้องอยู่เวร แม้จะยังต้องเตรียมพร้อมว่า อาจถูกเรียกออกไปได้ทุกเมื่อเช่นเดียวกับผม เราจึงนัดพบกันที่บ้านของเขา โดยผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และไปหาเขาที่บ้าน ซึ่งเหมาะสมกว่าการชวนเขามาที่อพาร์ตเม้นต์ของผมที่แบ่งเช่ากับเบ็นเน็ตต์ ดาลบี้ อัลฟ่าชายจากเวสต์ยอร์กเชียร์ที่ทำงานเป็นช่างภาพสตูดิโอ เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ แต่มีความเป็นไปได้ว่า เขาอาจพาโอเมก้าหรือเบต้าสาวสักคนหนึ่งกลับมาฉลองด้วยกันสองต่อสองที่บ้าน ผมไม่อยากให้ ดร. ฟอล์กเนอร์อึดอัด


    อัลเฟรด คอร์ตนีย์ เพื่อนเบต้าของ ดร. ฟอล์กเนอร์กลับไปฉลองปีใหม่กับทางบ้านตั้งแต่คืนวานนี้ และจะกลับมาหลังปีใหม่สองหรือสามวัน ดังนั้น บ้านของเขาจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับพบปะพูดคุยกัน


    บรรดาคนที่พยายามจะสนับสนุนผมกับเขาอย่างไม่สงวนท่าทีคงคิดว่าเข้าทางไม่เบา แต่ผมก็ทำให้พวกเขา โดยเฉพาะเดียน่า ผิดหวังจนได้ เพราะผมลืมซื้อไวน์มาเป็นของขวัญปีใหม่ เพราะมัวแต่สะสางเอกสารที่สามารถสะสางได้จนลืมสนิท ส่วน ดร. ฟอล์กเนอร์วุ่นวายกับการเขียนรายงาน เขาจำได้แต่เรื่องนัดของเรา แต่ลืมเรื่องอาหารเสียสนิท และแทบไม่เหลืออาหารอะไรติดบ้านเลย นอกจากนมอัลมอนด์เกือบหมดอายุหนึ่งกล่องใหญ่ มูสลีหนึ่งถุง เบคบีนหนึ่งแพ็ค ผักสลัดเหี่ยว ๆ และเชดดาร์ชีสติดก้นถุง ซึ่งบอกนิสัยเจ้าตัวว่า ไม่ใส่ใจเรื่องอาหารเช้าเท่าใดนักและไม่ค่อยทำอาหารกินเองสักเท่าไหร่ และสิ่งที่หลงเหลืออยู่เหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะกินในโอกาสฉลองปีใหม่เลยสักนิด


    ย่านที่เขาพักอาศัยอยู่ใจกลางเมือง และไม่ไกลจากถนนไฮฮอลบอร์นซึ่งเป็นย่านสำนักงานและธุรกิจมากนัก ผมเสนอให้เดินออกไปกินอาหารเย็นกันข้างนอกด้วยกัน เพราะจากบ้านของเขาถึงสถานีรถไฟใต้ดินชานเซอรี่เลนที่ไฮฮอลบอร์นใช้เวลาไม่เกินสิบนาที จากนั้นค่อยซื้อเครื่องดื่มกับของว่างกลับมากินที่บ้าน ดร. ฟอล์กเนอร์ดูลังเลเล็กน้อยกับการเดินจากบ้านไปในย่านที่ผู้คนอาจหนาแน่นในช่วงปีใหม่ แต่ก่อนที่ผมจะให้ตัวเลือกใหม่เพื่อไม่ให้เขาอึดอัดใจด้วยการสั่งให้อาหารมาส่งที่บ้าน แล้วผมออกไปซื้อไวน์ที่มาร์คแอนด์สเปนเซอร์ซิมเพิลกลับมา เขาก็ตกลงตามข้อเสนอแรก


    หลังปิดประตูบ้านรั้วหน้าบ้าน และเตรียมออกเดินไปพร้อมกัน ผมสังเกตเห็นเขาสวมถุงมือและขยับผ้าพันคอให้กระชับขึ้นไปอีก ไม่ใช่เพราะหนาว แต่ด้วยเหตุผลอื่นเสียมากกว่า


    การที่เขาไม่ชอบที่ที่มีคนจำนวนมาก ไม่ชอบการสัมผัสกับคนแปลกหน้า และหลีกเลี่ยงการใช้ขนส่งมวลชนสาธารณะ ล้วนแต่มีเหตุผลที่อธิบายได้มากกว่าเขาเป็นคนเก็บตัว หยิ่ง และไม่ชอบเข้าสังคม 


    “คุณหมอโอเคหรือเปล่า” ผมถาม “เราโทรศัพท์สั่งอาหารมากินกันก็ได้นะครับ คุณรออยู่ที่บ้าน ผมออกไปซื้อเครื่องดื่มที่ร้านใกล้ ๆ แล้วจะรีบกลับ”


    ดร. ฟอล์กเนอร์ส่ายหน้าปฏิเสธตัวเลือกนั้น “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ออกมาเดินเล่นแบบนี้มานานแล้ว”


    นานเท่าไหร่แล้ว ผมไม่ได้ถาม อย่างน้อยที่สุด ผมรู้สึกว่ากำแพงที่เขาตั้งเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเองค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย แน่นอน เขาไม่ได้ทำเพื่อผม แต่เขากำลังทำในสิ่งที่เขาคงอยากทำมานานแล้ว แต่หลายอย่างไม่เอื้อให้เขาทำได้เอาเสียเลย จนกระทั่งเราสองคนบังเอิญได้มาพบกัน


    อากาศฤดูหนาวของลอนดอนวันนั้นเย็นจัดและลมแรง เคราะห์ดีที่ฝนไม่ตก และเลือกใช้ทางเท้าข้างตึกเซาท์แธมตันเป็นทางลัดทำให้เราสามารถเดินเลี่ยงผู้คนไปได้บ้าง และไม่ต้องรีบร้อนมากนัก แต่แทนที่จะได้พูดคุยกันอย่างที่ควรจะเป็น เราสองคนกลับเดินด้วยกันไปเงียบ ๆ โดยที่ต่างคนต่างไม่รู้ว่า จะเริ่มการสนทนากับด้วยเรื่องอะไร เหมือนครั้งแรกที่ผมชวนแมรี่ออกไปดูหนังด้วยกัน และเราต่างคนต่างเงียบจนกระทั่งหนังจบ ออกมาจากโรงภาพยนตร์ ถึงได้เริ่มเอ่ยปากถึงเรื่องที่เพิ่งดูจบไปพร้อมกัน แล้วจึงค่อยคุยกันได้อย่างออกรสและคุ้นเคย


    ผมเหลือบมองคนข้าง ๆ มือสองข้างของเขาสอดอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตมีฮู้ดที่เขาใส่ในวันแรกที่ผมไปรับเขาที่บ้าน ใบหน้าครึ่งล่างของเขาซ่อนอยู่ในผ้าพันคอที่ดึงขึ้นมาสูงจนเกือบถึงใต้จมูกเหมือนไม่ค่อยอยากให้ใครเห็นหน้า ผมเริ่มกังวลเล็กน้อย แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นได้จากเขาก็ทำให้เบาใจขึ้น คือ สายตาและท่าทางของเขาที่กำลังมองไออุ่นจากลมหายใจของเขากระทบกับอากาศเย็นเป็นควันขาว และสิ่งแวดล้อมระหว่างทาง


    ภาพของเขาในสายตาของผมเวลานี้ เหมือนแมวที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในบ้านมานานถูกปล่อยออกมาสัมผัสกับโลกนอกรั้ว และปล่อยให้เวลารอบกายไหลผ่านไปอย่างช้า ๆ โดยไม่ต้องรีบเร่งให้ถึงจุดหมาย


    ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว


    เขาน่ารัก


    ผมรู้ว่า เขาไม่ชอบคำชมอย่างนี้ แต่ผมอดคิดในใจอย่างนั้นไม่ได้จริง ๆ


    ความน่ารักของเขาไม่ได้มาจากรูปลักษณ์ภายนอก ที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มหน้าสวยที่ดึงดูดสายตาใครต่อใคร โดยเฉพาะอัลฟ่าเพศชาย แต่มาจากความกระตือรือร้นและสายตาของเขาที่ใช้มองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เป็นความสดชื่นและมีชีวิตชีวาที่ซ่อนอยู่ในความเรียบง่ายและสงบงามเหมือนเฮเธอร์ที่ผลิบานอย่างเงียบงันช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง


    ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าหากเขาไม่เคยเผชิญเรื่องเลวร้ายในอดีต ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ที่ผมได้พบจะเป็นคนแบบไหน และถ้าหากเขาไม่มีเพศรองเป็นโอเมก้า เขาจะกำหนดเส้นทางเดินของตัวเองไปในทิศทางไหน และเขาจะเป็นทุกข์น้อยกว่าที่เป็นอยู่บ้างไหม แต่นั่นเป็นคำถามที่ผมไม่มีวันจะได้คำตอบ และต่อให้มีคำตอบ ก็คงไม่ทำให้ความรู้สึกของผมที่มีต่อโอเมก้าหนุ่มที่อยู่กับผมในเวลานี้ และเป็นอย่างที่เขาเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เปลี่ยนแปลงไปได้


    “สารวัตรเฟย์”


    เสียงเรียกของ ดร. ฟอล์กเนอร์ทำให้ผมรู้ตัวว่า เผลอมองเขาอย่างไม่วางตาและอาจชะลอฝีเท้าของตัวเองลง หรือทำอะไรที่ผิดสังเกตจนเขารู้สึกตัวว่ามีอะไรแปลกไป แต่น้ำเสียงและสายตาที่เขาใช้มองผมบ่งบอกถึงความสงสัยและเป็นห่วงมากกว่าหวาดระแวงหรือรำคาญใจ


    “กำลังคิดอะไรอยู่หรือเปล่าครับ”


    เป็นคำถามง่าย ๆ ที่ตอบยากเหลือเกิน แต่จะปฏิเสธว่าไม่คิด ก็คงโกหก


    “หลายเรื่องอยู่ครับ คุณหมอ” ผมรับ “เรื่องคดีฆาตกรรมเจมส์ พ็อตต์ เรื่องของมิสซิสพ็อตต์กับเจนนี่ เมนโดซ่า และเรื่องที่ได้คุยกับเดียน่า ทเวธส์อีกหลายเรื่อง ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่า เดียน่าบอกผมว่า เธอรู้จักคุณ”


    “เดียน่าเกือบได้เป็นทนายของผม เธอเป็นเพื่อนที่ดี เธอเป็นอัลฟ่าไม่กี่คนที่ผมไว้ใจ” ดร. ฟอล์กเนอร์ยืนยัน แต่ในขณะเดียวกัน ชื่อของเดียน่าก็ถูกผูกติดอยู่กับความอึดอัดไม่สบายใจบางอย่าง โดยเฉพาะคำว่า 'เกือบได้เป็นทนาย' ซึ่งผมพอจะคาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องอะไร เพราะเมื่อย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ด้วยอายุและการงานของเธอกับช่วงเวลาที่เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเขา คนทั้งสองมีโอกาสที่จะเกี่ยวข้องกันอยู่มาก


    “เธอเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับผมเหมือนกัน เธอเป็นเพื่อนร่วมงานชั้นยอด ถ้าทนความจุกจิกของเธอไหว” ผมบอก “แปลกดี ที่เธอไม่เคยพูดถึงคุณให้ผมได้ยิน และเราไม่เคยได้พบกันมาก่อนเลยสักครั้ง”


    “เพราะผมเองนั่นละ ผมไม่อยากตอบคำถาม ไม่อยากเปิดบทสนทนาจิปาถะกับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ เธอเลยไม่แนะนำผมกับใครและไม่แนะนำใครให้ผมรู้จัก” ดร. ฟอล์กเนอร์ถอนใจเบา ๆ “ผมรู้ว่า หลายคนเป็นห่วงที่ผมไม่อยากคบกับใคร ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่แค่ในรถที่ตัวเองขับ บ้าน ที่ทำงาน และที่เกิดเหตุ เหมือนไม่ยอมก้าวออกจาก comfort zone ของตัวเองสักที”


    เขาพูดราวกับตัวเองไม่เคยทำสิ่งเหล่านั้น ทั้งที่ผมเห็นเขาก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ของสังคม และสิ่งที่หลายคนบอกว่า เขาทำไม่ได้มาหลายต่อหลายครั้ง


    “การอยู่ตัวคนเดียว สำหรับผม บางทีมันก็เป็นตัวเลือกนะ คุณหมอ การไม่คบกับคนที่ตัวเองไม่สมัครใจจะคบ ไม่ใช่การปิดกั้นตัวเองจากคนอื่นไปทั้งหมดหรอก” ผมเอ่ยตามตรง “ชีวิตส่วนตัวของคุณหมอกับผมไม่ต่างกัน นอกจากงาน บ้าน และที่เกิดเหตุ ชีวิตผมก็แทบไม่มีอะไรเหมือนกัน ผมไม่ได้แต่งงานใหม่ ไม่คบใครหลังจากแมรี่เสีย ไม่ได้หมายความว่า ผมไม่สามารถเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้อย่างที่คนอื่นเข้าใจ ผมแค่ยังไม่เจอคนที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยเท่านั้นเอง”


    “ผมหวังว่า คุณจะพบ”


    “ขอบคุณ คุณหมอ” ผมหยุดฝีเท้า หันไปหาเขาซึ่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม “ผมไม่เคยเชื่อเรื่องคู่แท้ แต่ผมคิดว่าผมเจอแล้ว เหลือแค่เรื่องเวลาที่จะทำความรู้จักให้มากกว่านี้ และโอกาสที่ผมไม่รู้ว่าจะได้รับมากน้อยแค่ไหน”


    ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ ดึงผ้าพันคอของเขาลง ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้ม ดวงตาสีเขียวคู่นั้นสบตอบกลับมา


    “แล้วคุณจะรู้เองว่าเมื่อไหร่”


    เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ต ไถจอดูโน้ตรายการของที่ต้องซื้อ และชวนผมออกเดินต่อไปยังร้านสะดวกซื้อที่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินชานเซอรี่เลนที่สุด ซึ่งเปิดดึกพอสมควรสำหรับช่วงเทศกาล


    “ว่าแต่สารวัตรจะอยู่ทานอาหารเช้าด้วยกันไหมครับ ผมจะได้ซื้อขนมปัง นม กับอาหารพวกเนื้อเพิ่ม”


    ผมเลิกคิ้วน้อย ๆ พยักหน้ารับข้อเสนอที่เราต่างเข้าใจความนัยในข้อความนั้นด้วยรอยยิ้ม  


    “ถ้าคุณหมอจะกรุณา”


    ก่อนถึงเช้า คืนนี้ คงอีกยาวนาน เพราะเราสองคนยังมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องพูดคุยกัน 


    ไม่ใช่เรื่องระหว่างเรา แต่เป็นคดีของเจมส์ พ็อตต์กับมือปริศนาที่หายไปและยังหาไม่พบจนถึงบัดนี้ มีอะไรบางอย่างที่ผมอยากรู้จาก ดร. ฟอล์กเนอร์


    ‘ถ้าผมเป็นมิสซิสพ็อตต์ ผมอาจฆ่าเจมส์ พ็อตต์เหมือนกันก็ได้’


    ระหว่างพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ก่อนที่จะนัดพบกันที่บ้านของเขา ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์เปรยเช่นนั้น และผมอยากรู้ว่า เพราะอะไร


    To be continued....
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
salmonrism (@salmonrism)
เอ๋ ไม่ได้ค้างหรอคะ..
chavimint (@chavimint)
รู้สึกหวานค่ะ ชวนซื้อข้าวเช้าเป็นอะไรที่มาเหนือเมฆมากๆ >< แต่ประโยคสุดท้ายรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ
belibalii (@belibalii)
เป็นแมวที่พอเปิดใจแล้วให้สุดเลยจริงๆ
อยากจับมาฟัดๆๆๆๆๆๆ