คราวนี้เราไปเที่ยวยาวนานกว่าทุกครั้ง...
ดูเหมือนว่าช่วงสงกรานต์เราจะห่างหายจากการไปเที่ยว จริงๆ ก็ออกไปดูคอนเสิร์ตพี่เอ๊ะนะ เพียงแต่ไม่ได้เที่ยวเท่านั้นเอง จำได้ว่าไปฉะเชิงเทรากับสระบุรีมา ความจริงถ้ามีเวลาก็คงจะได้เที่ยวกัน แต่หลายอย่างก็ไม่เอื้ออำนวยเท่าไร แต่ไม่เป็นไร เรามีทริปใหม่ไว้ชดเชยอยู่แล้ว
การวางแผนเดินทางท่องเที่ยวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเคย จังหวัดที่เราจะไปกันนี้พวกเราไม่เคยไปมาก่อน ทุกอย่างเป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกเราทั้งนั้น การค้นหาสถานที่พัก รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ข้อมูลมหาศาลอัดแน่นในแผนการของเรา (ตื่นเต้นล่วงหน้ากันเป็นสัปดาห์) ใจลอยไปไกลตั้งแต่ยังไม่ได้ออกเดินทาง จากตอนแรกวางแผนกันว่าจะไปแค่ 2 วัน 1 คืน ก็คงจะพอ แต่ดูไปดูมา ไม่พอแล้วจ้า ที่เที่ยวเยอะเหลือเกิน สุดท้ายพวกเราสรุปตรงกันได้ว่าจะไป 3 วัน 2 คืนไปเลย
จันทบุรีคือจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้
เพนกวินนักเดินทางสองอัตราเดินทางมาถึงสถานีขนส่งหมอชิตเพื่อขึ้นรถตู้ไปจันทบุรี (พี่คนขับซิ่งประหนึ่งเป็นโดมินิก ทอเร็ตโต้) จากที่ง่วงเหงาหาวนอนกันเพราะต้องตื่นเช้าก็เลยตาสว่าง รถออกจากกรุงเทพฯ 7.30 น. เป๊ะ และด้วยอภินันทนาการจากพี่คนขับเราก็ไปถึงสถานีขนส่งจันทบุรีในเวลา 11.30 น. เร็วกว่าที่คิดเอาไว้ตั้งครึ่งชั่วโมงแหนะ
ทันทีที่ลงจากรถเราก็ได้พบกับความร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาอบก็ไม่ปาน (แทบจะไหม้) แต่ได้เห็นท้องฟ้าใสแจ๋วอยู่ตรงหน้าก็คุ้มล่ะ เรากินอาหารมื้อแรกกันอย่างง่ายๆ ที่ร้านอาหารตามสั่งข้างสถานขนส่งนั่นเอง ก่อนที่พวกเราจะวิ่งจี๋ไปหาร้านสะดวกซื้อติดแอร์เพื่อรอรถนำเที่ยวที่นัดกันไว้
เราได้รู้จักกับพี่ม่อน ผู้ที่จะเป็นคนขับรถพาเราไปเที่ยวจันทบุรี สถานที่แรกที่เราไปชมก็คือ ค่ายเนินวง ที่นี่มีป้อมปืนใหญ่ความสูงเท่าตึกสองชั้น ก้อนอิฐแต่ละก้อนดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่างกับคนที่มาที่นี่ ภาพของป้อมปืนโบราณท่ามกลางร่มเงาของต้นหางนกยูงใหญ่ที่ออกดอกสีส้มแดง ตัดกับผืนฟ้าสีสด สวยจนต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้ดูนานๆ พวกเราปีนขึ้นไปดูข้างบนป้อม (มีบันไดเหล็กให้ขึ้นไปได้) เก็บภาพประทับใจเอาไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ภายในค่ายเนินวงยังมี พิพิธภัณฑ์พาณิชย์นาวี ที่จัดแสดงเกี่ยวกับเส้นทางการค้าสมัยก่อนด้วย เราแวะเข้าไปดูกันนิดหน่อยก่อนวิ่ง (อีกแล้ว) ฝ่าความร้อนออกมากินไอศกรีมจากรถเข็นด้านหน้า คุณลุงคนขายก็ใจดีตักให้ลูกใหญ่เลย
พี่ม่อนพาเราต่อไปที่ วัดพลับ ซึ่งเป็นวัดที่น่าสนใจวัดหนึ่งของจันทบุรี พระปรางสีขาวสูงตระหง่านที่งดงามด้วยศิลปกรรมสมัยอยุธยาที่หาดูได้ยากสวยจับใจพวกเราที่สุด และในบริเวณวัดก็มีไก่แจ้หลากสีเดินอวดโฉมไปมาเต็มไปหมด แต่ละตัวขนเรียบสวยเป็นมันแสดงว่าได้รับการดูแลอย่างดีจากทางวัดแน่นอน นอกจากนี้ภายในวัดยังมีตลาดโราณชื่อว่า ตลาดทุบหม้อ เป็นที่ให้เราแวะพักกินอาหารว่างดื่มน้ำกันได้ มีของที่ระลึก อาหารประจำท้องถิ่น เครื่องดื่มสมุนไพร และอื่นๆ อีกมากมายให้เราได้จับจ่ายกัน พวกเราได้เครื่องดื่มสมุนไพรกันมาคนละแก้วมานั่งจิบบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มไม้เรียกความสดชื่นกลับมาได้มากโข
หลังจากเติมพลังกันแล้วพี่ม่อนก็มาส่งเราถึงที่พักที่ หาดเจ้าหลาว เราพักกันที่ปลายทะเลรีสอร์ท หลังจากเก็บของและล้างหน้าล้างตากันแล้วก็พร้อมที่จะออกเดินทางต่อไป โดยที่จุดหมายถัดไปของเราคือ ลานหินสีชมพู ถ้าดูจากแผนที่แล้วระยะทาง 3.6 กิโลเมตรจากที่พักก็ไม่น่าจะลำบากสำหรับพวกเรามากนัก พวกเราจึงตัดสินใจที่จะเดินกันไป
ใช่แล้ว เดินกันไป...
ถ้ามีใครพบเห็นนักท่องเที่ยวสองกันเดินท่อมๆ ตามถนนขึ้นภูเขาท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ แล้วล่ะก็ นั่นแหละพวกเราเอง ทำไมไม่มีใครบอกว่ามันต้องเดินขึ้นเขา! อยากจะร้องไห้แต่น้ำในร่างกายก็ระเหยออกไปจนไม่เหลือให้มาเป็นน้ำตา ทำไมพวกเราถึงทำอะไรแบบนี้กันนะ ได้แต่ถามตัวเองในใจขณะที่สองขาก็พากันก้าวเดินต่อไป เอาน่ะ ไหนๆ ก็มาแล้วจะให้หันหลังกลับก็ไม่ใช่วิสัยของพวกเราซะด้วยสิ
พวกเราใช้เวลาไปราวๆ 50 นาที กับเส้นทางที่เดินมา เดินช้าลงบ้าง หยุดพักบ้าง เลี้ยวผิดทางไปบ้าง แต่ในที่สุดเราก็มาถึงลานหินสีชมพู ซึ่งลานหินสีชมพูอยู่ในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน โดยเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.00 - 16.30 น. มีค่าเข้าชมคนละ 20 บาทเท่านั้น สภาพของพวกเราตอนที่ไปถึงทำเอาพี่ๆ เจ้าหน้าที่หัวเรากันท้องแข็ง (แน่ล่ะ คงไม่มีนักท่องเที่ยวที่ไหนจะเดินขึ้นเขาทั้งลูกมาขนาดนี้) ตอนแรกพี่ๆ เขาจะไม่เก็บค่าเข้ากับพวกเราด้วย แต่เราก็ดื้อจ่ายตามระเบียบ และได้รับแจ้งว่าจะต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรจากจุดซื้อบัตร ได้ยินแล้วอยากจะร้องไห้
แต่ด้วยความดื้อและความอยากเที่ยวพวกเราก็เดินกันต่อไป ปีนโขดหิน เดินบนพื้นทรายไปเรื่อยๆ ด้วยการนำทางจากน้องหมาท้องถิ่น ในที่สุดเราก็มาถึงลานหินสีชมพูจนได้ แสงอาทิตย์ลาดกระทบที่ก้อนหินน้อยใหญ่เป็นสีชมพูจัดดูแปลกตาตัดกับสีเขียวครามของน้ำทะเล ความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาดูเหมือนจะหายไปหมดเมื่อได้มาเห็น ความมุ่งมั่นและตั้งใจของเราให้ผลที่คุ้มค่าเสมอ พวกเราปีนหินไปเรื่อยๆ หามุมถ่ายรูป นั่งเล่น นอนเล่นจนพอใจก่อนกลับที่พักกัน
สิ่งที่จะลืมไม่ใด้เลยสำหรับการเดินทางครั้งนี้ก็คือความใจดีของพี่ๆ เจ้าหน้าที่ประจำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน เมื่อเราเดินกลับมาถึงบริเวณทางเข้าก็พบว่าพี่ๆ ชุดเดิมได้ออกเวรไปแล้วแต่ก็ยังฝากฝังพวกเรากับพี่ๆ เจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่มารับเวรต่อ พี่เจ้าหน้าที่ก็ฝากให้เราได้นั่งรถไปกับพี่สาวจากร้านสหกรณ์ วันนันเราก็เลยได้นั่งรถลงเขากันอย่างสบาย แถมพี่สาวยังไปส่งเราถึงที่พักกันเลยทีเดียว ขอขอบคุณพี่ๆ ในความใจดี
เย็นวันนั้นหลังจากอาบน้ำพักผ่อนให้คลายความเมื่อยล้าแล้วพวกเราก็ปั่นจักรยานไปดูพระอาทิตย์ตกริมทะเลและบรรยากาศยามเย็นของหาดเจ้าหลาว ก่อนจะไปกินอาหารทะเลมื้อใหญ่กันอย่างอิ่มหนำสำราญ
วันต่อมาพวกเราตั้งใจตื่นกันแต่เช้าตรู่ เพราะอยากจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นริมทะเล เราเดินกันอย่างสดใสร่าเริงไปที่ชายหาดเพื่อพบว่าพระอาทิตย์ขึ้นคนละด้าน (อดเห็นอีกละ) แต่ก็เอาเถอะ ถึงอย่างไรในตอนที่แสงสีทองสาดปกคลุมท้องฟ้ามันก็สวยอยู่ดี รู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้มาเห็นภาพแบบนี้ พวกเราเดินถ่ายรูปเล่นตามชายหาดไปเรื่อย ไม่นานก็มีน้องหมาเจ้าถิ่นวิ่งมาเข้าเฟรม หลังจากเดินถ่ายรูปกันอยู่เกือบชั่วโมงก็กลับไปที่พักเพื่อรอเวลากินอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดไว้บริการ
จันทบุรีเป็นที่แรกที่มีเพนกวินสองตัวมาร่วมท่องเที่ยวกับเราด้วย เจ้าตัวกลมสองตัวถือเป็นเพื่อนร่วมทริปของเรา ได้ไปที่ต่างๆ ด้วยกัน โดยวันนี้ก็มีพี่ม่อนคนเดิมก็มารับเราสองคนไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บอกไว้เลยว่าวันนี้ตารางของพวกเราแน่นมาก กะว่าวันเดียวนี้จะเที่ยวให้คุ้มเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in