เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เพนกวิ้นท่องเที่ยวpenguintravel3
ด้วยความปรารถนาดี [จันทบุรี]
  • คราวนี้เราไปเที่ยวยาวนานกว่าทุกครั้ง...


    ดูเหมือนว่าช่วงสงกรานต์เราจะห่างหายจากการไปเที่ยว จริงๆ ก็ออกไปดูคอนเสิร์ตพี่เอ๊ะนะ เพียงแต่ไม่ได้เที่ยวเท่านั้นเอง จำได้ว่าไปฉะเชิงเทรากับสระบุรีมา ความจริงถ้ามีเวลาก็คงจะได้เที่ยวกัน แต่หลายอย่างก็ไม่เอื้ออำนวยเท่าไร แต่ไม่เป็นไร เรามีทริปใหม่ไว้ชดเชยอยู่แล้ว


    การวางแผนเดินทางท่องเที่ยวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเคย จังหวัดที่เราจะไปกันนี้พวกเราไม่เคยไปมาก่อน ทุกอย่างเป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกเราทั้งนั้น การค้นหาสถานที่พัก รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ข้อมูลมหาศาลอัดแน่นในแผนการของเรา (ตื่นเต้นล่วงหน้ากันเป็นสัปดาห์) ใจลอยไปไกลตั้งแต่ยังไม่ได้ออกเดินทาง จากตอนแรกวางแผนกันว่าจะไปแค่ 2 วัน 1 คืน ก็คงจะพอ แต่ดูไปดูมา ไม่พอแล้วจ้า ที่เที่ยวเยอะเหลือเกิน สุดท้ายพวกเราสรุปตรงกันได้ว่าจะไป 3 วัน 2 คืนไปเลย


    จันทบุรีคือจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้


    จะออกไปแตะขอบฟ้าาาา


    เพนกวินนักเดินทางสองอัตราเดินทางมาถึงสถานีขนส่งหมอชิตเพื่อขึ้นรถตู้ไปจันทบุรี (พี่คนขับซิ่งประหนึ่งเป็นโดมินิก ทอเร็ตโต้) จากที่ง่วงเหงาหาวนอนกันเพราะต้องตื่นเช้าก็เลยตาสว่าง รถออกจากกรุงเทพฯ 7.30 น. เป๊ะ และด้วยอภินันทนาการจากพี่คนขับเราก็ไปถึงสถานีขนส่งจันทบุรีในเวลา 11.30 น. เร็วกว่าที่คิดเอาไว้ตั้งครึ่งชั่วโมงแหนะ


    ทันทีที่ลงจากรถเราก็ได้พบกับความร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาอบก็ไม่ปาน (แทบจะไหม้) แต่ได้เห็นท้องฟ้าใสแจ๋วอยู่ตรงหน้าก็คุ้มล่ะ เรากินอาหารมื้อแรกกันอย่างง่ายๆ ที่ร้านอาหารตามสั่งข้างสถานขนส่งนั่นเอง ก่อนที่พวกเราจะวิ่งจี๋ไปหาร้านสะดวกซื้อติดแอร์เพื่อรอรถนำเที่ยวที่นัดกันไว้


    เราได้รู้จักกับพี่ม่อน ผู้ที่จะเป็นคนขับรถพาเราไปเที่ยวจันทบุรี สถานที่แรกที่เราไปชมก็คือ ค่ายเนินวง ที่นี่มีป้อมปืนใหญ่ความสูงเท่าตึกสองชั้น ก้อนอิฐแต่ละก้อนดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่างกับคนที่มาที่นี่ ภาพของป้อมปืนโบราณท่ามกลางร่มเงาของต้นหางนกยูงใหญ่ที่ออกดอกสีส้มแดง ตัดกับผืนฟ้าสีสด สวยจนต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้ดูนานๆ พวกเราปีนขึ้นไปดูข้างบนป้อม (มีบันไดเหล็กให้ขึ้นไปได้) เก็บภาพประทับใจเอาไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ภายในค่ายเนินวงยังมี พิพิธภัณฑ์พาณิชย์นาวี ที่จัดแสดงเกี่ยวกับเส้นทางการค้าสมัยก่อนด้วย เราแวะเข้าไปดูกันนิดหน่อยก่อนวิ่ง (อีกแล้ว) ฝ่าความร้อนออกมากินไอศกรีมจากรถเข็นด้านหน้า คุณลุงคนขายก็ใจดีตักให้ลูกใหญ่เลย


    ท่ามกลางดอกหางนกยูงสีสด

    วิวจากบนป้อมปืนใหญ่

    สวยมั้ยล่ะ


    พี่ม่อนพาเราต่อไปที่ วัดพลับ ซึ่งเป็นวัดที่น่าสนใจวัดหนึ่งของจันทบุรี พระปรางสีขาวสูงตระหง่านที่งดงามด้วยศิลปกรรมสมัยอยุธยาที่หาดูได้ยากสวยจับใจพวกเราที่สุด และในบริเวณวัดก็มีไก่แจ้หลากสีเดินอวดโฉมไปมาเต็มไปหมด แต่ละตัวขนเรียบสวยเป็นมันแสดงว่าได้รับการดูแลอย่างดีจากทางวัดแน่นอน นอกจากนี้ภายในวัดยังมีตลาดโราณชื่อว่า ตลาดทุบหม้อ เป็นที่ให้เราแวะพักกินอาหารว่างดื่มน้ำกันได้ มีของที่ระลึก อาหารประจำท้องถิ่น เครื่องดื่มสมุนไพร และอื่นๆ อีกมากมายให้เราได้จับจ่ายกัน พวกเราได้เครื่องดื่มสมุนไพรกันมาคนละแก้วมานั่งจิบบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มไม้เรียกความสดชื่นกลับมาได้มากโข


    ถ่ายรูปกันซักหน่อย

    แวะดื่มน้ำสมุนไพรเย็นๆ


    หลังจากเติมพลังกันแล้วพี่ม่อนก็มาส่งเราถึงที่พักที่ หาดเจ้าหลาว เราพักกันที่ปลายทะเลรีสอร์ท หลังจากเก็บของและล้างหน้าล้างตากันแล้วก็พร้อมที่จะออกเดินทางต่อไป โดยที่จุดหมายถัดไปของเราคือ ลานหินสีชมพู ถ้าดูจากแผนที่แล้วระยะทาง 3.6 กิโลเมตรจากที่พักก็ไม่น่าจะลำบากสำหรับพวกเรามากนัก พวกเราจึงตัดสินใจที่จะเดินกันไป


    ที่พักคืนแรก


    ใช่แล้ว เดินกันไป...


    ถ้ามีใครพบเห็นนักท่องเที่ยวสองกันเดินท่อมๆ ตามถนนขึ้นภูเขาท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ แล้วล่ะก็ นั่นแหละพวกเราเอง ทำไมไม่มีใครบอกว่ามันต้องเดินขึ้นเขา! อยากจะร้องไห้แต่น้ำในร่างกายก็ระเหยออกไปจนไม่เหลือให้มาเป็นน้ำตา ทำไมพวกเราถึงทำอะไรแบบนี้กันนะ ได้แต่ถามตัวเองในใจขณะที่สองขาก็พากันก้าวเดินต่อไป เอาน่ะ ไหนๆ ก็มาแล้วจะให้หันหลังกลับก็ไม่ใช่วิสัยของพวกเราซะด้วยสิ


    พวกเราใช้เวลาไปราวๆ 50 นาที กับเส้นทางที่เดินมา เดินช้าลงบ้าง หยุดพักบ้าง เลี้ยวผิดทางไปบ้าง แต่ในที่สุดเราก็มาถึงลานหินสีชมพู ซึ่งลานหินสีชมพูอยู่ในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน โดยเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.00 - 16.30 น. มีค่าเข้าชมคนละ 20 บาทเท่านั้น สภาพของพวกเราตอนที่ไปถึงทำเอาพี่ๆ เจ้าหน้าที่หัวเรากันท้องแข็ง (แน่ล่ะ คงไม่มีนักท่องเที่ยวที่ไหนจะเดินขึ้นเขาทั้งลูกมาขนาดนี้) ตอนแรกพี่ๆ เขาจะไม่เก็บค่าเข้ากับพวกเราด้วย แต่เราก็ดื้อจ่ายตามระเบียบ และได้รับแจ้งว่าจะต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรจากจุดซื้อบัตร ได้ยินแล้วอยากจะร้องไห้


    แต่ด้วยความดื้อและความอยากเที่ยวพวกเราก็เดินกันต่อไป ปีนโขดหิน เดินบนพื้นทรายไปเรื่อยๆ ด้วยการนำทางจากน้องหมาท้องถิ่น ในที่สุดเราก็มาถึงลานหินสีชมพูจนได้ แสงอาทิตย์ลาดกระทบที่ก้อนหินน้อยใหญ่เป็นสีชมพูจัดดูแปลกตาตัดกับสีเขียวครามของน้ำทะเล ความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาดูเหมือนจะหายไปหมดเมื่อได้มาเห็น ความมุ่งมั่นและตั้งใจของเราให้ผลที่คุ้มค่าเสมอ พวกเราปีนหินไปเรื่อยๆ หามุมถ่ายรูป นั่งเล่น นอนเล่นจนพอใจก่อนกลับที่พักกัน


    วิวสวยๆ ที่ลานหินสีชมพู

    น้องหมาเจ้าถิ่น

    เดิน เดินเถอะเรา


    สิ่งที่จะลืมไม่ใด้เลยสำหรับการเดินทางครั้งนี้ก็คือความใจดีของพี่ๆ เจ้าหน้าที่ประจำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน เมื่อเราเดินกลับมาถึงบริเวณทางเข้าก็พบว่าพี่ๆ ชุดเดิมได้ออกเวรไปแล้วแต่ก็ยังฝากฝังพวกเรากับพี่ๆ เจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่มารับเวรต่อ พี่เจ้าหน้าที่ก็ฝากให้เราได้นั่งรถไปกับพี่สาวจากร้านสหกรณ์ วันนันเราก็เลยได้นั่งรถลงเขากันอย่างสบาย แถมพี่สาวยังไปส่งเราถึงที่พักกันเลยทีเดียว ขอขอบคุณพี่ๆ ในความใจดี


    เย็นวันนั้นหลังจากอาบน้ำพักผ่อนให้คลายความเมื่อยล้าแล้วพวกเราก็ปั่นจักรยานไปดูพระอาทิตย์ตกริมทะเลและบรรยากาศยามเย็นของหาดเจ้าหลาว ก่อนจะไปกินอาหารทะเลมื้อใหญ่กันอย่างอิ่มหนำสำราญ


    แสงสีทองกำลังจะลาไป

    บรรยากาศเหงาๆ


    วันต่อมาพวกเราตั้งใจตื่นกันแต่เช้าตรู่ เพราะอยากจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นริมทะเล เราเดินกันอย่างสดใสร่าเริงไปที่ชายหาดเพื่อพบว่าพระอาทิตย์ขึ้นคนละด้าน (อดเห็นอีกละ) แต่ก็เอาเถอะ ถึงอย่างไรในตอนที่แสงสีทองสาดปกคลุมท้องฟ้ามันก็สวยอยู่ดี รู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้มาเห็นภาพแบบนี้ พวกเราเดินถ่ายรูปเล่นตามชายหาดไปเรื่อย ไม่นานก็มีน้องหมาเจ้าถิ่นวิ่งมาเข้าเฟรม หลังจากเดินถ่ายรูปกันอยู่เกือบชั่วโมงก็กลับไปที่พักเพื่อรอเวลากินอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดไว้บริการ 


    นักเดินทางตัวกลม

    เอ้า ออกเรือ


    จันทบุรีเป็นที่แรกที่มีเพนกวินสองตัวมาร่วมท่องเที่ยวกับเราด้วย เจ้าตัวกลมสองตัวถือเป็นเพื่อนร่วมทริปของเรา ได้ไปที่ต่างๆ ด้วยกัน โดยวันนี้ก็มีพี่ม่อนคนเดิมก็มารับเราสองคนไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บอกไว้เลยว่าวันนี้ตารางของพวกเราแน่นมาก กะว่าวันเดียวนี้จะเที่ยวให้คุ้มเลย



    สถานที่แรกของวันนี้เริ่มที่ จุดชมวิวเนินนางพญา เป็นสถานที่ยอดฮิตที่ทุกคนต้องมาให้ได้ถ้ามาที่จันทบุรี ของจริงสวยกว่าที่เคยเห็นในรูปเยอะ ขนาดว่าเราไปถึงตอนเช้ามากแล้วยังมีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ไม่ผิดหวังที่ยอมเดินฝ่าอุณหภูมิข้างนอกที่พุ่งขึ้นไปกว่า 32 องศา แดดแรงกว่าวันแรกอีกสุดยอดจริงๆ 


    ต้องมาให้ได้ซักครั้ง

    ต่อจากนั้นเราก็ขึ้นรถมอเตอร์ไซพ่วงเพื่อไปชม เจดีย์กลางน้ำ ดูเป็นระบบการขนส่งที่เหมาะกับชุมชนดี รถคันเล็กๆ บรรทุกคนได้ราว 4-5 คนเท่านั้น เมื่อไปถึงจุดชมเจดีย์กลางน้ำที่อยู่ด้านล่างเราก็ต้องเดินข้ามสะพานยาวๆ ไปอีกกว่าจะถึงจุดชมตัวเจดีย์ น้ำทะเลใสๆ ท้องฟ้าสวยๆ ภูเขาเขียวๆ และโบราณสถาน ก็เป็นการรวมตัวกันที่เหมาะเจาะ


    เดินฝ่าแสงแดดร้อนระอุ
    เห็นเจดีย์ไกลๆ

    สถานีต่อไปของพวกเราคือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน ที่นี่เราจะได้พบกับเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนสะพานไม้ที่มีความยาวกว่า 2 กิโลเมตร พาดผ่านป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ได้เดินชมทิวทัศน์ของป่าชายเลน ดูปูแสมบ้าง ปลาตีนบ้างในระหว่างทาง โดยไฮไลท์ของที่นี่นอกจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติแล้วยังมีหอดูนกที่สูงกว่า 5 ชั้นให้พวกเราผลัดกันขึ้นไปถ่ายรูปในมุมแปลกๆ ก่อนจะลงมาเพื่อเดินชมนกชมไม้ต่อไป 


    เดินไปกันเลย
    สูงปรี๊ด
    กวิ้นศึกษาธรรมชาติ

    ช่วงบ่ายของเราเป็นการเที่ยวสถานที่ประวัติศาสตร์อย่าง ตึกแดง และ คุกขี้ไก่ ได้ไปสัมผัสช่วงเวลาในยากลำบากของผู้คนสมัยก่อนผ่านทางสถาปัตยกรรมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แอบคิดเหมือนกันว่าถ้ามีการบริหารจัดการและประชาสัมพันธ์สถานที่เหล่านี้มากขึ้นก็คงจะดี ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของแต่ละสถานที่ เยาวชนและคนที่สนใจจะได้สามารถศึกษาประวัติศาสตร์และชมความสวยงามไปพร้อมๆ กันได้ ต่อมาเราไปที่ ป้อมไพรีพินาศ ระหว่างทางมีลิงอยู่ประปรายตามทาง จากนั้นก็ไปดูโบสถ์สีขาวของ วัดเขาแหลมสิงห์ (เจอลิงนั่งอยู่บนกำแพงวัดด้วย) และแวะถ่ายรูปกันที่ สะพานปากน้ำแขมหนู หนึ่งแชะ (จริงๆ พวกเราอยากจะใช้เวลาที่ปากน้ำแขมหนูกันมากกว่านี้ แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนระอุทำให้เกรงว่าตัวจะไหม้กันก่อนจะได้ชื่นชมธรรมชาติ) ก่อนเข้าสู่ความทรหดของจริง


    ปืนใหญ่โบราณในตึกแดง
    เดินเข้าไปข้างในได้ด้วยนะ

    เดินผ่านฝูงลิงขึ้นไป
    โบสถ์สีขาว
    มองเห็นสะพานปากน้ำแขมหนู

    อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ซึ่งพวกเราตั้งใจว่าจะไปนั่งโง่ๆ ที่น้ำตกพักกายพักใจ แต่สิ่งที่พวกเราได้พบเจอก็คือเส้นทางศึกษาธรรมชาติอีกแล้วจ้า ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไม่แน่ใจว่าจะเอาไว้ให้ศึกษาธรรมชาติหรือให้เอาตัวรอดจากธรรมชาติกันแน่ เส้นทางขึ้นเขา ขึ้นเขา และขึ้นเขา!!! ไหนการนั่งโง่ๆ น้ำตาจะไหล มาเลยเพื่อน I'm with you 'til the end of the line แต่สุดท้ายเราก็เดินกันไม่ครบเส้นทางเพราะเหนื่อยและทางที่ต้องไปต่อมันชันมาก เกือบเก้าสิบองศาจนทางอุทยานต้องมีเชือกไว้ให้จับปีน เราเลยได้ถ่ายรูปกันตรงธารน้ำตกเล็กๆ แทนก่อนจะเดินกลับลงมาและเดินขึ้นไปบนเส้นทางไปน้ำตก 


    ที่ต้องเดินขึ้นเขาอีกแล้วครับท่าน


    กวิ้นกับเส้นทางศึกษาธรรมชาติ

    ระหว่างทางเราผ่าน พีระมิดพระนางเรือล่ม และ อลงกรณ์เจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยศิลาแลง ตรงนี้มีกิ้งก่าตัวโตมายืนรับแขกด้วยเข้าไปถ่ายรูปได้ เมื่อเดินไปถึงตัวน้ำตกพลิ้วจริงๆ ได้ฟังเสียงน้ำตกแล้วก็สดชื่นหายเหนื่อย แถมก่อนกลับพวกเรายังไปเจอน้ำตกส่วนที่ทั้งสวยและเป็นส่วนตัวแอบซ่อนอยู่ตรงทางเข้าอุทยานให้ความรู้สึกเหมือนธารน้ำนั้นจะเป็นของเราเลย 

    สวยแบบโบราณ
    พีระมิดพระนางเรือล่ม
    คนมาเล่นน้ำตกเยอะเลย
    ขอพักตรงนี้

    ที่พักแห่งที่สองชื่อว่า Laluna River House เป็นอาคารริมแม่น้ำจันทบุรี บรรยากาศดีทีเดียว แถมมีระเบียงให้ไปนั่งเล่นริมน้ำได้สบายๆ สำหรับที่นี่เราชอบเป็นพิเศษเพราะมีเตียงสองชั้น พวกเราพักผ่อนกันเล็กน้อยเพื่อนเตรียมตัวสำหรับไปบรรลุจุดประสงค์ที่มากันถึงจันทบุรี นัดแนะเวลากับพี่ม่อนเรียบร้อยแล้วเราสองคนเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก็เลยตัดสินใจเดินไปยัง อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล ซึ่งเป็นโบสถ์ระดับชั้นอาสนวิหารแห่งเดียวในฝั่งตะวันออกของไทย ภายนอกว่าสวยแล้ว ภายในสวยงามยิ่งกว่า ให้ความรู้สึกสงบตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเข้าไป


    มาถึงแล้ววว
    ดีใจที่ได้มาที่นี่
    วิวริมแม่น้ำจันทบุรี

    และแล้วก็มาถึงจุดประสงค์ของวันนี้ พี่ม่อนพาเราสองคนมาที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ที่นี่มีการจัดงานผลไม้ประจำปีที่เป็นงานใหญ่มาก มีร้านรวงต่างๆ มาขายของมากมาย พวกเราเดินดูของกินไปเรื่อยเพื่อรอเวลาที่จะได้เจอกับคนสำคัญของทริปนี้ พี่เอ๊ะ จิรากรของพวกเรา เย้~ 


    หาของกินกันก่อน

    ยิ้มสดใส
    นั่งคุยกันหน่อย

    วันสุดท้ายของการเที่ยวจันทบุรี พวกเราตื่นกันแต่เช้าเพื่อออกไปเดินเที่ยวในชุมชน กินอาหารท้องถิ่น (น้ำมะปี๊ดเปรี้ยวจี๊ดสะใจ) และสุดท้ายก็พากันมานั่งทบทวนถึงเรื่องราวดีๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดของทริปนี้ พวกเราได้ทำอะไรใหม่ๆ ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พบเห็นระหว่างทาง 


    มะปี๊ดเปรี้ยวปี๊ด
    ร้านรวงต่างๆ
    แอบขึ้นรถ
    ตึกน่ารักเต็มไปหมด
    ท้องฟ้าใสแจ๋ว
    ดูเหมือนจะเป็นท่าเรือ

    ถ้าวันนั้นไม่ได้ออกเดินทางก็คงไม่ได้เรียนรู้



    ป.ล. เพลงของตอนนี้เป็นเพลงความหมายดีๆ ที่ไม่ว่าชีวิตจะพาให้เราพบเจอเรื่องอะไรมาก็ตาม ความรักและความหวังดีต่อกันก็จะทำให้เราพบความสุข

    - ด้วยความปรารถนาดี -



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in