เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เพนกวิ้นท่องเที่ยวpenguintravel3
ที่ที่เป็นของเรา [กาญจนบุรี]
  • เพราะรักเขาเราจึงออกเดินทาง...

    การเดินทางครั้งนี้จะแตกต่างไปจากการเดินทางครั้งอื่น เพราะครั้งนี้เราจะเที่ยวก่อนเมนบ้าง พูดถึงกาญจนบุรี เราก็จะนึกถึงเมืองแห่งขุนเขาและประวัติศาสตร์ ถ้าดูจากแผนที่แล้วก็จะพบว่าเป็นจังหวัดที่ใหญ่มากๆ เลยทีเดียว จนเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ที่เรามีคงไม่พอที่จะไปเที่ยวให้ครบทุกที่ เราจึงเลือกจุดหมายปลายทางที่จะพอดีกับเวลาอันจำกัด

    หมู่บ้านอีต่องและเหมืองปิล็อก คือจุดหมายที่เราเลือก

    ตีห้าเผงเราจับรถตู้จากสถานีเดินรถโดยสารขนาดเล็ก (จตุจักร) วิ่งตรงไปยังจังหวัดกาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็ถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดกาญจนบุรี แล้วเราก็ต่อรถตู้ (อีกแล้ว) ไปยังอำเภอทองผาภูมิ รถแล่นไปตามทางหลวงกว่าสองชั่วโมงเราก็มาถึงท่ารถในอำเภอทองผาภูมิแล้ว

    แต่เดี๋ยวก่อน

    การเดินทางของเรายังไม่จบอยู่แค่นั้น เรายังต้องต่อรถสองแถวขึ้นเขาไปอีกจ้า จากตลาดทองผาภูมิไปถึงหมู่บ้านอีต่องนั้นใช้เวลาเกือบๆ สองชั่วโมง กับถนนเลียบภูเขาผ่านโค้งถึง 399 โค้ง และไหล่ทางที่ชำรุดเป็นช่วงๆ (เวียนหัวและตาลายมาก) ในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้านอีต่องจนได้แบบครบชิ้นส่วน

    ถ้าถามว่าสิ่งแรกที่ประทับใจในหมู่บ้านนี้คืออะไร ก็จะตอบว่าเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบ แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวประปรายแต่หมู่บ้านนี้ก็ยังคงความสงบอยู่ได้ บวกกับอากาศที่เย็นฉ่ำ (เห็นว่าอากาศจะเย็นแบบนี้ตลอดทั้งปี) ทันทีที่เห็นเราถึงขั้นอุทานออกมาด้วยความตื่นตาตื่นใจจนแทบจะลืมเส้นทางคดเคี้ยวที่ผ่านมาไปเลย สวยจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูก

    ก่อนเข้าที่พักเราก็พากันไปละเลียดกาแฟและกินข้าวคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง อาหารที่นี่ราคาไม่แพงอย่างที่คิดและก็รสชาติถูกปากทีเดียว ใกล้ๆ กับร้านอาหารก็มีสะพานที่ให้คนที่มาเที่ยวเขียนแผ่นไม้ที่ระลึกแล้วเอาไปแขวนไว้ตามราวสะพาน เป็นจุดถ่ายรูปที่น่ารักมาก


    ที่พักของเราเป็นเต๊นท์ล่ะ และเป็นเต๊นท์ที่สะดวกสบาย มีปลั๊กไฟและไฟให้เรียบร้อย ห้องอาบน้ำด้านนอกก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วย แถมมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ อย่างลูกหมามาวิ่งเล่นให้ดูเพลินๆ (ตกกลางคืนก็พากันหอนให้สยองใจเล่น) พวกเราเก็บของและพักผ่อนกันเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มเดินสำรวจหมู่บ้านกันจริงจัง



    จุดแรกที่เราไปกันคือเหมืองปิล็อก เป็นเหมืองเก่าอายุเกือบจะร้อยปี เราเดินไปที่จุดที่เขาเก็บรถยนต์และเครื่องมือที่ใช้ตอนทำเหมือง แวะถ่ายรูปกันอยู่นานเลยสนุกมาก แต่ที่ที่รู้สึก ว๊าว สุดของเหมืองคือส่วนที่เป็นสระน้ำสีฟ้าใส ใสแจ๋วเลยล่ะ มีปลาคาร์ฟตัวโตๆ ว่ายอยู่ด้วย เดินไปอีกหน่อยก็เจอน้ำตกเล็กๆ ฟังเสียงน้ำไหล รับลมเย็นๆ สบายกันไป


    เมื่อถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วเราก็ไปต่อกันที่เนินเสาธง ที่จะเป็นชายแดนที่ติดต่อกับสหภาพพม่า เราก็พากันเดินขึ้นไปกัน ก่อนถึงเนินเสาธงเราจะเจอกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่มีคนมากางเต๊นท์เยอะมาก เป็นลานกว้างๆ ที่เห็นท้องฟ้าเต็มๆ โดยไม่มีอะไรบัง (มานอนดูดาวที่นี่คงสวย) เมื่อถึงเนินเสาธงเราสองคนก็แทบจะปีนขึ้นไป ขาสั่นแล้วตอนนี้ แต่วิวที่ได้เห็นก็ทำเอาลืมเหนื่อย ภาพของภูเขาที่สลับซับซ้อน ก้อนเมฆที่เห็นรูปร่างชัดแจ๋ว และแสงแดดที่ส่องลงมา ทุกอย่างดูลงตัวไปซะหมด


    พอลงจากเนินเสาธงเราก็เร่งเดินกันไปที่เนินช้างศึก แน่นอนว่าเช็คระยะทางมาแล้วว่าอยู่ห่างออกไป 2.9 กิโลเมตรจากหมู่บ้าน แต่ว่าสายตาอันแหลมคมของพวกเราก็เหลือบไปเห็นป้ายบางอย่างที่เชิงเขาเข้าซะก่อน

    เนินช้างศึก 1.2 กิโลเมตร

    ได้การล่ะ ทางลัด!

    สามวินาทีเห็นจะได้ในการตัดสินใจเลือกทางลัดที่ว่า เดินขึ้นเขาแค่กิโลนิดๆ ไม่เท่าไหร่หรอก เราพากันเดิน (บางช่วงก็ปีน) ขึ้นไปตามทาง อ่อนล้าขาสั่นกันเลยทีเดียว เงยขึ้นมองข้างหน้าก็พบแต่ภูเขาและต้นไม้ ไหนเนิน? พวกเรากัดฟันเดินมาจนถึงลานโล่งๆ ด้านบน หลงทางแน่แล้ว เสียงในใจกรีดร้อง จะทำยังไงกันดี สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี


    แต่แล้วฮีโร่ก็ปรากฎตัว

    สุนัขสีน้ำตาลตัวหนึ่งวิ่งลงมาจากเขา ดูท่าจะเป็นเจ้าถิ่น ไอ้เราก็แปลกในมาทำอะไรที่นี่ตัวเดียว เพื่อนเราก็พูดออกไปเล่นๆ เป็นทำนองชวนเจ้าสี่ขาให้มานำทางให้ ปรากฎว่ามาจริงจ้า พี่แกเล่นมางับๆ ดึงๆ ขากางเกงให้เดินตามทางที่นำให้ (มีหันกลับมาดูด้วยนะว่าตามมาหรือเปล่า) ไอ้เราก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ตามไปเลยละกัน เดินตามไปจนกระทั่งพบถนน ดีใจจนน้ำตาจะไหล แล้วยังเจอคนใจดีมารับเราให้ติดรถขึ้นเนินช้างศึกไปด้วยอีกต่างหาก พวกเราโชคดีกันมาก

    พอขึ้นมาถึงจุดชมวิว ก็แทบจะกรีดร้องด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทุกอย่างมันเกินคำว่าสวย สวยจนหาที่เปรียบไม่ได้ พวกเราเดินผ่านนักท่องเที่ยวที่กางเต๊นท์อยู่ตามทางเพื่อไปถ่ายรูปรอบๆ บริเวณ สนุกกันมาก ไม่เคยเห็นอะไรที่ชวนตะลึงขนาดนี้ เราเดินกันอยู่เกือบชั่วโมงก็หาทางลงเขากัน โชคดี (อีกแล้ว) ที่เจอรถสองแถวที่มีคนเหมาขึ้นมาเขาให้เราติดรถลงไปด้วย ไม่เก็บเงินซักบาท ใจดีกันอีกแล้วประทับใจ


    พอลงมาถึงเราก็ซื้อของกินที่ตลาดกลับไปกินที่ที่พัก แวะร้านของที่ระลึกเขียนโปสการ์ดกันด้วย ก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่เต๊นท์ของเรา ชิวมาก เราเล่นกับเจ้าลูกหมาจิ๋วๆ กันพักหนึ่ง หลังจากฟ้าเริ่มมืดเราก็ไปเดินถ่ายรูปกัน พกตะเกียงพม่าไปเป็นพร็อบ สวยเชียวล่ะ เข้ากันกับบรรยากาศเย็นๆ สงบๆ ของที่นี่


    ขากลับพวกเราแวะที่ตัวเมืองกาญจนบุรี ไปเที่ยววัดบ้านถ้ำ วัดถ้้ำเสือ และร้านกาแฟชื่อดังอย่างมีนาคาเฟ่ด้วย เผลอแป๊ปเดียว วันพักผ่อนสบายๆ ของพวกเราก็หมดลงซะแล้ว 

    ไม่ถึง 24 ชั่วโมงที่หมู่บ้านอีต่อง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับประทับอยู่ในความทรงจำของพวกเราไปอีกนานแสนนาน...



    ป.ล. มาถึงช่วงขายเพลงเมน เมื่อเร็วๆ นี้พี่เอ๊ะของพวกเราก็ออกเพลงใหม่มาให้ได้ฟัง (พวกเรายังไม่ทันตั้งตัวเลย) เป็นเพลงที่ความหมายน่ารัก และเข้ากับเรื่องราวของทริปนี้อย่างน่าประหลาด

    - ที่ที่เป็นของเรา -


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in