เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Alive : ฆ่า(ข้า) ต้อง รอด !NO.W
ตอนที่ 6 : ภยันตรายที่กล้ำกราย
  • ……….

     

    ตอนที่ 6 : ภยันตรายที่กล้ำกราย

     

    สภาพสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นสูงเป็นป่าทึบเงาตกทอดลงบนพื้นถนนเป็นร่มเงาธรรมชาติเสมือนว่าได้ขับรถผ่านอุโมงค์แมกไม้ธรรมชาติที่งดงามตลอดทางที่ผมมา ถนนโล่ง ไม่มีแม้แต่รถที่ถูกทิ้งร้างหรือเศษซากของซอมบี้ผมขับออกมาจากตัวเมืองได้หลายไมล์แล้ว

     

    “ข้างหน้านั่นมีจุดแวะพัก บางทีน่าจะมีร้านค้าที่ยังมีอาหารอยู่นะว่ามั้ย?”ผมถามเธอ

    “ก็ดีสิ อาหารเราก็ใกล้จะหมดแล้วนี่”

    “งั้นเราก็แวะสักหน่อยละกัน นั่งนานๆ ก็เมื่อยเนอะ” ผมพูดพลางขยับตัวคลายความเมื่อย

     

                ข้างหน้าถัดไปไม่กี่ร้อยเมตรมีป้ายที่มีข้อความเขียนไว้ว่าจุดพักรถ ผมชะลอความเร็วลง ชำเลืองเข้าไปก่อนว่าสภาพเป็นยังไงก่อนตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าร้านค้าขนาดเล็กผม ดับเครื่องมองผ่านกระจกรถสังเกตตัวร้านที่กระจกร้านยังไม่แตกนั่นหมายความว่ายังไม่โดนบุกรื้อทำลายมากเท่าไรอาจยังมีของอยู่บ้าง

     

    “จะไปด้วยมั้ยหรือว่าจะรอในรถ”  ผมหันไปถาม สีหน้าเธอครุ่นคิด

    “จะเป็นตัวถ่วงเธอมั้ย?”  เธอหันมาทางเสียงผม เอาฮู้ดคลุมหัวตามเคย

    “ไม่หรอกน่า” ผมตอบ เดินออกจากรถอ้อมไปเปิดประตูให้เธอ

     

                ผมจับมือเธอ ค่อยๆ พาเธอออกมาจากรถระวังไม่ให้หัวเธอโขกกับหลังคา ผมทิ้งเป้อาวุธไว้ในรถ เพราะลำพังในตัวนี่ก็น่าจะเกินพอแล้วจึงสะพายแค่เป้ใบเดียวพอ

     

                ผมผลักประตูกระจกขุ่นมัวของร้านเข้าไปจนสุดเธอจับชายเสื้อหนังแขนยาวของผมเดินย่ำเท้าตามหลังผมเข้าข้างใน

     

                ภายในร้านมีเคาน์เตอร์คิดเงินอยู่ทางขวาทางซ้ายเป็นชั้นวางของตั้งเป็นบล็อกๆ ในสุดเป็นตู้แช่ขายน้ำอัดลมต่างๆ พวกเราสองคนต่างเงียบเพื่อฟังเสียงรอบข้างในร้านไม่มีซอมบี้แต่อย่างใด แต่ข้าวของในชั้นก็ร่อยหรอไปค่อนข้างมากยังดีที่มีอาหารสำเร็จรูปอยู่บ้าง ผมได้บะหมี่ถ้วยมาสองถ้วยใส่กระเป๋ากะว่าจะกินเป็นมื้อเที่ยงเลยก่อนคว้าเอาขนมขบเคี้ยว พวกมันฝรั่งทอดมาสองสามถุง ลูกอม หมากฝรั่งช็อกโกแลตแท่งสามสี่อัน น้ำเปล่าอีกสองขวด ผมเก็บทุกอย่างลงเป้ก่อนพากันออกมานั่งอยู่โต๊ะไม้ข้างๆ ร้านค้า

     

                มันเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมีโต๊ะสำหรับนั่งพักกินข้าวหรือทำอะไรก็แล้วแต่อยู่ห้าหกโต๊ะผมจัดแจงก่อกองไฟจากกิ่งไม้แห้งแถวๆ สวนที่จุดจอดพักได้จัดไว้อย่างสวยงามแม้ตอนนี้มันจะรกไปหน่อยก็ตามเพราะไม่มีคนสวนมาตัดแต่งให้ผมกับแคลนั่งกินบะหมี่ถ้วยกันภายใต้ร่มไม้ที่นี่

    “ใกล้จะถึงยังหรอเจค”  เธอถามขณะสูดเส้นบะหมี่เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

    “ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะ ผ่านเมืองข้างหน้าอีกเมืองก็จะถึงแล้วล่ะ” ผมตอบตามที่เข้าใจ

    “ขอบใจเธอมากเลยนะที่พาฉันมาด้วยน่ะ เธอคงลำบากเพราะฉันมาก”

    “ลำบากอะไรเล่า มีเพื่อนร่วมเดินทางสนุกจะตายถึงจะเพิ่งเจอกันไม่กี่วันก็เถอะ” ผมตอบ

    “งั้นหรอ นั่นสินะ ไปคนเดียวคงเหงาแย่ ไงฉันก็ขอบใจนายอยู่ดีล่ะเจคแฟนนายคงจะดีใจที่มีคนรักนิสัยดีแบบนี้แน่ๆ”  เธอพูดเสร็จก็ยกถ้วยขึ้นดื่มน้ำซุปอุ่นๆ  ตลอดชีวิตผมยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคนผมยังคิดอยู่เลยว่าความทรงจำของผมบางทีมันอาจจะถูกปรุงแต่งขึ้นมาโดยเจ้าพวกนั้นก็ได้แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเธอมากกว่าจะมานั่งคิดอะไรให้ปวดหัว

    “ฉันไม่มีแฟนหรอก” ผมบอก กระดกน้ำขึ้นดื่มหลังจัดการบะหมี่เสร็จเรียบร้อย

    “เอ้า ! เป็นงั้นไป ถึงฉันจะไม่เคยเห็นหน้านายก็เถอะนะแต่นายน่าจะหล่อน่าดูเลยล่ะ” เธอหัวเราะเมื่อพูดจบประโยคผมอมยิ้มให้กับท่าทางของเธอ เธอก็คงไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่น่ารักคนนึงเท่าที่ผมเคยเจอมากับท่าทางออกจะแข็งกร้าวเล็กน้อยถ้าดูจากภายนอกแต่จริงๆ แล้วขี้แยใช่เล่นเลยล่ะ

    “ก็ไม่แย่นะ” ผมหัวเราะมั่งเราทั้งคู่ใช้เวลาคุยเล่นกันอยู่พักใหญ่ผมก็ไม่รู้ว่ามันผ่านไปกี่ชั่วโมงที่ผมนั่งคุยสัพเพเหระกับเธอแต่มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและเป็นหนึ่งในความทรงจำที่มีค่าที่สุดสำหรับผมเช่นกัน

    “บางทีเราน่าจะไปต่อได้แล้วนะ เดี๋ยวจะถึงเมืองตอนมืดค่ำได้” ผมพูดเมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว

    “อื้อ” ผมโอบไหล่เธอแทนจับมือเธอก็ใช้มือข้างนึงโอบเอวผมเหมือนกันมันเป็นความรู้สึกที่ดีราวกับว่าผมกับเธอนั้นได้สนิทกันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

    “ไม่ว่าอะไรใช่มั้ยถ้าฉันจะหลับระหว่างทางน่ะ” เธอถามขณะผมกำลังถอยรถออกจากที่จอดรถเพื่อเดินทางไปยังเมืองข้างหน้าต่อมันเป็นทางผ่านไปยัง นิวเคลโอ จุดหมายของพวกเรา

    “ตามสบายเลย ไว้ถึงแล้วจะปลุกละกัน” ผมตอบ แล่นรถออกไปบนถนนภายใต้ร่มไม้ทิ้งร้านค้าเล็กๆ ตรงจุดแวะพักให้เล็กลงไปเรื่อยๆ เมื่อมองผ่านกระจกหลังจนมันลับสายตาไป

     

               

                ขับมาได้หลายไมล์หมู่ป่าไม้สองข้างทางก็เริ่มหายไปเรื่อยๆจนค่อยๆ เห็นสิ่งปลูกสร้างเป็นครั้งคราว ถนนที่ตอนแรกขับมาแบบสบายๆ ตอนนี้กับต้องค่อยๆเลี้ยวหลบซากรถร้างที่ปล่อยไว้กลางถนน ยิ่งไปต่อก็เจอซากอารยธรรมมากขึ้นมีซอมบี้จับกลุ่มรุมทึ้งร่างหมาป่าอยู่ใต้ตึกสำนักงานร้าง  

     

                ผมขับผ่านป้ายยินดีต้อนรับเข้าสู่เมือง...ที่ไม่มีชื่อ มันถูกสเปรย์พ่นคำว่าซอมบี้ห้ามเข้าไว้แทน‘ใครมันจะห้ามซอมบี้ได้วะ’ผมคิดเมื่อมองแผ่นป้าย เมืองนี้เล็กจริงๆ มีอาคารอยู่ไม่ถึงสิบหลังด้วยซ้ำเท่าที่ผมมองเห็นมีโรงแรมขนาดกลาง ร้านค้าย่อยต่างๆ ซูเปอร์มาเกตที่ไม่น่าจะมีอะไรเหลือแล้ว

     

                พื้นถนนเป็นดินมีน้ำขังสีชาเย็นเป็นหลุมบ่อตามจุดต่างๆอาคารถูกตั้งขนานกันเป็นทางเดียว แต่ดูแล้วไม่มีซอมบี้เลยซักตัวมันทำให้ผมรู้สึกตะหงิดๆ อย่างบอกไม่ถูกผมขับไปหยุดกลางแยกเมืองเล็กๆแห่งนี้เป็นรูปตัว T   ผมเลือกเลี้ยวซ้าย สองข้างทางเป็นบ้านคนถัดไปเป็นสวนผักเสมือนมีใครมาปลูกไว้ มีอู่ซ่อมรถเล็กๆ และปั้มน้ำมันผมขับไปสุดทางก่อนจะต้องอึ้งเมื่อเห็นภาพข้างหน้าตน  ผมเปิดประตูรถเบาๆ เพื่อต้องการออกไปเห็นชัดๆ โดยไม่ปลุกแคล

     

                ผมยืนอยู่ขอบหน้าผาชันร่วมสิบเมตรข้างล่างเป็นเมืองร้างตั้งรกเรียงรายไปตึกเล็กตึกน้อยไร่เรี่ยกันยาวไปเรื่อยร่วมร้อยกว่าตึกได้เรียกได้ว่าเป็นเมืองใหญ่เลยทีเดียวผมเห็นควันไฟจากข้างล่างลอยคุ้งขึ้นมา ก่อนพบว่ามีคนอื่นนอกจากผมเกาะกลุ่มกันก่อกองไฟตั้งแคมป์อยู่ข้างล่างและไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียวด้วยรู้สึกว่าทุกคนก็มุ่งหน้าไปทางนี้กันทั้งนั้น 

     

                ผมมองเลยข้ามเมืองและผู้คนข้างล่างไปอีกเห็นเนินสูงอีกฝั่งมีบันไดสองข้างทางให้ขึ้นไป เดาว่านั่นคงจะเป็นนิวเคลโอแน่ๆเพราะผมเห็นป้อมปราการที่ติดตั้งปืนทันสมัย มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและถ้าให้เดาอีก หลุมนี่ที่ดูยาวออกซ้ายขวาไม่สิ้นสุด อาจจะเป็นเพราะนิวเคลโอก็ได้ที่คงขุดไว้รอบๆเพื่อเป็นการป้องกันโดยรอบชั้นนึง แต่ทำไมเมืองถึงเป็นเช่นนี้ล่ะ ผมสงสัย

    “งั้นเราก็มาถูกทางแล้วสิ” ผมพูดกับตัวเองสายตายังทอดไกลไปยังเมืองร้างข้างล่าง

    “ใช่ เจ้ามาถูกทางแล้ว”  ผมสะดุ้ง รีบหันตามต้นเสียง เห็นชายสูงอายุข้างหลังสะพายลูกซองไว้เขามองไปในรถจ้องไปที่ร่างหลับใหลของแคล

    “ข้ามาดี เจ้าไม่รู้รึไงว่าเมืองนี้เป็นสถานที่หน้าด่านก่อนจะไปยังนิวเคลโอน่ะ”ลุงอธิบาย

    “งั้นผมก็ต้องลงไปข้างล่างเพื่อที่จะไปนิวเคลโอน่ะสิ” ผมถามกลับ เดินเข้ามาใกล้ประตูฝั่งคนขับ

    “อื้อ แต่เดิมมันก็เป็นเมืองรอบนอกที่สร้างขึ้นมาใหม่แต่ไม่นานก็โดนพวกเคลโอเก่ามันระดมโจมตี สภาพเลยเป็นอย่างที่เห็น”  

    “พวกมันใช้ซอมบี้บุกหรอครับ” ผมถาม

    “มาเป็นร้อยๆ พันๆ เลยล่ะ ยังมีพวกตัวประหลาดกว่านั้นด้วยสุดท้ายก็ต้องถอยร่นกลับเข้าไป แต่ลือๆ กันว่ากำลังจะสร้างใหม่อยู่”

    “ว่าแต่เธอเดินทางกันสองคนรึ?” ลุงถาม

    “ใช่ครับ ผมไปเจอเธอเข้าระหว่างทางเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็เลยช่วยเธอไว้แบบว่า เธอมองไม่เห็นน่ะ เลยคิดว่าที่เมืองนั่นจะรักษาเธอได้” ผมบอกกับลุง

    “รักษาได้อยู่แล้ว ว่าแต่ค่ำนี้พวกเธอสองคนจะนอนไหนกันล่ะ ถ้ายังไม่มีล่ะก็โรงแรมข้างๆร้านเหล้านั่นไปพักได้นะ” ลุงว่าพลางชี้ไปยังโรงแรมซึ่งตั้งอยู่แถวๆแยกที่ผมเพิ่งเลี้ยวเข้ามา

    “พวกเราไม่มีอะไรจะให้หรอกนะครับ”

    “ยุคนี้เขาไม่ใช่เงินกันแล้วพ่อหนุ่มเอ้ย อย่างข้างในเมืองนั่น ต่างคนก็ต่างช่วยกันใครทำอะไรได้ก็ไปทำตำแหน่งนั้น ทุกคนช่วยกันสร้างเมืองขึ้นมาใหม่มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน มันเป็นแผ่นดินสุดท้ายของมนุษย์แล้วถ้าพ่อหนุ่มเข้าไปพวกเขาก็จะให้ที่อยู่ อาหาร แต่แลกด้วยการทำงาน ไม่ได้เยี่ยงทาสหรอกนะอย่าคิดมาก” ลุงอธิบาย

    “งั้นเดี๋ยวผมจะไปโรงแรมที่ลุงว่าละกันครับ ว่าแต่ลุงจะติดรถผมไปมั้ย”

    “ไม่ล่ะ ฉันมาดูแปลงผักที่ปลูกไว้ แต่ไงๆ ก็ต้องระวังไว้นา แถวนี้ก็ยังมีซอมบี้อยู่บ้าง”ลุงเตือนพลางเดินไปทางแปลงผักข้างหลังที่ผมขับผ่านมา  ผมเปิดประตูรถ เข้าไปนั่ง สตาร์ทเครื่องยนต์

    “แคลตื่นได้แล้ว พวกเราถึงแล้วล่ะ” ผมเขย่าตัวเธอเบาๆขณะพูด เธอส่งเสียงงัวเงีย

    “คืนนี้จะหลับลงมั้ยล่ะเนี่ย” ผมกลับรถเพื่อไปยังโรงแรมที่ลุงว่าขากลับผมเห็นผู้คนเดินไปมาหน้าตึกรามต่างๆ

    “เมืองนี้มีคนเยอะแยะเลยล่ะ” ผมบอกแคล

    “จริงหรอ งั้นเมืองนี้ก็ปลอดภัยน่ะสิ” เธอว่า

    “หวังอย่างนั้นเหมือนกัน”  ผมจอดรถไว้ข้างถนนเนื่องด้วยมันไม่มีที่จอด ผมเอื้อมไปหยิบเป้อาหารและเป้อาวุธ

    “รับนะ” ผมวางเป้อาหารไว้บนตักเธอสะพายเป้อาวุธเปิดประตูรถอ้อมไปรับเธอ ผู้คนต่างๆ พากันจับจ้องมาที่เราทั้งคู่ไม่รู้เป็นเพราะผมขับรถเข้ามารึเปล่า เพราะในเมืองไม่มีรถเลยซักคันผมโอบไหล่เธอพาเธอก้าวเข้าประตูโรงแรมมาหยุดยืนที่หน้าเคาน์เตอร์

    “มาใหม่รึ”  ผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก็อตกับกางเกงยีนส์ถาม

    “ครับ”  สายตาเธอจับจ้องไปที่แคลทำท่าจะถามอะไรเธอ ผมทำไม้ทำมือบอกเธอเป็นนัยๆ ว่าแคลมองไม่เห็น เธอพยักหน้าเข้าใจและไม่พูดต่อ

    “ชั้น 3 นะ ช่วงนี้คนน้อย สงสัยตายกันหมดไม่ก็ข่าวสารไม่ถึง” เธอพูดน้ำเสียงสดใส เธอคงทำงานอยู่ที่นี่มานานแล้วแน่ๆ ผมรับกุญแจและบัตรหมายเลขห้อง103 

     

                บันไดอยู่หลังเคาน์เตอร์ผมค่อยๆ เดินขึ้นเพราะมีแคลตามหลังอยู่ จนมาถึงชั้นสาม ทุกชั้นที่ผ่านมาเงียบสงัดจะได้ยินเสียงคนคุยกันเป็นพักๆ ผมไขกุญแจเข้าไปเอื้อมมือเปิดสวิตซ์ไฟข้างๆ

     

    “เอาล่ะได้นอนสักที” ผมพูด พาเธอนั่งขอบเตียงข้างๆ ถอดเป้ให้เธอก่อนวางไว้ในตู้เสื้อผ้ารวมทั้งเป้อาวุธด้วย

    “แต่ฉันยังไม่ง่วงนี่ แถมหิวด้วย” เธอบอก ยังคงจับมือผมอยู่

    “งั้นลงไปหาอะไรกินร้านข้างๆ มั้ยล่ะ จะได้กินอะไรสดๆ ใหม่ๆ บ้าง” ผมชวนเธอ

    “แต่ว่า...”  ผมคิดว่าเธอไม่อยากลงไปเพราะกลัวผู้คนจะจับเข่าคุยกันว่าเธอนั้นตาบอด

    “ผมจะอยู่ข้างๆ ตลอด ไม่ต้องกลัวอะไรหรอก” ผมบอกเธอดูเหมือนเธอจะทำใจได้เล็กน้อย

    “งั้นก็ลงไปกินข้าวกันเถอะ” เธอพูดน้ำเสียงร่าเริงขึ้น

    “ต้องยังงี้สิ  เติมพลังให้พร้อมพรุ่งนี้เราก็จะถึงนิวเคลโอกันแล้ว”  ผมพาเธอล้างหน้าล้างตาก่อนจะลงไปข้างล่างกัน เพื่อจะไปร้านอาหารข้างๆซึ่งอันที่จริงมันก็ร้านเหล้าเก่าน่ะแหละ

     

    ……….

     

     

    “แย่แล้วว่ะไอริก” เจ้าคนสุขุมพูดขึ้นละสายตาจากกล้องส่องทางไกลอินฟาเรด

    “เกิดอะไรขึ้น?” ริกถาม ทั้งคู่อยู่บนยอดตึกที่ไหนสักแห่งกำลังซุ่มดูกำลังพลข้าศึกหรือก็คือซอมบี้และไอตัวประหลาดมากมายข้างล่าง มันรวมกลุ่มกันบนสนามบาสทั้งสองสนามไม่ต่ำกว่าร้อยตัวแน่ๆมันมีคนคุมอยู่ด้วยก็คือชายชุดสูทอีกสามสี่คนที่ยืนอยู่บนแท่นเชียร์

    “ตอนนี้ไอหนุ่มนั่นอยู่ไหน”

    “หนุ่มไหนมึงวะ”

    “ไอ้คนที่มากับผู้หญิงตาบอดคนนั้นไง”

    “เดี๋ยวนะๆ” ริกหยิบกระจกใสขึ้นมาขนาดเท่าหนังสือก่อนกดอะไรสักอย่างพลันเกิดแสงไฟขึ้นเป็นภาพโฮโลแกรมยื่นขึ้นมาเหนือผิวกระจกแสดงข้อมูลต่างๆ

    “อยู่เมืองหน้าด่านทางทิศใต้ของนิวเคลโอ” ริกบอก

    “งานเข้าแล้วไง”

    “ทำไมวะ”

    “ไอพวกชุดสูทข้างล่างมันคุยกันเรื่องจะไปสมทบกำลังพลทางทิศใต้เพื่อจับไอ้หนุ่มนั่นไง”

    “อะไรนะ มึงฟังผิดเปล่าไออ๋อง เครื่องมือเสียมั้ง” ริกไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน

    “ผิดบ้าอะไร รีบแจ้งข่าวเดี๋ยวนี้ ส่งกำลังพลไปช่วย เก็บของได้แล้วพวกเราต้องไปช่วยด้วยไม่งั้นด่านทิศใต้เละแน่”

    “แต่มันคงไม่ได้กะจะบุกเข้าเมืองหรอกมั้ง”  ริกว่า

    “ใครจะไปรู้ มันมีคนไปก่อนหน้านั้นแล้วกลุ่มนึง นี่เป็นกำลังเสริมแล้วกำลังเสริมมันตั้งร้อยกว่าตัวเนี่ยนะ สงครามย่อมๆ เลยล่ะงานนี้” อ๋องพูดก่อนรีบเก็บข้าวของใส่เป้สนามของตน

    “เฮ้อ ! ไอหนุ่มนั่นมันดีเด่นอะไรนักว้ามันถึงทุ่มทุนจับซะขนาดนี้” ริกเก็บข้าวของของตนอย่างรวดเร็วก่อนวิ่งลงบันไดตามเพื่อนไป

     

    ……….

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in