เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Alive : ฆ่า(ข้า) ต้อง รอด !NO.W
ตอนที่ 4 : ตัวตนที่แท้จริง
  • ..........

     

    ตอนที่ 4 : ตัวตนที่แท้จริง

     

    ผมเปิดฉาก ขว้างมีดไปทางเจ้าสองคนนั่นแต่พวกมันก็หลบได้อย่างสบายๆ มีดทหารปักแน่นอยู่บนวอลเปเปอร์กำแพงข้างหลังพวกมัน

    “แย่จังดันหลบได้” เจ้าสกินเฮดยิ้ม

    “จริงหรอ” เจ้าชุดสูทสองคนตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อคู่ต่อสู้มาพูดอยู่ข้างหลังตน

     

                ผมถีบเจ้าหมวกคาวบอยกระเด็นไปชนบันไดดึงมีดออกจากกำแพงฟันกวาดกลางอากาศ เจ้าสกินเฮดหลบได้ทันก่อนใช้เตะเสยขึ้นมาผมถอยหลบ ยกขาซ้ายขึ้นเตะ มันยกแขนขึ้นกันข้างลำตัวทัน แรงเตะส่งร่างมันลอยกระแทกประตูไม้ของตัวอาคารจนแตกหักกระเด็นไปกลิ้งอยู่บนพื้นถนนข้างนอกผมหันมามองเจ้าคนแรกที่ผมถีบ แต่มันหายไปแล้ว

     

    “หาใครอยู่เหรอ?” เสียงเจ้าคาวบอยดังขึ้นข้างๆมันยืนอยู่ในเคาน์เตอร์และถีบเคาน์เตอร์ใส่ผมเต็มๆ ผมโดนกระแทกออกนอกร้านไปตามๆกัน แต่ตัวเคาน์เตอร์ยาวเกินกว่าจะผ่านประตูมาได้ เจ้าหมวกคาวบอยยืนหลังเคาน์เตอร์ยกขาขึ้นกลางอากาศฟาดลงตรงกลางพอดิบพอดีจนเคาน์เตอร์พลันหักเป็นสองเสี่ยงมันเดินออกมายืนอยู่ข้างเพื่อนของมันกลางถนน

    “รู้มั้ยทำไมพวกเราถึงต้องมา” เจ้าสกินเฮดถาม

    “……...”  ผมเงียบ

    “ก็เพราะว่าเราอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์ไม่ได้ เรามันเหนือขั้นกว่านั้นพวกมันต่างหากที่จะต้องสยบแทบเท้าพวกเรา” มันพูดเหมือนกับว่าตนไม่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนงั้นแหละ

    “คงไม่มีวันนั้นหรอก” ผมตอบ ใช้มีดยาวสะบั้นหัวซอมบี้ที่วิ่งมาหาสายตายังคงจับจ้องพวกมันทั้งสอง

    “ก็เพราะมีแกกับไอ้พวกองค์กรลับบ้าบออะไรนั่น แผนพวกเราถึงไม่สำเร็จสักที”เจ้าหมวกคาวบอยโต้กลับอย่างฉุน

    “แล้วทำไมพวกแกไม่เข้ามาจับฉันไปซะละ เห็นพูดอยู่นั่น หรือว่าทำไม่ได้”

    “ปากดีนักนะ !” เจ้าสกินเฮดวิ่งตรงมาหาไม่สนใจซอมบี้รอบตัว  มันต่อย  ผมเอี้ยวหลบสวนด้วยหมัดตรง  มันหลบได้  ผมเตะขวาสูงเข้าลำตัวมันจับได้ทันก่อนหมุนตัวเหวี่ยงผมลอยกลับไปอยู่กลางสี่แยก

     

                ผมลุกขึ้น ได้ยินเสียงแหวกอากาศจากด้านหลังรีบก้มหลบทันพอดีดาบเล่มยาวเหมือนซามูไรของเจ้าคาวบอย ไม่รู้มันไปเอามาตอนไหน ผมก้มหัวมือยันพื้นเด้งตัวไปข้างหลังใช้ขาถีบมันกระเด็นไปหลายเมตรชนเข้ากับรถเชฟโรเล็ตที่ผมขับมาตอนแรกจนบุบยุบเข้าไปในตัวรถ

     

                ผมสะบัดเอ็มพี7ที่ห้อยอยู่ข้างหลังมาถือในมือกราดกระสุนใส่ร่างของมันที่ไม่ทันจะยืน มันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เลือดสดๆ กระเซ็นทุกครั้งที่กระสุนกระทบเข้ากับตัวรถนั่นค่อยๆ เปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีแดงช้าๆ ด้วยเลือดของมันทำเอารถด้านนั้นชุ่มไปด้วยเลือด มันทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น จมกองเลือดตัวเอง

    “แก !” ผมไม่ทันได้ระวังตัว เจ้าสกินเฮดใช้ดาบที่เหมือนกับเจ้าคาวบอยมันหันไล่ตั้งแต่ไหล่ขวาผ่านแผลโดนยิงลงมาจนเกือบถึงกลางหลัง

    “อ้ากก !” ผมร้องด้วยความเจ็บปวดไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเลือดที่หยดแหมะๆ ลงพื้นเป็นเลือดใคร ถึงแม้จะหลบได้ทัน แต่แค่ตื้นๆก็เจ็บใช่ย่อย

     

                ผมทรุดลงกับพื้นรู้สึกได้ว่ามันกำลังจะแทงซ้ำลงมาอีก จึงรีบกลิ้งตัวหลบซึ่งมันแทงลงมาจริงๆ ปลายดาบปักลงไปในพื้นถนนหลายสิบเซ็นผมขยับตัวเตะดาบมันกระเด็นไปกับพื้นถนนก่อนที่มันจะทันดึงขึ้น

     

                ผมลุกขึ้น  พุ่งเข้าใส่  ล้มทั้งคู่  ผมปล่อยหมัดซ้ายขวาใส่เข้าหน้ามันเมื่อผมค่อมมันอยู่แต่หมัดที่สามมันดันรับได้  ผมต้านแรงกับมัน  ก่อนใช้โอกาสที่มันจดจ่ออยู่กับการหยุดหมัดซ้ายของผมอยู่จัดการทุ่มกำปั้นลงกระแทกหน้าอกมันอย่างแรง

     

                อั่ก ! เสียงเจ้าสกินเฮดกระอักเลือดหลังจากโดนผมทุบเข้ากลางหน้าอกมันคลายมือที่กำหมัดผมอยู่

     

    “ยังคิดจะลากตัวกลับไปอีกมั้ย ใช่ว่าฉันอยากฆ่าพวกแกหรอกนะ” ผมตะคอกถาม เจ้าสกินเฮดหายใจกระหืดกระหอบอย่างยากลำบาก สงสัยผมจะออกแรงมากไปหน่อยทำเอาซี่โครงหักแล้วคงไปทิ่มทะลุปอดมันเข้า

     

    ปัง ! เสียงกระสุนดังลั่นไปทั้งเมือง ร่างผมกระตุกเกร็งไปทั้งร่างรู้สึกได้ว่ากระสุนวิ่งผ่านช่วงท้องทะลุตัวผมไปเจาะเข้ากลางหน้าผากเจ้าสกินเฮดหัวทองที่ผมค่อมอยู่ดับสนิท ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ‘กระสุนอาบยาพิษ’เป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดได้เมื่อร่างกายเริ่มอ่อนล้าเหมือนกับว่าแรงทั้งหมดกำลังโดนดูดออกไปจากร่าง ผมรู้สึกว่าตัวเริ่มหนักขึ้น

     

                ผมทิ้งตัวลงนอนข้างๆเจ้าสกินเฮด สายตามองหาเจ้ามือปืนที่ยิง พวกซอมบี้รุมทึ้งร่างเจ้าหมวกคาวบอยอย่างเมามันส์พวกมันเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เสียงปืนลากพวกมันมาที่นี่ผมนอนอยู่กลางสี่แยกรายล้อมไปด้วยซอมบี้ที่หิวโหยจากทุกทิศทางถึงแม้ว่าตนจะพิเศษแต่ก็ใช่ว่าจะรอดจากซอมบี้ไปได้ง่ายๆในสภาพเช่นนี้ ผมรู้สึกว่าตนกำลังสลบลงช้าๆ แต่เสียงกรี๊ดที่คุ้นหูก็ดังขึ้น

     

    “แคล” ผมพูดเมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นเธอกำลังโดนชายในชุดสูทสองคนลากไปยังรถหุ้มเกราะถัดไปจากตัวอาคารไม่กี่เมตร ทำไมผมไม่เห็นมันตอนแรก ผมคิดในใจ

    “เจค ! นายอยู่ไหน ห้ามตายเด็ดขาดนะ !” เธอตะโกนลั่นขณะกำลังขัดขืนพวกมัน

    “ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ยัยบ้าเอ๊ย”  ผมยันตัวลุกขึ้นจากพื้น

    “นายก็ควรห่วงตัวเองเหมือนกันนะ” เสียงผู้ชายดังขึ้นข้างๆผมรีบหันทันทีเมื่อได้ยินเสียงแต่ก็โดนไม้กระบองคล้ายกับพวก รปภ. ฟาดเข้าที่ช่วงท้องเต็มๆ

    “อ้ากกก !” กระแสไฟฟ้าไหลซ่านไปทั่วร่าง มันร้อนเหมือนกับว่าร่างกายกำลังไหม้

    “นี่แค่ปล่อยไฟฟ้าไปตอนฟาดนะ ถ้าปล่อยแช่ไว้จะขนาดไหนอยากรู้จริงๆ” มันพูดพลางกวัดแกว่งไม้กระบองไฟฟ้าของมันอย่างภูมิใจ

    “ก็จะเป็นหยั่งงี้ไงเล่า !” ผมเตะข้อพับเข่ามันทรุดลง รีบลุกขึ้น หักข้อมือมันปล่อยกระบองหล่นตกพื้น ผมดึงตัวมันเข้ามา ถีบเข้าที่ท้อง มือยังจับมันไว้อยู่เสียงครึ่ก! ของกระดูกหัวไหล่ที่หลุดออดจากแขนข้างที่ผมจับมันไว้มันร้องด้วยความเจ็บปวด ผมถีบอีกทีคราวนี้ปล่อยมือ ร่างมันลอยไปหลายเมตร

     

    ผมหยิบกระบองไฟฟ้ามันขึ้นมา เปิดความแรงสูงสุดมองไปยังร่างที่ร้องคร่ำครวญอยู่กับพื้น ก่อนจะโยนใส่ตัวมัน เสียงร้องโหยหวยที่หนักกว่าเก่าดังลั่นไปทั้งแยก ร่างมันกระตุกไปมาเหมือนกับปลาที่โดนโยนขึ้นมาบนบกและตะเกียกตะกายหาอากาศหายใจ

     

    “ถ้ายังไม่หยุดล่ะก็ นังผู้หญิงที่อยู่ในรถนั่นตายแน่” ชายชุดสูทอีกคนเดินมาจากทางห้องพักพร้อมกับพวกอีกสามคนขนาบข้างพวกมันเดินผ่านเหล่าซอมบี้ราวกับเป็นพวกเดียวกันอันที่จริงพวกมันทุกคนไม่เคยระแวงซอมบี้กันแต่แรกอยู่แล้ว นอกจากจะตายซะก่อน

    “พวกแกพลาดแล้วล่ะที่คิดหยั่งงั้น”  ผมพูดจบก็ทะยานเข้าไปหาไอคนที่พูด ดูท่าจะเป็นหัวหน้าผมพุ่งเข้าไปอย่างเร็ว พร้อมกับปลายมีดยาวที่แทงทแยงจากกลางท้องไปโผล่กลางหลัง

     

                ผมชักมีดออกมาร่างมันยังไม่ทันจะร่วงลงพื้น ชายชุดสูทข้างๆ มันก็โดนสะบั้นหัวขาดเรียบร้อยลูกน้องอีกสองคนรัวกระสุนใส่อย่างไม่คิดชีวิต แต่ร่างของผมก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

    “ยิงอะไรกัน?” ผมถามจากข้างหลังคนที่มันรัวปืนตะกี้ เพื่อนอีกคนร้องลั่นก่อนหันหลังวิ่งหนีไปทางรถที่แคลอยู่ข้างในร่างข้างหน้าของผมสั่นงกๆ ด้วยความกลัว

    “ไปโทษหัวหน้าพวกแกละกันที่คิดโครงการนี้ขึ้นมา”   ผมจับหัวมันจากข้างหลัง ทุ่มลงกระแทกกับพื้น เสียงกะโหลกแตกดังขึ้นพร้อมกับของเหลวสีแดงข้นทะลักพร้อมกับสมองที่ไหลกองนองไปทั่วพื้นราวกับแตงโมหล่นแตกก็ไม่ปาน

     

                ผมออกแรงที่เหลือน้อยเต็มทีไปยังตัวรถที่มันจับแคลไว้เจ้าคนที่หนีขึ้นนั่งเบาะคนขับ มันเคลื่อนรถหมายจะออกจากเมือง ผมรีบทะยานไปดักข้างหน้ารถมันไม่คิดเบรกซึ่งนั่นผมรู้อยู่แล้ว อีกไม่กี่หลารถก็ถึงตัวผม ผมวิ่งเข้าหารถยกสองมือขึ้นกลางอากาศและทุ่มลงกระโปรงรถ ทำเอาท้ายรถเงยขึ้นสี่สิบห้าองศาก่อนหล่นกระแทกพื้นถนนตามเดิมควันสีขาวลอยฟุ้งจากกระโปรงรถที่บุบยุบลงไป

     

                ผมหยิบมีดสั้นทหารปาทะลุกระจกกันกระสุนเสียบปักคาคอเจ้าคนขับติดกับเบาะรถเลือดไหลคลั่กออกมาไม่หยุดไอสองคนข้างหลังตกใจรีบออกจากรถอีกฝั่งหนึ่ง มันมีปืนสั้นคนละกระบอกในมือ

    “อยากรอดก็รีบไปซะ ไม่งั้นก็จงตายอยู่ที่นี่” ผมบอกพวกมันก่อนเดินไปเบาะหลังเปิดประตูออก

    “ไม่เป็นไรนะ” ผมชะโงกหน้าถามเธอ

    “เจค ! นายจริงๆ ด้วย ฉันนึกว่านายตายไปแล้วซะอีก”เธอร้องไห้อีกแล้ว

    “จะตายได้ไงเล่า ออกมาเร็ว” เธอค่อยๆ ตะเกียกตะกายออกมาช้าๆผมรอรับเธอ พลางมองไปที่เจ้าสองคนนั่นที่ปรึกษากันอยู่หรือไม่ก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก

     

                ผมจับมือที่สั่นเทาของเธอค่อยๆ ประคองเธอออกมาจากรถ เธอยืนกุมมือผมแน่น แกร๊ก ! เสียงปืนที่ปราศจากลูกกระสุนดังขึ้นมันจ่อปืนหมายจะยิงผมแต่ก็พลาดซะแล้ว

     

    “เลือกเองนะ” ผมปล่อยมือเธอก่อนถีบรถหุ้มเกราะกระแทกร่างมันสองคนอย่างแรงกระเด็นไปชนกับอาคารอีกฝั่งของผมตายสนิท

    “พวกมันทำอะไรเธอรึเปล่า” ผมถาม โอบไหล่เธอ เริ่มทรงตัวไม่อยู่

    “เปล่า” เธอตอบ

    “แล้วเสื้อฮู้ดเธอไปไหน” ผมถามเมื่อเห็นเธอใส่แต่เสื้อยืดคอวีสีเทากับกางเกงยีนส์เดฟของเธอ

    “ฉันถอดตั้งแต่อยู่ในตู้แล้ว รอนายตั้งนาน ร้อนจะตายฉันก็เลยถอดแล้วพวกมันก็ลากฉันออกมาเนี่ยแหละ” เธอว่า

    “ไม่มีอะไรก็รีบเข้าข้างในเถอะ ของเรายังอยู่ในห้องใช่มั้ย” ผมถาม

    “ใช่ นายยังไหวนะ เหมือนนายทิ้งน้ำหนักลงมาที่ฉันนะเนี่ย”

    “ยังพอไหว รีบเข้าข้างในเถอะ ซอมบี้เยอะแยะเลย” ผมเอ่ยก่อนจะเดินประคองเธอหรือไม่ก็เธอเนี่ยแหละที่ประคองผมเราสองคนเข้าไปข้างในผ่านเคาน์เตอร์ไม้ที่แยกเป็นสองท่อน

     

                ก้าวย่างของผมลำบากขึ้นเรื่อยๆความอ่อนล้าและหมดแรงเข้าถ้าโถม ความเจ็บยังคงแผ่ไปทั้งร่างผมยังไม่ได้ห้ามเลือดเลยด้วยซ้ำ พวกเราเดินอย่างยากลำบากกว่าจะขึ้นบันไดมาได้ ก่อนจะเดินต่อยาวไปถึงท้ายสุดเพื่อเข้าห้อง

    “เจค เธอไม่เป็นอะไรนะ ดูเธอกำลังจะล้มอยู่แล้ว”  น้ำเสียงเธอดูกังวล

    “เพลียๆ นิดหน่อย” ผมปิดประตูไล่หลัง เอาโต๊ะข้างเตียงมากั้นประตูไว้วางมีดด้ามยาวและมีดทหารไว้หัวเตียง ถอดเอ็มพี7 ออกวางไว้ที่พื้นห้องทิ้งตัวลงบนเตียง ไม่มีแรงจะเคลื่อนไหวแล้ว ร่างกายหนักอึ้งแม้แต่ยกแขนยังยากสำหรับผม

    “สงสัยคืนนี้เราต้องนอนที่นี่แล้วล่ะแคล” ผมบอกเธอ

    “ได้สิได้ เราจะนอนกันที่นี่นะ นายต้องไม่เป็นไรนะ” แคลสะอึกสะอื้นอีกครั้งเธอวางมือไว้บนหน้าอกผม

    “นายต้องการอะไรมั้ย” เธอถาม

    “ในเป้  มีน้ำอยู่  ผมอยากได้น้ำมากเลยตอนนี้ เธอไปเอาได้ใช่มั้ย”ผมถาม

    “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้” เธอรับคำก่อนลุกขึ้นคลำเตียงไปเรื่อยๆ จนไปถึงตู้ได้สำเร็จ คงเป็นเพราะห้องมันเล็กมันเลยง่ายต่อการเดาเธอขึ้นมาบนเตียงอีกครั้งพร้อมขวดน้ำ

    “ขอบคุณมากนะ เธอคงไม่ว่าใช่มั้ยถ้าต้องนอนกับคนที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดแบบนี้”ผมถาม

    “ไม่เป็นไรหรอก เธอรีบพักผ่อนเถอะ ฉันจะนอนข้างๆ เธอเนี่ยแหละถ้าฉันช่วยอะไรได้ก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

    “ได้เลย ราตรีสวัสดิ์แคล” ผมบอกเธอก่อนเปลือกตาอันหนักอึ้งค่อยๆปิดลง

    “ราตรีสวัสดิ์เจค” เธอกล่าว

     

    ……….

     

    ตกเย็นดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสีส้มสาดส่องไปทั่วพื้นถนนสาดแสงไปทั่วอาคาร เป็นแสงสุดท้ายของวันที่ตกกระทบซากอารยธรรมนี่ปรากฏรถกระบะคันหนึ่งขับเอื่อยๆ มาหยุดอยู่ตรงสี่แยก ชายหนุ่มสองคนก้าวลงจากรถ

     

    “แม่เจ้า ! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นล่ะเนี่ย” ชายคนแรกเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจกับภาพข้างหน้าชายชุดสูทล้มตายเกือบสิบคนแต่ละคนสภาพดูย่ำแย่ทั้งนั้นถ้าไม่นับว่าโดนซอมบี้รุมทึ้งกันไปซะเละกว่าเดิมล่ะก็

    “นั้นมันคนของเคลโอเก่านี่ มาทำอะไรกันเยอะแยะแถวนี้หว่า” อีกคนที่รูปร่างและความสูงพอๆ กันพูดขึ้น

    “สภาพเจ้าพวกนี้ยังตายได้ไม่นาน คงเพิ่งเกิดเรื่องวันนี้ ดูนั่น รอยเลือด”ชายหนุ่มชี้ให้เพื่อนดู

    “มีคนบาดเจ็บและมีอีกคนลากเข้าไปข้างในโรงแรมเล็กๆ นั่นบางทีเราอาจจะต้องเข้าไปดูข้างใน” เขากล่าวเป็นฉากๆ

    “เพื่อนกูนี่มันโคตรนักสืบจริงๆ” อีกคนว่า

    “ขึ้นรถเร็วไอริก เราต้องหาที่พักแถวนี้พรุ่งนี้เราจะมาซุ่มดูกันว่าจะมีใครออกมา”  อีกคนกล่าว

    “จ้าๆ”  ริกขานเดินตามไปขึ้นรถที่พวกตนขับมา

     

    ……….


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in