เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Alive : ฆ่า(ข้า) ต้อง รอด !NO.W
ตอนที่ 3 : ความจริงที่ถูกเปิดเผย
  • ..........

     

    ตอนที่ 3 : ความจริงที่ถูกเปิดเผย

     

                พวกเราสองคนเดินขึ้นมายังชั้นบนของสถานีผมค่อยๆ พาเธอผ่านข้าวของที่เธอเกือบชนหลายครั้งหลายคราจนพวกเรามาถึงหน้าประตูทางออกในสถานียังคงไม่มีการบุกรุก สภาพยังคงเหมือนเดิมเหมือนตอนแรกที่ผมเข้ามา

     

    แสงแดงจากภายนอกสาดส่องเข้ามาผ่านกระจกทางเข้าตัวสถานีแสงอาทิตย์ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมชอบมากที่สุดเพราะไม่ต้องกลัวและระแวงอะไรที่ตัวเองมองไม่เห็นแต่เมื่อเดินเข้าไปหน้าประตูผมกับต้องผงะตกใจเมื่อจักรยานซอมซ่อที่ผมปั่นมามันหายไปซะแล้วผมจอดไว้หน้าประตูเลยด้วยซ้ำ

    “มีอะไรรึเปล่า” เธอถามเมื่ออยู่ๆ ผมก็หยุดยืนอยู่กับที่

    “จักรยานหายน่ะสิ จอดไว้หน้าประตูแล้วแท้ๆ เชียว” ผมบอกสายตากวาดไปข้างนอกสถานีเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติรึเปล่า

    “งั้นเราคงต้องเดินกันไปสินะ”

    “คงเป็นงั้น แต่ถ้าโชคดีเราอาจเจอรถที่ยังพอใช้ได้อยู่” ผมตอบ เดินจูงมือเธอไปหน้าประตู ผมผลักบานประตูจกที่เต็มไปด้วยฝุ่นและคราบเลือดแห้งๆติดอยู่ พวกเรายืนอยู่ชานพักหน้าสถานี ผมมองไปยังที่จอดรถด้านหน้า บางทีรถเหล่านั้นอาจยังพอใช้ได้บ้าง

    “เราจะไปหารถกัน” ผมเอ่ยขึ้น เธอจับมือแน่นเดินชิดติดผมไปตลอดทางเมืองทั้งเมืองเงียบสงัดแม้แต้เสียงนกร้องผมยังไม่ได้ยิน กระทั่งเสียงร้องแว่วของพวกซอมบี้ที่มักจะลอยมาตามลมก็ยังไม่มีทุกอย่างเงียบสนิทเหมือนกับว่าที่นี่ร้างทุกสิ่งซึ่งนั่นทำผมรู้สึกตงิดขึ้นมาหน่อยๆ

     

                พวกเราเดินมาหยุดยืนหน้ารถเชฟโรเล็ตครูซสีขาวซึ่งตอนนี้หนาไปด้วยฝุ่นมันเป็นรถคันเดียวที่สภาพดีที่สุด เมื่อข้างๆ มีแต่รถที่โดนทุบกระจกบ้าง มีศพอยู่บ้างผมเปิดประตูฝั่งคนนั่งข้างคนขับ ค่อยๆ พาเธอนั่งช้าก่อนปิดประตูและรีบวิ่งมายังฝั่งคนขับยังดีที่ลูกกุญแจถูกเสียบคาไว้และยังมีน้ำมันตั้งครึ่งถังน่าจะไปได้ไกลพอสมควรเลยทีเดียว

    “คันนี้ใช้ได้มั้ย” เธอถามเมื่อผมขึ้นนั่งและปิดประตู

    “น้ำมันยังเหลือตั้งครึ่ง คงต้องลองสตาร์ทดูก่อน” ผมบิดลูกกุญแจที่คาไว้ไฟหน้าปัดเปิดขึ้นทันที

    “ติดด้วยแฮะ โชคดีจริงๆ” ผมพูดเมื่อเห็นแผงหน้าปัดทำงานเสียงระบบอะไรสักอย่างดังครึ่กๆ น่าจะเป็นระบบแอร์มั้ง ผมเดา และลมร้อนแห้งๆก็พยายามจะออกมาจากช่องแอร์ให้ได้ แต่ก็เต็มไปด้วยฝุ่นที่ฟุ้งออกมา

     

    แคลสำลักฝุ่งที่พ่นออก “บางทีเธอน่าจะปิดแอร์ซะนะก่อนที่เราจะสำลักฝุ่นตายซะก่อน” เธอไอแค่กๆ พลางเอามือปัดไปมาข้างหน้าตัวเธอเพื่อไล่อากาศ  “นั่นสินะ” ผมทำตามที่เธอบอกก่อนเลื่อนกระจกฝั่งเธอลงเพื่อถ่ายอากาศออกไปจากรถรวมทั้งฝั่งผมด้วย

    “ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย” ผมพูดราวกับว่ากำลังจะได้ไปเที่ยวก่อนเคลื่อนรถออกไปจากสถานีตำรวจ

               

     

    ผมขับรถพาเราทั้งคู่ผ่านย่านการค้าเล็กๆ ในตัวเมืองอีกไม่กี่ร้อยเมตรข้างหน้าก็จะถึงทางออกนอกเมืองแล้ว

    “นี่กี่โมงแล้วอ่ะเจค” เธอถาม

    “อืมมม 10 โมงแล้วล่ะ ทำไมล่ะ หิวแล้วเรอะ” ผมถามขณะเลี้ยวหลบซากมอเตอร์ไซค์ที่ถูกทิ้งไว้กลางถนน

    “ยังหรอก อยากรู้เฉยๆ น่ะ บางทีเราอาจจะถึงเย็นนี้ก็ได้นะ” เธอว่า

    “อาจจะเป็นไปได้นะ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะก่......” 

     

    เพล้ง  !

     

                อยู่ๆ กระจกหลังก็แตก เสียงกรี๊ดของแคลตามมาติดๆผมเบรกรถจนเสียงเบรกดังเอี๊ยดลากเป็นรอยล้อไปหลายเมตรบนท้องถนนเกิดควันสีขาวฟุ้งเล็กน้อยจากการเสียดสีของล้อและพื้นถนน

    “หมอบไว้ !” ผมบอกเธอที่ทำอะไรไม่ถูกก่อนเปิดประตูรถวิ่งย่อตัวอ้อมตัวรถด้านหน้าไปเปิดประตูให้เธอ ผมจับมือเธอไว้แน่น “ใจเย็นๆไม่ต้องรีบ” ผมบอกเธอเมื่อเธอดูกลัวมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามด้วยเสียงที่สั่นเครือเต็มไปด้วยความหวาดกลัวในสิ่งที่ตนมองไม่เห็น

    “คงเป็นพวกโจรดักปล้นแถวนี้แหละ ย่อตัวหลังติดรถไว้ อย่าไปไหนเด็ดขาดเข้าใจมั้ย” ผมสั่งเสียงเครียด เมื่อเห็นพวกซอมบี้เริ่มทยอยมาทางพวกเรา

    “อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวสิ” เธอทำท่าจะร้องไห้

     “แล้วใครบอกว่าจะทิ้งเธอล่ะ” ผมลุกขึ้นเปิด ประตูเบาะนั่งหลัง คว้าเอากระเป๋าใส่อาวุธออกมาวางข้างเธอผมหยิบเอ็มพี7 ที่นำมาด้วยออกมาสะพายเข้ากับตัวก่อนยัดแม็กสำรองไว้ข้างหลังแม็กนึงเผื่อไว้

    “อุดหูไว้ก็ดีนะ” ผมบอก ก่อนลั่นกระสุนใส่ซอมบี้ที่แห่กันมาเรื่อยๆไม่หยุด เลือดกระเซ็นสาดนองทั่วพื้นเมื่อร่างอันน่ารังเกียจของพวกมันกระทบกับลูกกระสุนจนล้มลงจมกองเลือดตัวเอง

     

    เกร้ง ! เสียงกระสุนที่ไม่ใช่ของผมยิงเฉียดโดนรถเข้าเต็มๆ‘น่าเบื่อจริงๆ เจ้าพวกนี้ ตามมาไม่รู้จักหยุดจักหย่อน’ ผมคิด เปลี่ยนแม็กกาซีน หันตัวยิงไปในร้านขายซีดี กระจกแตกละเอียดพลันเห็นร่างข้างในวิ่งหลบกระสุน

     “เจค !” แคลตะโกนเรียกเธอนั่งสั่นงกๆ อยู่ติดกับประตูรถฝั่งคนขับถัดไปไม่กี่เมตรมีซอมบี้วิ่งรี่เข้ามาหาเธอผมหันไปจัดการมันก่อนหยิบเป้สะพายหลังของผมวางไว้ที่เท้าเธอ

    “ช่วยสะพายหน่อย เป้อาหารน่ะ” ผมบอกก่อนสะพายเป้อาวุธอย่างรวดเร็ว

    “ต้องลุกแล้ว อยู่กลางถนนแบบนี้เราไม่รอดแน่” ผมพยุงตัวเธอขึ้นรู้สึกได้ถึงอารมณ์กลัวของเธอทันทีที่เธอกอดรอบเอวผมไว้แน่นพลางซุกหน้าแนบตัวผม

    “เฮ้ ! อย่าทำงี้เซ่ แล้วผมจะเดินยังไงเล่า” ผมบอกเธอที่ยังไม่ยอมปล่อย ซอมบี้ก็ทยอยมากันมากขึ้นเรื่อยๆก็เล่นยิงซะกลางถนนเลยนี่นะ

    “ฮืออ ก็ฉันกลัวนี่ อะไรๆ ฉันก็มองไม่เห็น จะให้ฉันทำไงเล่า !” เธอตะโกนใส่ ผมรู้สึกว่าเธอจะร้องไห้แล้วด้วย 

     

                ผมหันไปยิงซอมบี้ที่กำลังจะถึงตัวก่อนจะลากตัวเองและแคลที่ยังติดหนึบไม่ปล่อย ผมไม่สามารถเร่งฝีเท้าได้มากกว่านี้ถ้าเธอยังเกาะผมอยู่อย่างนี้ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือออกจากวงล้อมของซอมบี้ให้เร็วที่สุด

     

                ผมเดินอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยมีเธอเกาะติดตลอดเราสองคนโดนซุ่มยิงกลางสี่แยกพอดิบพอดีตัวรถถึงจะยังไม่เสียหายแต่ตอนนี้คงเผ่นออกไปไม่ได้แล้วข้างหน้าผมมีอาคารอยู่หลังหนึ่งอยู่ตรงหัวมุมมันเป็นตึกเก่า ผมสังเกตเห็นป้ายที่เสียหายมันหล่นลงอยู่หน้าทางเข้าเขียนไว้ว่าห้องพักให้เช่า

     

    แฮ่ ! ซอมบี้โผล่ออกมาจากตรอกข้างๆ แคลร้องตกใจอันที่จริงเธอก็ส่งเสียงร้องแทบจะตลอดเวลาอยู่แล้วผมเงื้อมีดถางป่าด้ามยาวฟันตัดขวาง ฉับ ! คอมันกระเด็นพร้อมๆกับที่เลือดทะลักออกมาจากตำแหน่งที่ควรจะมีหัว เสียงปืนดังขึ้นก่อนเกิดรอยกระสุนปะทะเข้ากับพื้นถนนถัดไปข้างหน้าผมไม่กี่นิ้ว

      

     “เร็วเข้า มาอยู่ข้างหน้าผม” ผมบอกเธอก่อนจับตัวเธอย้ายมาอยู่ข้างหน้าเอามือทาบบนหลังเธอสัมผัสถึงเสื้อฮู้ดสีดำหนาของเธอ สะบัดปืนไปห้อยไว้ข้างหลังก่อนย่อตัวเล็กน้อยช้อนข่อพับหัวเข้าเธอ อุ้มตัวเธอขึ้น

    “นายจะอุ้มฉันขึ้นทำไมเนี่ย”  เธอถามขึ้น

    “ถ้าไม่อุ้มเธอไปได้ตายคู่แน่” ผมบอกก่อนรีบสาวเท้าวิ่งไปทางตึกห้องพักข้างหน้าถัดไปเป็นร้านอะไรผมก็ไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้ผมต้องหลบวิถีกระสุนซะก่อน ส่วนพวกซอมบี้นั้นวิ่งไม่เร็วเท่าไรไม่เป็นปัญหาเท่าเจ้าพวกนั้น

    “ใกล้ถึงแล้วๆ” ผมตะโกนเมื่อตนวิ่งถึงข้างหน้าประตูแล้วประตูไม้สลักลวดลายสวยงามถูกฝุ่นปกคลุมหนาเตอะ ผมก้าวขั้นบันไดยืนอยู่หน้าประตูวางเธอลง หันไปสะบั้นหัวซอมบี้ที่ตามมาไปสองศพ

     

    ปัง  

     

     เสียงปืนดังขึ้นความรู้สึกเจ็บแปล๊บพลันเกิดขึ้นที่หลัง ผมรู้สึกได้ถึงเสื้อเชิ้ตสีขาวของผมกำลังชุ่มไปด้วยน้ำที่ไม่ใช่เหงื่อสายตาเริ่มพร่ามัว ผมเซเล็กน้อยก่อนล้มใส่เธอ ปึง ! ประตูโดนกระแทกเปิดออก

    “เจค ! ลุกสิ เจค !”  ผมรู้สึกได้ว่าตนล้มทับร่างแคลอยู่ผมได้ยินเสียงเธอตะโกนเรียกผม

    “แคล” ผมเรียกชื่อเธอ พยายามจะลุกขึ้น

    “อย่าเพิ่งตายนะ ! นายบอกว่าจะไม่ทิ้งฉันไว้คนเดียวไม่ใช่รึไง”เธอตะโกนมือโอบกอดตัวผมไว้แน่นราวกับผมเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตที่เธอขาดไม่ได้ไปซะแล้ว

    “ใครบอกว่าตายเล่า” ผมพูด  “ปล่อยมือได้แล้วลุกขึ้นยืนเร็ว” ผมบอกเธอ

     

                ผมมองเข้าไปหลังเธอลึกเข้าไปในตัวอาคารหลังล็อบบี้เป็นทางเดินยาวไปไหนซักแห่งก่อนถึงทางเดินนั่นเป็นบันไดขึ้นสู่ห้องพักข้างบน ข้างในค่อนข้างมืดมีแสงอาทิตย์ลอดเข้ามาจากหน้าต่างไม่กี่บานที่ถูกเปิดอยู่  ผมคิดว่าต้องเอาเธอไปซ่อนสักทีก่อนไม่งั้นผมทำอะไรไม่สะดวกแน่ๆ

     

    ผมลุกขึ้นเอามือค้ำผนังกำแพง ยืนมองประตูสักพักแต่พวกซอมบี้ก็ไม่ยักจะบุกเข้ามาเหมือนทุกที‘แปลก’ ผมคิด ผมเอามือคลำตรงที่โดนยิงโดนเต็มหลังช่วงเอวด้านขวาพอดี

    “เจค” เธอเรียก ร่างกายเธอสั่นเล็กน้อยแบบคนที่ทำอะไรไม่ถูก

    “เราต้องหาที่ซ่อน พวกมันยังไม่เลิกราง่ายๆ แน่” ผมเดินเข้าไปจับข้อมือเธอผมไม่สนว่าทางเดินยาวที่มืดนั่นจะมีอะไร ก่อนเลือกขึ้นบันไดไปข้างบนหวังว่าข้างบนน่าจะปลอดภัยกว่า แต่เพิ่งจะเหยียบชานบันไดยังไม่ทันขึ้นชั้น 2เสียงกระแทกประตูก็ดังขึ้น

    “ต้องรีบแล้ว” ผมกระซิบบอกเธอก่อนจูงมือเธอขึ้นบันไดสู่ชั้นสองของตึก

     

                อาคารที่นี่เป็นอาคารเล็กสองข้างเป็นห้องที่ขนาบสองฝั่งสุดทางมีหน้าต่าง ผมมองเห็นอาคารที่อยู่หลังตึกนี้ไปอีกผมไม่คิดจะไปชั้นสามต่อ ผมบึ่งพาเธอไปจนสุดทางเดินก่อนจะเห็นว่าหลังหน้าต่างบานนั้นข้างล่างเป็นที่ทิ้งขยะและเป็นที่จอดรถสำหรับคนพักที่นี่มีรถจอดอยู่สองสามคันสภาพยังไม่โดนรื้อคนซะด้วยแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะคิดเรื่องรถ

     

                ผมพยายามเปิดห้องทั้งฝั่งขวาและซ้ายแต่ก็ล็อคผมจึงถีบเข้า อีกไม่นานพวกมันขึ้นมาแน่ผมคิดในใจ ก่อนรีบพาเธอเข้าห้อง

     

                สิ่งแรกที่ผมหาในห้องคือซอมบี้หรืออะไรก็ตามที่เคลื่อนไหวได้แต่ไม่มี ในห้องเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กลางห้องเป็นเตียงคู่ ตรงข้ามเป็นตู้วางทีวีทางซ้ายทีวีเป็นตู้เสื้อผ้าถัดไปเป็นตู้เย็นเล็กๆ ตั้งอยู่ ทางขวาเป็นห้องน้ำผมปิดประตูห้องที่ตอนนี้ล็อคไม่ได้ซะแล้ว

    “ค่อยๆ เดินล่ะ” ผมบอกเธอเมื่อเห็นเธอจะเดินชนขอบเตียงผมพาเธอมาหยุดหน้าตู้เสื้อผ้าไม้สีน้ำตาลเข้ม ข้างในมีไม้แขวนเปล่าๆ ห้อยอยู่สามสี่อัน

     “หลบอยู่ในตู้เสื้อผ้านี่นะอย่าส่งเสียง”ผมสั่งเธอก่อนผลักหลังเธอเบาๆ แต่เธอก็ต้านแรงไว้

    “เธอจะไปไหนเจค เธอโดนยิงไม่ใช่รึไง”

    “ผมไม่เป็นไรหรอกน่า เร็วเข้า ก่อนที่พวกมันจะมาเจอเราทั้งคู่ เก็บเป้อาหารไว้ให้ดีล่ะฝากเป้อาวุธไว้ด้วย” ผมวางเป้อาวุธในตู้เสื้อผ้าที่กว้างพอจะให้คนสองคนยื่นเบียดกันได้

    “แต่ว่าเจค...”  เธอพูดขึ้นเมื่อเข้าไป หันหน้ามาทางผม หลังพิงตู้ฮู้ดยังคงปิดหน้ามาตลอด

    “ผมกลับมารับแน่แคล ผมสัญญา” ผมเปิดฮู้ดเธอออกเผยใบหน้ารูปไข่ของเธอที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเธอสั่นน้อยๆ ผมใช้มือปัดหน้าม้าสีดำเธอให้ไม่เกะกะหน้า

    “สัญญาแล้วนะ” เธอย้ำคำพูด

    “สัญญา”  ผมรับคำ เธอเอื้อมมากอดรอบเอวผมทำเอาเจ็บแปล๊บขึ้นมาเล็กน้อย

    “ เอาล่ะ ผมจะไปจัดการเจ้าพวกคนชั่วที่จะมาแย่งของของเราให้หมดแล้วกลับมารับรอเงียบๆ อย่าส่งเสียงล่ะ” ผมบอกเธอก่อนค่อยๆ ปิดประตูตู้เสื้อผ้า

     “ต้องกลับมานะ” เธอย้ำอีกครั้ง

    “อื้อ อย่าให้หนูแทะอาหารประป๋องซะล่ะ” ผมบอกเธอ

    “รู้แล้วน่า”  ผมปิดประตูตู้ทันที มือกุมบาดแผล ‘ไม่เท่าไหร่’ ผมเดินออกมาถึงหน้าประตูมองกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า “อย่า– ส่ง – เสียง” ผมกระซิบทีละคำเบาๆ พอที่เธอจะได้ยินเธอกระซิบตอบ “รู้แล้วน่า”

     

                ผมปิดประตูห้องหยุดยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อฟังเสียงพวกมัน ยังดีที่ประตูทุกห้องล็อคไว้ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่มีซอมบี้อยู่ข้างในแน่นอน

     

                ทั้งตัวผมมีเอ็มพี7ที่ห้อยอยู่ข้างหลังกับแม็กกซีนอีกสองแม็ก ปืนสั้นที่ต้นขา มีดทหารที่คาดไว้ใกล้ๆ กับมีดถางป่าด้ามยาวผมก้าวเดินลงขั้นบันไดช้าๆ ก่อนหยุดที่ชานพัก สายตาจับจ้องไปที่เคาน์เตอร์พนักงานที่มีชายสองคนใส่ชุดสูทสีดำท่าทางสะอาดสะอ้านมองขึ้นมาทางผมเหมือนกับว่ารออยู่แล้ว

    “นายนี่มันดื้อด้านซะจริงนะ ไปกลับเราตั้งแต่แรกพวกเราสองคนก็ไม่ต้องมาลำบากไล่ตามนายแบบนี้หรอก ไม่ต้องเจ็บตัวด้วย” ไอ้คนหัวสกรีนเฮดสีทองในชุดสูทที่กำลังยืนพิงเคาน์เตอร์อยู่พูดขึ้น

    “ทีนี้อะไรอีกล่ะ ช่วยผู้หญิงตาบอดรึ คิดอะไรอยู่ล่ะฮะหมายเลข 7 นายก็รู้ว่านายต่างจากคนทั่วไปนี่”อีกคนที่ไว้ผมสั้นสีดำ ใส่หมวกคาวบอยพูดขึ้น

     “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกนายด้วยล่ะ”ผมตะโกนกลับไป  “นี่มันชีวิตกู กูจะทำอะไรก็ได้ ใครก็มาบังคับไม่ได้ !” ผมโต้

    “ดูท่าจะต้องใช้กำลังกันแล้วล่ะเพื่อน” ไอ้หัวสกรีนเฮดหันไปพูดกับเพื่อนคาวบอยของตน

     

                ผมเอื้อมมือแตะซองมีดทหารที่เหน็บอยู่ข้างหลังที่เดียวกับมีดด้ามยาวดึงออกมาจากซองเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่ท่าทีของชายชุดสูทสองคนข้างหน้า

    “กำลังอยากยืดเส้นยืดสายอยู่พอดี” ผมพูดดึงมีดทหารออกมา ตั้งท่าเตรียมต่อสู้

     

    ..........


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in