เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Alive : ฆ่า(ข้า) ต้อง รอด !NO.W
ตอนที่ 11 : คนที่ 4
  • ……….

     

    ตอนที่ 11 : คนที่ 4

     

    “ว่าไงล่ะเจค” ชายข้างหลังผมถามซ้ำอีกครั้งผมสลัดความคิดเรื่องนอร่าออกไปจากหัว เปลี่ยนมาคิดเรื่องตรงหน้าผมตัดสินใจผ่อนแรงปล่อยเจ้าชุดสูทที่ผมล็อกตัวไว้ช้าๆและผมก็ไม่รู้สึกว่ามีมีดจ่ออยู่อีกแล้ว

    “อ้ะๆ ! อย่าคิดจะทำแบบที่คิดเชียว ไม่งั้นเพื่อนๆตายหมดไม่รู้นา”  มันบอกผมรู้ว่าผมคิดจะพุ่งเข้าใส่ทันที แต่มันก็เพยิดหน้าไปทางเลเซอร์สีแดงที่จ่อชีวิตหน่วยจู่โจมทุกคนไว้

     

                ร่างมันอยู่ในมุมมืดของห้องไม่ได้ใส่ชุดสูทเหมือนคนอื่นๆ กลับเป็นชุดลำลองปกติมีเสื้อสูทเป็นชุดนอกผมไม่เห็นอาวุธในมือ แต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าอยู่ๆมันโผล่ออกมาได้อย่างไร

     

                สภาพไอชุดสูทที่โดนผมกับนอร่าทั้งทุบทั้งตีอยู่ในสภาพย่ำแย่ยืนพิงกำแพงอยู่ข้างหลังคนที่มาใหม่  

     

                เสียงร้องพร้อมกับเสียงฉึกดังแว่วมาตามสายลมที่พัดผ่านเข้ามาในร้านมันเบาจนมีเพียงแค่พวกผมเท่านั้นที่สามารถได้ยินแสงเลเซอร์หายไปหนึ่งจากหน้าอกของริก คงเป็นฝีมือเธอ ซึ่งออกไปตอนไหนก็ไม่รู้แต่ที่แปลกกว่านั้น เจ้าสองคนข้างหน้าผมดันไม่ได้ยินทั้งๆ ที่มันก็เป็นเหมือนผมแต่นั่นอาจจะดีแล้วก็ได้

     

    “รู้สึกสถานการณ์จะเปลี่ยนแล้วนะ” ผมพูด หน่วยจู่โจมตั้งอาวุธพร้อมยิงผมเอื้อมมือแตะปลอกมีดสั้นหลังเอว

    “เป็นฝีมือยัยนั่นแน่ๆ” เจ้าชุดสูทสบถเบาๆ แต่ก็พอจะได้ยินกันทั้งห้อง

    “พึ่งไม่ได้กันสักคนสิน่า” มันพูดเสียงเบื่อหน่าย

     

                ผมไม่รีรอ พุ่งเข้าไปยังร่างที่อยู่ในเงามืดพร้อมกับมีดสั้นทหารโครม ! กำแพงตัวร้านระเบิดกระจายก่อนที่ผู้มาใหม่จะหายลับไป  ปล่อยไอชุดสูทยืนนิ่งอยู่กับที่มันออกแรงวิ่งเข้าหมายจะจัดการผมแต่ ปัง ! กระสุนสไนเปอร์เจาะเข้ากลางหน้าอกหนึ่งนัดตามด้วยนัดที่สองทะลุข้างลำตัวดิ่งตัดขั้วหัวใจ ร่างมันกระเด็นเฉไปก่อนจะถึงตัวผมด้วยซ้ำเลือดไหลนองไปทั่วพื้นห้อง

     

    “ทิ้งเพื่อนได้ลงคอจริงๆ นะ อุตส่าห์มาช่วยไม่ใช่รึไง”  ผมเดินรอดผ่านช่องกำแพงที่มันทำลายเพื่อหนีออกไปมันยืนอยู่กลางถนนถัดมาอีกเส้น

    “คิดไปคิดมาเจ้านั่นมันอ่อนแอเกินไปที่จะช่วยน่ะ อย่างว่าล่ะนะ รุ่นแรกๆ ของการทดลองจะไปทำอะไรรุ่นหลังๆได้ล่ะ” มันพูด ซึ่งนั่นหมายความว่ามันเป็นหนึ่งใน 7 คนแน่

    “ถึงฉันจะเป็นหมายเลข 4 ก่อนกว่านาย อาจจะสู้นายรุ่นหลังๆ ไม่ได้ แต่ตอนนี้นายคงยังไม่รู้ขีดความสามารถของตัวเองหรอก”  

     

    “จริงมั้ย?”  เผลอแปปเดียวร่างมันก็มาอยู่ตรงหน้าห่างจากผมไม่กี่เซนผมผงะถอยหลังจะหลบแต่ไม่ทันแล้ว มันปล่อยหมัดตรงเข้ากลางลำตัวแรงหมัดของมันส่งผมกระแทกขอบอิฐของช่องที่มันทำลาย กระเด็นข้ามศพหมายเลข 1 ชนราวแขวนเสื้อมากมายข้างหลัง

     

                หน่วยจู่โจมระดมยิงไปยังเจ้าหมายเลข4 แต่ชั่วพริบตามันก็อันตรธานหายไปซะแล้วสิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือพวกมันชอบย่องเข้าไม่ข้างหลังก็ใกล้ๆ ตัวเราเพื่อจัดการอย่างรวดเร็วผมรู้เพราะผมก็เหมือนพวกมันนั่นแหละ 

     

    “ระวัง !” ผมยันตัวลุกขึ้น ช้าไปเจ้าหน้าที่อีกคนโดนฝ่ามือเปล่าๆ ของมันที่มีกรงเล็บแหลมออกมานิ้วกว่าๆ แทงทะลุหัวใจ  เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ รีบหันมายิงจัดการมันรีบชักมือออกจากร่างที่ไร้วิญญาณตรงหน้า ก่อนหายไปอีกรอบ

    “โธ่เว้ย !”  ริกสบถออกมาด้วยความโกรธ

    “เราต้องการกำลังเสริมด่วนครับหัวหน้า” ลูกทีมคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

    “เราจะไม่เรียกกำลังเสริมตอนนี้” อ๋องบอกกับลูกทีมที่กำลังดึงสร้อยคอทหารของเพื่อนที่ตายมาเก็บไว้กับตัว

    “กี่โมงแล้ว”  อ๋องถาม

    “ไม่ถึงชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว” ริกตอบ

    “จากข้อมูลที่เราได้มาเกี่ยวกับเจ้าพวกนี้ 7 คน เท่าที่เรารู้ พวกมันบางตัวจะตายเมื่อโดนแดดอาจเป็นเจ้าหมอนี่ก็ได้” อ๋องบอกกับทุกคนก่อนหันมาบอกกับผมว่า“แต่ไม่ใช่เจ้าสองคนที่อยู่กับเรา”

    “ไม่ใช่หมายเลข 5 กับ 7 และคงไม่ใช่ 6 ที่หนีออกมาเหมือนกัน 1 ก็ตายไปแล้วงั้นก็โอกาส 1 ใน 3 ที่จะเป็นมัน” ริกสรุปให้ทุกคนฟัง

    “เดี๋ยวก็รู้ว่ามันแพ้แสงแดดจริงรึเปล่า” ผมเดินกลับออกมาทางหน้าร้านสู่ถนนเดิมไม่อยากสู้บนถนนอีกเส้นที่พวกไบรอันหนีไป ไม่รู้ว่าแคลไปได้ไกลแล้วรึยัง

     

                ผมยังไม่เห็นวี่แววนอร่าและเจ้านั่นด้วยทีมจู่โจมก็พากันเดินออกมานอกตัวร้าน ยังมีซอมบี้อยู่บ้างประปราย

     

                ครืน ! เสียงอาคารหนึ่งทรุดยวบลงไปพื้นถนนสั่นสะเทือน อาคารใกล้เคียงเริ่มเสียหายตามไปด้วย เนื่องจากแรงกระแทกของตัวตึกที่ถล่มมันเป็นร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นเล็กๆ ร่างของนอร่าไถลครูดมาตามพื้นถนนเป็นทางยาวออกมาจากซากร้านที่ใกล้จะถล่มเต็มทีเนื้อตัวสะบักสะบอมจากการโดนทำร้าย ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเธอทันที เจ้าหน้าที่วิ่งตามคอยระวังรอบด้าน

    “นอร่า !” ผมช้อนหัวเธอขึ้น เธอไม่ตอบสนอง  ผมยกตัวเธอขึ้นส่งให้กับริก

     

                หมายเลข 4 เดินอ้อยอิ่งออกมาจากซากปรักหักพังของตัวร้านที่เพิ่งถล่มไปหมาดๆเนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นอิฐ

     

    “เรามันก็ออมแรงไม่ค่อยเป็นซะด้วยสิ”  ผมสบตามันที่กำลังเดินเข้ามาช้าๆไม่รู้ว่ามันเก่งแค่ไหน แต่ผมไม่มีวันยอมแพ้มันแน่ๆ

    “แก !”  ผมวิ่งเข้าไปหามันตรงๆปล่อยหมัดขวาเข้าใส่ มันหยุดกำปั้นผมได้ ก่อนบิดตัวหมุนข้อมือผม ผมแกว่งตัวตามเพื่อลดแรงร่างหมุนกลางอากาศหนึ่งรอบก่อนล้มกระแทกพื้นถนน มันกระทืบขาลงมาตรงๆผมกลิ้งตัวหลบได้ทัน พื้นบริเวณนั้นเกิดรอยแตกเป็นหลุมขนาดย่อมๆ

     

                ผมลุกขึ้นมันพุ่งมาโผล่ตรงหน้า กระแทกหมัดเข้ากลางหน้าอกส่งผมลอยไปกระแทกปรตู้บ้านที่อยู่ข้างๆร้านซักรีดตะกี้ ผมยันตัวลุกขึ้น หมัดมันหนักมากโดนเยอะคงไม่ไหวผมหยิบกระถางดอกไม้พอดีมือที่วางอยู่บนขั้นบันไดขึ้นบ้าน ก่อนขว้างใส่หมายเลข 4

     

                มันปัดกระถางอิฐเกิดเสียงดังโพละดินกระจายพร้อมกับดอกไม้ที่ผมไม่รู้จัก ปัง ! เสียงปืนไรเฟิลซุ่มยิงดังลั่น หมายเลข4 ทรุดฮวบลง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งยิงไปที่ต้นขาเจ้านั่นมันร้องด้วยความเจ็บปวดมองกลับไปยังทิศที่กระสุนวิ่งมาด้วยสายตาอาฆาต

     

    “หาเรื่องตายแล้วไงมึง” ริกบอกกับเจ้าหน้าที่คนนั้นที่ยืนถือปืนตัวสั่นเมื่อเห็นเจ้านั่นจ้องมองด้วยสายตาอำมหิต ริกพูดจบร่างของมันก็หายไปแล้วทั้งกลุ่มพากันมองหน้าหลังกันให้ควั่ก

    “ก้มหัว !”  ผมตะโกนบอกเจ้าหน้าที่คนที่ลั่นไกยิงปืนที่ยืนอยู่หน้าสุดของกลุ่มแต่ก็ช้าไปซะแล้ว หมอนั่นมันเคลื่อนที่เร็วมากมันสะบัดแขวนเหวี่ยงเจ้าหน้าที่ลอยกระแทกกระจกร้านอาหารตรงข้ามร้านซักรีดกระจกแตกดังเพล้ง ร่างเจ้าหน้าที่คนนั้นหายเข้าไปในร้าน

     

                ผมพุ่งสุดตัวพร้อมกับมีดทหารในมือแทงเข้ากลางหลังมันมิดด้าม ขณะที่มันกำลังเงื้อมือจะเล่นงานริกมันร้องด้วยความเจ็บ หันกลับมาคว้าเข้าที่คอผม ยกตัวผมขึ้นสูงเหนือพื้น

     

                ผมตะเกียกตะกายพยายามจะหลุดมันบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มขาดอากาศหายใจ อ๋องรัวปืนพกใส่เข้ากลางหลังมันหมายเลข 4 คลายมือออก ผมยืนกุมคอด้วยความเจ็บปวด มันเดินเข้าไปหาหัวหน้าทีมช้าๆก่อนพุ่งเข้าใส่ชั่วพริบตากระแทกหมัดเข้ากลางชุดเกราะกันกระสุนไถลครูไปตามพื้นถนนหลายเมตร

    “ไออ๋อง !”  ริกตะโกนเมื่อเห็นเพื่อนตนกระเด็นไปไกลวิ่งเข้าเหวี่ยงหมัด มันหลบได้ ริกเหวี่ยงอีกข้าง มันรับไว้กระชากตัวริกเข้าหาก่อนเข่าใส่เต็มๆอั่ก !  ริกกระอักเลือดก่อนทรุดฮวบลงไปนอนอยู่ข้างๆ ร่างนอร่าที่ยังไม่ได้สติ

     

    ผมทะยานเข้าไปดึงคอเสื้อมัน กระชากส่งมันไปชนกระจกร้านริมถนน

     

    “เรียกกำลังเสริมได้แล้ว” ผมบอกกับลูกทีมคนสุดท้ายที่ยังรอดอยู่ก่อนพุ่งเข้าไปในรอยกระจกร้านอาหารตัวร้านเป็นทางยาวเป็นบาร์ขนานกับกระจกร้าน ริมหน้าต่างเป็นโต๊ะตั้งเรียงไปจนสุดกำแพงหลังบาร์เป็นห้องครัว

    “เจ็บหนักเหมือนกันนี่” ผมพูดเมื่อเห็นมันกำลังลุกขึ้นอยู่หลังบาร์มันไม่ตอบ

     

                ผมยกเก้าอี้ยาวตรงบาร์ขึ้นเหวี่ยงกวาดใส่ มันก้มหลบ ผมกระโดดขึ้นไปบนบาร์ กระโดดลงพร้อมกับลูกถีบมันหมุนตัวหลบ เตะผมกระแทกประตูเข้าไปในห้องครัวของร้าน

     

                มันเดินเข้ามาช้าๆเรายืนประจันหน้ากันอยู่ทางเดินยาวตรงกลางระหว่างโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำครัวผมพุ่งเข้าก่อนล้มตัวลงสไลด์ มันกระโดดขึ้นเพื่อหลบผมเอื้อมมือขึ้นไปจับข้อเท้ามัน ร่างมันกระแทกพื้น ผมหมุนตัวเองลุกขึ้นคว้ามีดทำครัวข้างๆ วิ่งเข้าไปหามันที่ยืนขึ้นมองมาทางผม

     

                ผมวาดมีดเฉียงลง มันถอยครูดไปด้านหลังคว้ามีดทำครัวข้างๆ ขึ้นมาปาใส่ ผมใช้มีดในมือปัดออก วิ่งเข้าไปหาอีกครั้ง  แวบ ! ลำแสงสีแดงเคลื่อนผ่านดวงตาผมไปผมหลับตาเมื่อแสงต้องตา ชะงักไปชั่วครู่

     

    ปัง ! เสียงไรเฟิลดังขึ้นอีกครั้งผมนึกว่าฝีมือเจ้าหน้าที่ฝั่งผมแต่กลับคิดผิดเมื่อผมเซไปตามแรงกระสุนที่พุ่งผ่านหัวไหล่ผมไปผมหงายหลังล้มลงกระแทกพื้น มีดร่วงลงพื้นข้างๆ ความเจ็บเริ่มทยอยมาติดๆ เลือดสีแดงไหลย้อยลงมาตามหัวไหล่ผมพยายามยันตัวลุกขึ้นช้าๆ สติเริ่มพร่าเลือน ยังมองไม่เห็นมือปืนเลยสักคน

     

    “นายมีพวก ฉันก็มีพวก” มันเดินมาช้าๆสภาพก็ไม่ต่างจากผมเท่าไรเพราะมันก็เพิ่งจะโดนรัวยิงมาเหมือนกันมันเอื้อมมือไปข้างหลัง ดึงมีดทหารของผมออกจากกลางหลัง

    “รู้อะไรมั้ย? เบื้องบนบอกว่าจับตายนายได้แหนะ”  มันย่อตัวลงคุยกับผมที่แค่ใช้เข่ายันตัวยังลำบากพวกเคลโอมันนิยมชมชอบพิษกันนักรึไง ร่างผมเริ่มขยับได้ลำบากมากขึ้นเพราะกระสุนแฝงพิษเมื่อครู่

     

                มันยกมีดขึ้นมาระดับสายตาแกว่งมีดไปมาช้าๆ  ปัง ! เสียงปืนดังอีกครั้งผมสังเกตเห็นกำแพงข้างหลังเจ้าหมายเลข 4 มีเลือดสีแดงกำลังไหลย้อยลงมาตามผนัง ก่อนเห็นว่ามีร่างคนกำลังเผยขึ้นช้าๆในชุดรัดรูปเหมือนนินจาแต่เป็นสีขาวล้วนที่ตอนนี้มีสีแดงไหลเป็นทาง

    “หยุดแค่นั้นแหละ เจ้าเลข 4 !”  เสียงของอ๋องตะโกนขึ้นข้างหลัง

    “โว้วๆ ! มีของเล่นใหม่ด้วยรึเนี่ย อย่างงี้ฝั่งฉันก็แย่นะสิ”มันพูด เมื่อเห็นอ๋องใส่แว่นตาที่มีแค่เลนส์เดียวทางตาด้านขวา

    “ก็แค่เครื่องจับความร้อน”  อ๋องตอบ ปืนยังจ่อไปที่มันซึ่งอยู่ชิดกับผมในมือยังคงถือมีดอยู่

    “ก็ได้ๆ”  มันทำท่าจะลุกขึ้น “อ้อ !ลืมไปเลย เอ้า นี่มีดของนายไม่ใช่รึเจค”

    “อ้ากก !” ผมร้องลั่น มันโน้มตัวเสียบมีดเข้ากลางตัวจนมิดด้ามก่อนดันตัวผมลุกขึ้น

    “เอ้า ! เอาเพื่อนนายไปสิ” มันโยนตัวผมให้อ๋อง

    “คราวนี้ฉันจะปล่อยนายไปก่อนละกันเจค แต่คราวหน้าแกจะเป็นฝ่ายไปหาฉันเอง”มันพูดท่าทีมั่นใจ

    “ทำไมฉันต้องไปหาแกด้วย” ผมพูดออกไปอย่างยากลำบากมีอ๋องพยุงตัวไว้

    “ทำไมน่ะหรอ? ก็เพราะว่าพวกฉันกำลังจะไปรับตัวเด็กแกไว้ก่อนน่ะสิ” มันหัวเราะร่า เดินกลับหลังไป ก้มลงหยิบวิทยุไร้สายของพวกตนที่ตายไปแล้ว

    “มารับฉันข้างหลัง” มันพูด เตะกำแพงเพื่อเปิดทางออกให้ตัวเองแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามาแทบจะทันที มันออกอาการผวาเมื่อเห็นแสงแดงรถหุ้มเกราะสีดำทั้งคันมาจอดตรงรูที่มันทำลายพอดี มันเดินออกไปควันสีขาวพลันลอยขึ้นจากเนื้อหนังของมัน เจ้าเลข 4 หันกลับมาที่ผมและอ๋อง

     

    “ไว้เจอกันคราวหน้านะเจค มันต้องสนุกกว่าเดิมแน่ๆ” มันหัวเราะร่ารีบเข้าไปในตัวรถก่อนกระแทกประตูปิดเสียงดังปึง แล้วรถก็บึ่งหนีไปไม่มีใครคิดจะตาม

    “ต้องไปหาแคล ผมต้องไปหาแคล” ผมบอก

    “เราไปแน่”  อ๋องรับคำ

     

    ..........

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in