เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
POPROCK ON FILMPOPROCK
Logan | มองประวัติศาสตร์ผ่าน Mr.Logan 'The' Wolverine


  • repost
    01.08.2013


    รีโพสต์จากปี 2013 นะคะ
    เนื่องจาก Logan กำลังจะเข้าฉายพอดี
    ใครยังไม่เคยอ่านบทความนี้มาก่อนก็อ่านเทียบสนุกๆได้จ้า :)


    ---------------------------------------------------


    พอดีพึ่งไปดู The Wolverine มาสนุกดีค่ะ เลยพึ่งคิดขึ้นได้ ... พี่ฮิวจ์เขาได้เล่นหนังที่เกี่ยวกับสงครามตลอดเลย ยังไม่นับที่ทำมาจากนิยาย/การ์ตูน และความเชื่ออีกนะ ขอคัดเอามาแค่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แล้วกันนะคะ.. ผิดพลาดตรงไหนขออภัยจริงๆ ตอนเขียนไม่ได้ย้อนเอาหนังกลับมาดูอาจจะตกๆหล่นๆไปบ้าง ขออภัยมา ณ ทีนี้ค่ะ

     

    เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง

    - Les Misérables (2012)
    - The Prestige (2006)
    - Australia (2008)
    - The Wolverine (2013)

     


    ---------------------------------------------------


    Les Misérables : 1815

     ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นชาวนาที่ชื่อ "ฌองวัลฌอง"

    ฌอง วัลชองเป็นชาวนาแสนยากจนค้นแค้นวันหนึ่งเขาแอบหยิบขนมปังก้อนเล็กหวังนำกลับไปให้หลานสาวกิน กลับถูกจับได้ และถูกขังคุกดุจนักโทษอุกฉกรรจ์คนอื่นๆ เป็นเวลายาวนานถึง 19 ปีด้วยโทษ 4 สำหรับข้อหาขโมย และ อีก 15 ปีสำหรับการพยายามหลบหนีตลอดระยะเวลาที่ถูกคุมขังวัลฌองออกจากคุกมาด้วยความแค้น แค้นในโชคชะตา และ ความอยุติธรรมที่ตัวเองได้รับเขาไม่มีที่ไป จนกระทั่งได้พบกับโบสถ์แห่งหนึ่ง และบาทหลวงให้ที่พักพิง

     

     

    แต่วัลฌองไม่มีเงินติดตัวสักแดงเขาไม่รู้จะต้องดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรคืนนั้นเขาจึงออกจากโบสถ์ไปพร้อมกับเครื่องเงิน แต่หนีไปได้ไม่ไกลอดีตนักโทษแบบเขาก็ถูกจับอีกตำรวจพาเขากลับมาที่โบสถ์เพื่อให้บาทหลวงยืนยันความผิด หลวงพ่อเห็นสภาพวัลฌองจึงบอกว่า เครื่องเงินเหล่านั้น เป็นของขวัญที่หลวงพ่อให้ไปเอง วัลฌองจึงพ้นผิด วัลฌองสำนึกในบุญคุณของบาทหลวงจึงคิดกลับตัวกลับใจเป็นคนดี

    6 ปีต่อมา วัลฌองกลายเป็นเจ้าของโรงงานเย็บผ้าและเป็นนายกเทศมนตรีผู้เป็นเสาหลักของเมือง ด้วยความเป็นคนมีคุณธรรมสูงส่งและยังพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองให้เจริญรุ่งเรือง วัลฌอง หรือ มาดแลนจึงได้รับเสียงสรรเสริญยกย่องไปทั่วเมือง จนกระทั่ง "ฌาแวรต์"สารวัตรคู่ปรับที่เคยจับกุม วัลฌองมาแล้ว 2 ครั้ง มาพบเขาเข้าโดยบังเอิญฌาแวรต์หาพยายามหาวิธีให้วัลฌองเปิดเผยตัว ด้วยการแกล้งลงทัณฑ์คนผิดจนกระทั่งวัลฌองต้องยอมรับว่าตนเองคือ "ฌอง วัลฌอง" วัลฌองจึงต้องเริ่มต้นการหนี อีกครั้ง

    ฟองตีน หญิงสาวอาภัพที่ถูกกลั่นแกล้งจนชีวิตต้องตกระกำลำบากถึงขั้นต้องขายตัว และกำลังจะตายเป็นคนงานในโรงงานเย็บผ้าของวัลฌอง วัลฌองได้ให้สัญญากับเธอว่าจะช่วยตามหาโกเซตผู้เป็นลูกสาวของเธอ และจะช่วยดูแลให้วัลฌองหนีมาพร้อมกับตามหาโกเซตเจอในที่สุดหลังจากช่วยเหลือโกเซตจากครอบครัวใจยักษ์ได้ เขาก็รับโกเซตเป็นลูก และหนีไปแต่ก็ถูกตามล่าอีก จนได้พบกับคนสวนที่วัลฌองเคยช่วยชีวิตไว้สองพ่อลูกจึงอาศัยอยู่ในคอนแวนต์ตั้งแต่นั้นมา

     

     

     

    มาริอุสเป็นชายหนุ่มมั่งคั่งเนื่องจากเขามีตาเป็นมหาเศรษฐี แต่กลับถูกผู้เป็นตากีดกันไม่ให้พบกับพ่อของตัวเองพ่อของเขาเป็นทหารของนโปเลียน ตาเกลียดนโปเลียนขณะที่มาริอุสชื่นชมพ่อของตัวเองมาก จนกระทั่งพ่อตายมาริอุสจึงออกจากบ้านมาใช้ชีวิตเยี่ยงนักศึกษายากจน และเข้าร่วมกับกลุ่มนักศึกษาหัวรุนแรงเพื่อต่อต้านความเป็นไม่เป็นธรรมในการ ปกครองของรัฐบาลฝรั่งเศส

     

    มาริอุส พบ โกเซตเข้าโดยบังเ้อิญก็ตกหลงรักเธอทันที มาริอุสตามโกเซตไปที่บ้าน วัลฌองรู้เข้า จึงย้ายบ้านหนีเขาจึงตามหาเธอไปทั่วแต่ก็หาไม่พบ จนอาโปนีน หญิงสาวที่หลงรักมาริอุสมากรับปากว่าจะช่วยตามหาโกเซตให้ ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างหลงรักกันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นวัลฌองรู้เรื่องเข้าจึงบอกว่า จะย้ายไปอังกฤษ มาริอุสกลับไปบอกตาว่าจะแต่งงานแต่ตาไม่อณุญาติ เขากลับมาหาโกเซต และพบว่าเธอจากไปแล้ว มาริอุสเสียใจมากจึงหันกลับมาทุ่มเทให้กับภารกิจของ กองกำลังนักศึกษาเต็มที่

     

     

     

    การต่อสู้ของประชาชนและนักศึกษาร้อนระอุขึ้นทุกทีจนกระทั่งเกิดการเข้าปะทะกัน ฝั่งนักศึกษาเสียชีวิตเป็นจำนวนมากแต่ฌาแวรต์ถูกจับได้ หลังจากพยายามปลอมตัวเข้ามาสืบข่าวนักศึกษาจึงจับเขาไว้เป็นตัวประกัน ตอนนั้น วัลฌองเข้าร่วมกับกองกำลังนักศึกษาแล้วเนื่องจากอยากมาคุยกับมาริอุส เหล่านักศึกษารู้ว่าวัลฌองมีความแค้นกับฌาแวรต์จึงเปิดโอกาสให้เขาลงโทษฌาแวรต์ด้วยตนเอง แต่วัลฌองตัดสินใจปล่อยเขาไป

     

    หลังจากการปะทะกับกองทหารของรัฐมาริอุสถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัส วัลฌองพยายามพาเขาหนีไปรักษาตัวฌาแวรต์มาเจอทั้งคู่เข้า เขาคิดจะจัับวัลฌองอีก แต่ก็รู้สึกสำนึกบุญคุณที่วัลฌองไม่ฆ่าตนเองวัลฌองบอกว่า เขาสัญญาว่าจะกลับมาเข้าคุก แต่ขอพามาริอุสไปรักษาก่อน ทีแรกฌาแวรต์ไม่เชื่อ เขาขู่ว่าถ้าวัลฌองไม่หยุดเขาจะยิง แต่วัลฌองไม่หยุึดฌาแวรต์รู้สึกสับสนกับความรู้สึกตัวเอง ระหว่างหน้าที่และความเชื่อมั่นที่เชื่อมาตลอดความถูกต้องที่ยึดถือ หรือ ความเชื่อใจที่วัลฌองพึ่งมอบให้ ในที่สุดฌาแวรต์ก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเอง

     

    โกเซต ได้แต่งงานกับมาริอุสในที่สุดแต่หลังจากนั้น วัลฌองได้ไปสารภาพว่าตนเองเป็นนักโทษมาริอุสไม่รู้ว่าวัลฌองช่วยชีวิตตน จึงนึกรังเกียจ ไม่อยากให้ชีวิตของโกเซตต้องแปดเปื้อนที่มีพ่อเป็นนักโทษจึงกีดกันไม่ให้ทั้งคู่พบกัน วัลฌองที่ไม่ไ่ด้พบโกเซตนั้น โดดเดี่ยวอย่างมากเขาตรอมใจจนใกล้ตาย มาริอุสพึ่งมารู้ความจริงทีหลังว่าวัลฌองช่วยชีวิตตนเขาจึงพาโกเซตไปหาวัลฌอง เพื่อให้เธอได้อยู่กับพ่อในวาระสุดท้ายของชีวิต ...

     

    ข้อเท็จจริง :

    Les Misérables หรือ "เหยื่ออธรรม"เป็นวรรณกรรมก้องโลกของ วิกเตอร์ ฮูโก นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส ผลงาน"เหยื่ออธรรม" โด่งดังอย่างมาก ด้วยการร้อยเรียงเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมความเป็นอยู่ และ การเมืองอันดุเดือดเข้มข้นของฝรั่งเศสในยุคนั้นไว้อย่างครบถ้วนผ่านเรื่องราวของผู้คนทั้ง วัลฌอง ฟองตีน ฌาแวรต์ โกเซต อาโปนีน มาริอุสหรือแม้แต่ อองฌอลราส์

    โดยบทประพันธ์ได้เผยให้เห็นถึงความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับผู้คนเส้นแบ่งแยกระหว่างศีลธรรมและกฏหมาย และการต่อสู้เพื่อเสรีภาพที่แท้จริงของประชาชน

     


    โดยเรื่องราวกินระยะเวลาเกือบ 20 ปีเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในยุคแร้นแค้นของฝรั่งเศสจนกระทั่งหลังจากการโค่นล้มของกษัตริย์ ชาร์ลสที่ 5แห่งบูร์บงลงได้ในปี 1830 และได้มีการสถาปนาพระเจ้าฟิลิปป์ขึ้นเป็นจักพรรดิแทนที่จะสถาปนาประเทศเป็นระบบสาธารณรัฐประชาชนจึงรวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลอีกครั้ง จนกระทั่งเกิดกลียุคในที่สุด จนถึงปี 1832ได้เกิดศึกใหญ่ระหว่างประชาชนกับรัฐบาลฝรั่งเศส

     

    ตัวละครมาริอุส ที่หันไปเข้ากับพวกสาธารณรัฐนิยม ก็เนื่องจากมาจาก การมีพ่ออยู่ฝ่ายนโปเลียนและการมีตาเป็นผู้นิยมระบอบกษัตริย์แบบเก่า เขาจึงเหนื่อยหน่ายกับการเลือกข้างจึงเลือกเดินทางสายกลางคือ การเข้าข้างประชาชนมาริอุสจึงไปเข้าร่วมกับพวกนักศึกษาในที่สุดซึ่งฮูโกแสดงให้เห็นถึงสภาพการเมืองที่ขัดแย้งกันเองของฝรั่งเศสและสังคมเต็มไปด้วยความสับสน ก้าวร้าว

     

    แม้การปฏิวัติครั้งใหญ่ในปี 1832จะล้มเหลว ประชาชนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ในภายหลังก็มีการต่อสู้ การปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นอีกมากมาย หลายครั้งหลายหนในฝรั่งเศสอีกนานทีเดียวกว่า ฝรั่งเศสจะสามารถปฏิวัติสู่สาธารณรัฐได้อย่างแท้จริง ...

     

     

    The Prestige : 1888

    ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นนักมายากลชื่อ"โรเบิร์ต แองเจียร์"

     

    โรเบิร์ต แองเจียร์ หรือในฉายา "ดันตองผู้ยิ่งใหญ่" เขาเป็นนักมายากลชื่อก้องของอเมริกาและด้วยการที่เป็นนักมายากลที่ฐานะดี ทำให้กลของแองเจียร์มักเป็นกลที่พิเศษอลังการแต่แล้วความยิ่งใหญ่นั้นก็ถูกสั่นคลอน เมื่อแองเจียร์พบว่า อัลเฟรด โบเดนนักมายากลกระจอกคนหนึ่ง ได้แสดงกลที่ไม่สามารถทำได้เำกิดขึ้นบนโลกขึ้นมา นั่นคือ"กลหายตัว" ซึ่งในยุคนั้น กลหายตัวถือเป็นกลใหม่ที่น่าทึ่งเนื่องจากไม่เคยมีใครสามารถทำได้มาก่อน ทำให้เขาต้องสืบหาที่มาของกลนั้นในที่สุด

     


    แล้วแองเจียร์ก็ได้พบกับนักประดิษฐ์ที่มีชื่อว่า เทสลา

    นิโคลา เทสลา เป็นชาวโคเอรเตียเขาเดินทางร่อนเร่มาทำงานในอเมริกา โทมัส เอดิสัน ได้จ้างเขาไว้ เทสลาเป็นคนเก่งเขามีพรสวรรค์ในการประดิษฐ์ เอดิสันให้เทสลาดูแลโครงการทางวิศกรรมทางไฟฟ้าของเขาจนกระทั่งเทสลาได้สร้างเครื่องผลิตไฟฟ้ากระแสตรงให้กับเอดิสันเอดิสันจึงบอกว่าเขาจะจ่ายเงินให้เทสลาเป็นจำนวน 50,000ดอลลาร์เพื่อให้พัฒนาโครงการนี้จนสำเร็จ เมื่อเทสลาทำสำเร็จเขาจึงทวงถามค่าจ้างจากเอดิสัน แต่เอดิสันปฏิเสธว่าเขาไม่เคยยื่นข้อเสนอนั้นให้เทสลา

    และนั่นคือจุดแตกหัก พวกเขาแยกทางและกลายเป็นคู่แข่งกันตั้งแต่บัดนั้น

    แองเจียร์ พบกับตัวแทนของ เทสลาที่มีชื่อว่าอัลลี่ อัลลี่เป็นตัวแทนของเทสลาในการติดต่อธุรกิจทุกอย่างของเค้าเนื่องจากเทสลาเป็นนักวิทยาศาสตร์ประเภทที่ไม่ชอบพบปะผู้คน(เทสลาเป็นต้นกำเนิดคำศัพท์ "นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง")อัลลี่พาแองเจียร์ไปดูความมหัศจรรย์ในผลงานของเทสลา โดยเทสลาสามารถสร้างเทคโนโลยีที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ไกลหลายสิบไมล์ในตอนนั้นโลกยังไม่มีใครรู้จัก "ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ"

     

     

    มีข่าวลือว่า เทสลาสามารถผลิตเครื่อง"ย้ายมวลสาร" หรือ เทคโนโลยี Teleport ได้ทำให้แองเจียร์ตัดสินใจที่จะซื้อเครื่องนั้น เพื่อใช้ในกลของเขาเองเพื่อต้องการเอาชนะโบเดน แล้ว "ดันตอง ผู้ยิ่งใหญ่" ก็ได้แสดง"กลหายตัว" ในที่สุด

    โบเดน ไม่อาจเชื่อว่า "กลหายตัว"มีอยู่จริง แม้เขาจะเคยแสดงกลนั้นแล้วก็ตาม แต่เป็นเพราะเขา "ใช้คู่แฝด"ของเขาในการแสดงกล แต่ ดันตองไม่มีคู่แฝด โบเดน จึงตามสืบหาความจริง แล้วพบว่าเบื้องหลังของ "กลหายตัว" ของ แองเจียร์ ไม่ใช่เทคโนโลยีย้ายมวลสารแต่กลับเป็นการ "โคลนนิ่ง" ที่น่าขยะแขยง

    แองเจียร์ ไม่ได้หายจากอีกที่แล้วไปโผล่อีกที่แต่เค้าทำให้ตัวเอง หายไป เพื่อฆ่าตัวเองทิ้ง แล้วตัวเขาอีกตัว จะไปปรากฏยังอีกที่เพื่อแสดงกล "หายตัว" ในเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด

     

     

    ข้อเท็จจริง :

    หลังจากหนังประสบความสำเร็จอย่างงดงามในแง่คำวิจารณ์และ รายได้ (ที่มากเกินคาด) ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เทสลา มีส่วนในเทคโนโลยีเทเลพอร์ต หรือ การโคลนนิ่งจริงหรือไม่

     

     

    The Prestige สร้างจากวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมในชื่อเดียวกันของนักประพันธ์ชาวอังกฤษ Christopher Priestเนื่องจาก พรีสประทับใจผลงานของ Christopher Nolan ใน Followingและ Memento มากเขาจึงยอมให้หนังสือของเขาถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในที่สุดหนังสือตีพิมพ์ในปี 1995 และได้รับความสนใจอย่างล้นหลามเรื่องการผูกพลอตเรื่องและปมที่ซับซ้อนด้วยการนำมายากลและวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

     

    สำหรับเรื่องเทคโนโลยี เทเลพอร์ต และ โคลนนิ่งของเทสลา นั้น ได้รับการยืนยันแล้วว่า เป็นเพียงจินตนาการของผู้ประพันธ์เท่านั้นตลอดชีวิตของเทสลา ได้ประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์มากมาย เคยมีข่าวลือว่าเทสลาเคยถูกชักจูงเข้าไปอยู่ในโครงการการคิดค้นเทคโนโลยี "ย้ายมวลสาร"ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจนปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานใด บ่งบอกว่ามีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อยู่จริง (นั่นอาจเป็นแรงบรรดาลใจของ คริส พรีสในการแต่งเรื่อง The Prestige ด้วย)

     

     

    และ The Prestige เองก็อาจเป็นส่วนหนึ่งในการประกาศศักดิ์ศรีของ เทสลา

    ตามประวัติศาสตร์นั้นชื่อเทสลาถูกบันทึกในฐานะนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ขณะที่ชื่อของโทมัส เอดิสันกลับจารึกในฐานะของ นักวิทยาศาสตร์แห่งศตวรรษ

    หลังจากแยกทางกัน โชคชะตาของเทสลาค่อนข้างมืดมนกว่า โทมัส อัลวา เอดิสันมาก หลังจากเทสลาแยกทางกับเอดิสัน เขาจึงไปร่วมมือกับบริษัทวิศวกรรมของจอร์จ เวสติงเฮาส์ และได้คิดค้นระบบไฟฟ้ากระแสสลับออกมาในที่สุดซึ่งระบบไฟฟ้ากระแสสลับนี้เอง ทำให้ เทสลากลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ เอดิสันการต่อสู้ระหว่าง ไฟฟ้ากระแสตรง และ กระแสสลับ นั้นเต็มไปด้วยเรื่องสกปรกโสมมทั้งการสาดโคลน การใส่ร้ายป้ายสี และ เข่นฆ่า และการติดสินบน จนกระทั่งเอดิสันต้องยอมพ่ายแพ้ให้แก่ ความจริง ว่า ไฟฟ้ากระแสสลับนั้นมีประโยชน์กับมวลมนุษย์อย่างมหาศาล

    หากการต่อสู้ ในครั้งนั้น เอดิสันเป็นผู้ชนะโลกเราคงต้องเต็มไปด้วยโรงไฟฟ้าขนาดย่อยในทุกๆ 5ไมล์ และ ดวงไฟที่ให้แสงสีเหลืองเป็นแน่แท้ ผลงา่นระบบไฟฟ้ากระแสสลับของเทสลาทำให้เราไม่ต้องสร้างโรงปั่นไฟขนาดย่อยอีกต่อไปเพราะไฟฟ้ากระแสสลับสามารถกระจายต่อไปหลายร้อยไมล์และแสงไฟที่ได้ยังมีสีขาวสว่างอีกด้วย

     

     

    Australia : 1939

    ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนเลี้ยงม้าชื่อ"โดรเวอร์"

     

     

     

    เลดี้ซาร่า แอชลี่ย์ เดินทางจาก อังกฤษไปออสเตรเลีย เพื่อพยามโน้มน้าวสามีที่ดูแลกิจการฟาร์มในออสเตรเลีย ให้กลับอังกฤษแต่เมื่อเธอไปถึง กลับต้องพบว่า สามีถูกฆ่าตายอย่างเป็นปริศนาเธอจึงต้องรับภาระดูแลฟาร์มนั้นต่อ ท่ามกลางความดุเดือดของสงครามมหาเอเชียบูรพา ขณะที่ญี่ปุ่นกำลังกรีฑาทัพเข้ายึดทวีปเอเชียและกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่พยายามยึดที่ดินของเธอ เธอจึงต้องให้ "โดรเวอร์"คนเลี้ยงม้า ที่คุ้นเคยกับคนพื้นเมืองอะบอริจิ้น (ที่แอชลีย์เชื่อว่าหัวหน้าของพวกเขาฆ่าสามีของเธอ) คอยช่วยดูแลฟาร์มของเธอด้วย

     

     

    ซาร่าได้รับเด็ก ลูกครึ่งคนหนึ่งไว้ในความอุปการะในยุคนั้น ยังมีการเหยียดผิวรุนแรงอย่างรุนแรงอยู่ค่อนข้างมากชนพื้นเมืองกับคนขาวสามารถอยู่รวมกันในฐานะ คนใช้และเจ้านายเท่านั้นทำให้มีปัญหาเด็กที่เกิดจากคนขาวและคนพื้นเมืองเกิดขึ้นมากมาย จากกรณีที่คนขาวย่ำยีสาวใช้ที่เป็นชยพื้นเมือง เด็กลูกครึ่งที่เกิดจากคนขาวและชาวพื้นเมืองเหล่านี้ จะถูกจับไปปล่อยไว้ในเกาะในความดูแลของบาทหลวง หรือเพื่อฝึกให้เป็นเด็กรับใช้ในบ้านของคนขาว และไม่มีสิทธิได้กลับบบ้านอีกเลยโดยที่ชาวพื้นเมืองไม่สามารถต่อสู้เรียกร้องอะไรได้เลย เด็กในยุคนี้จึงถูกเรียกว่า"รุ่นที่สูญหาย" หรือ "รุ่นที่ถูกขโมย" (Stolen Generation)

     

     

    โดรเวอร์กับซาร่า ได้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายทั้งการสืบหาเรื่องราวการตายของสามี การพยายามต่อสู้กับกลุ่มผู้มีอิทธิพลแม้แต่การหลบลี้สงครามที่กำลังครุกรุ่น และการผูกสัมพันธ์กับชาวพื้นเมือง จนกระทั่งความรักเริ่มก่อตัว

     

    ข้อเท็จจริง :

    บาซ เลอห์มานบรรจงแต่งแต้มเรื่องราวของความรักสุดหวานซึ้ง โดยมีพื้นหลังเป็น สงครามโลกครั้งที่2 ที่มี ออสเตรเลีย เป็นสมรภูมิในครั้งนี้

    Australia ประสบความสำเร็จอย่างดงามจนกระทั่งทำให้เกิดอิมแพคมากมาย ทั้งการที่รัฐบาลอสเตรเลียออกมาแถลงการขอโทษต่อประชาชนที่เกิดในยุคของ "รุ่้นที่สูญหาย"ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ทุนส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาลออสเตรเลียเช่นกันนั่นหมายความว่า รัฐบาลเอง ก็อยากจะเปิดเผยและขออภัยเรื่องนี้เต็มแก่แต่แม้จะแถลงการณ์ขอโทษแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลก็ยังปฏิเสธที่จะชดใช้ค่าเสียหายอยู่ดี

     

     

    และ Aultrslia ของบาซ เลอห์มาน ก็ได้สอดแทรกรายละเอียดทางประวัติศาสตร์เข้ามามากมายทำหนังให้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบรอบด้าน ทั้งด้านสาระทางประวัติศาสตร์, สภาพสังคมและศีลธรรมความเป็นมนุษย์รวมไปถึงเรื่องราวรักโรแมนติค

     

    ย้อนไปถึง ศตวรรษที่ 17อังกฤษประกาศให้ทวีปออสเตรเลียเป็นหนึ่งในเกาะอาณานิคมของตนเองและมีการนำนักโทษและครอบครัวทหารเข้ามาอยู่อาศัยในดินแดนจนกระทั่งมีการย้ายถิ่นฐานเข้ามาปักหลักในออสเตรเลียอีกเป็นจำนวนมากผู้อพยพส่วนใหญ่มากจากประเทศในแถบยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอังกฤษ

     

     

     

    ต่อมาในศตวรรษที่ 18ชาวจีนจำนวนมากเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานและหางานทำทำให้ชาวอังกฤษที่ปกครองออสเตรเลียในขณะนั้นจึงต้องออกนโยบาย"ออสเตรเลียขาว" ขึ้น โดยมีการแบ่งแยกเขตระหว่างคนขาว และคนผิวสีอื่นอย่างชัดเจน เช่น คนผิวสีไม่อาจนั่งในบาร์ร่วมกันคนขาวได้เลย

     

    แต่ก่อนที่คนขาวและคนต่างถิ่นเหล่านี้จะอพยพเข้ามาในออสเตรเลีย ที่นี่มีชาวท้องถิ่นอาศัยอยู่ก่อนแล้วพวกเขาคือชาวอะบอริจิ้นหลังจากอังกฤษเข้ามาประกาศอาณานิคมและขับไล่พวกอะบอริจิ้นไปทำให้มีชาวอะบอริจิ้นบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวอะบอริจิ้นเพศหญิงถูกนำมากดขี่ให้เป็นทาสรับใช้ให้กับคนขาวจนกระทั่งเกิดปัญหาต่อมาคือ "สายเลือดผสม" ของชาวอะบอริจิ้นและคนขาวรัฐบาลออสเตรเลียในขณะนั้นจึงได้

    ให้กำเนิดนโยบายการกันเด็กเลือดผสมออกไปจากสังคม โดยพาตัวเด็กเลือดผสมทุกคนออกไปจากประเทศให้ไปอาศัยอยู่ในเกาะที่ดูแลโดยบาทหลวง และ ไม่มีทางได้กลับบ้านอีกเลย นโยบายนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1885 ถึงปี 1996 หรือกว่า 111 ปี

     

     

    ขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียได้มีส่วนร่วมสำคัญในสงครามโลกครั้งที่1 ด้วยการส่งทหารไปช่วยฝ่ายพันธมิตรราว 60,000 คนพอมาถึงในสงครามโลกครั้งที่ 2 ออสเตรเลียก็ยังเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพันธมิตรออสเตรเลียให้การสนับสนุนกองทัพพันธมิตรด้วยกำลังคนและเสบียงอาหาร(แบบที่บ้านของนางเอกเลี้ยงม้าเพื่อขายให้กับกองทัพ)

     

    ขณะที่ญี่ปุ่นกำลังกรีฑาทัพเข้าโจมตีเอเชียนั้นจึงคิดตัดสายเสบียงและยุทธภัณฑ์ของพันธมิตรอีกทาง ด้วยการบินมาทิ้งระเบิดที่เมืองดาร์วินในออสเตรเลีย อเมริกาได้ส่งเรือที่เหลือรอดมาจากเพิร์ลฮาเบอร์มาช่วยกองทัพผสมของพันธมิตร ในประวัติศาสตร์สงคราม นีืคือเหตุการ"การต่อสู้ที่ทะเลคอรัล" (Battle of the Coral Sea)

     

     

    The Wolverine : 1945

     ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นมนุษย์กลายพันธ์ในชื่อ "โลแกน"

     

     

     

    โลแกนถูกทหารญี่ปุ่นจับขังไว้ในหลุมหลบภัยที่นางาซากิ ขณะที่เขากำลังเฝ้ามองความเคลื่อนไหวจากรูเพียงน้อยนิดจากปากหลุมทหารเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็มาฟันโซ่ที่ปากหลุมทิ้ง พร้อมทั้งบอกให้เขาวิ่งหนีไปโลแกนบอกว่า นั่นคือ B-29 และไม่มีทางหนีพ้น ทหารหนุ่มไม่เข้าใจนักเขาเดินตามทหารคนอื่นออกไปคุกเข่า ต่อหน้าสมรภูมิ ทหารรุ่นพี่ ปลดเสื้อออกและแทงมีดเข้าที่ท้องทีละคน ทหารหนุ่มมองเครื่องบินทิ้งระเบิดจากกองทัพพันธมิตรระเบิดลูกนั้นกำลังร่วงลงมาที่พื้น

     

    และวินาทีที่เขากำลังลังเลระหว่างการทำฮาราคีรีตามวิถีบูชิโดกับการพยายามวิ่งหนีอยู่นั้น ระเบิดก็แตะพื้นดิน มันเกือบไม่มีเสียงให้ได้ยินเขาเห็นภาพตรงหน้าเป็นกลุ่มควันพวยพุ่งสู่ผืนฟ้าแรงระเบิดค่อยๆแผ่มาถึงตัวเขาทีละน้อย เมื่อเข้าได้ยินเสียงระเบิดเขาพยายามจะออกวิ่ง นักโทษคนนั้นคว้าตัวเขาไว้ และบอกให้เขาวิ่งเข้าไปหลุมในหลุมกักตัวที่เขาปล่อยตัวชายคนนั้นออกมาเขากระโดดลงไป ชายคนนั้นกระโดดตามลงมาพร้อมด้วยฝาเหล็กปิดหลุมที่กันตัวเขาไว้จากแรงระเบิด

     

     

    แรงระเบิดมหาศาลลามเลียมาถึงก้นหลุมและไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน พวกมันก็จากไป ชายคนนั้นยกตัวออก เขามองเห็นว่าชายคนนั้นถูกแรงระเบิดแผดเผาเละไปทั้งร่าง ... แล้วเขาก็คืนสภาพอย่างรวดเร็วชายหนุ่มตกตะลึง เขาเป็นตัวประหลาด! แต่เมื่อนึกว่าชายคนนั้นช่วยชีวิตเขาไว้เขาจึงใจเย็นลง และเมื่อเขาปีนขึ้นมาสู่ปากหลุม ก็พบว่า บนพื้นภิภพแห่งนี้ คือนรกดีๆ นี่เอง ...

     

     

    ข้อเท็จจริง :

    นั่นคือหนึ่งในผลงานของ "โครงการแมนฮัตตัน"

    ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2หลังจากขับเคี่ยวกรำศึกกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน พันธมิตรก็ได้ริเริ่มโครงการการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในที่สุด เพราะความต้องการจบสงครามโดยเร็วก่อนที่รัสเซียจะเข้าร่วมสงครามอย่างป็นทางการ โดยเป็นการร่วมมือระหว่าง อเมริกาแคนาดา และ อังกฤษ โครงการแมนฮัตตันมีเป้าหมายในการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในหัวเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น หลังจากการทิ้งระเบิดไฟเป็นจำนวนมากมาตลอดระยะเวลาการทำศึก โดยเป้าหมายแรกในการทิ้งระเบิดอยู่ที่เมือง เกียวโต,ฮิโรชิม่า,โยโกฮามา และอีกกว่า 20 เมือง จนกระทั่ง คัดเลือกเหลือเพียง 2 เมืองในที่สุด

     

     

    6 สิงหา 1945 "ลิตเติ้ลบอย"ถูกทิ้งที่ ฮิโรชิม่า เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เหลือรอดอยู่เพียงไม่กี่เมืองของญี่ปุ่นระเบิดมีอาณุภาพทำลายล้างสูงมากเมือนักบินทิ้งระเบิดเสร็จจึงต้องรีบบินออกจากพื้นที่ทันทีควันระเบิดพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าสูงกว่า 600 เมตรมีประชาชนชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตทันที 70,000 คน

     

    เหตุผลที่เป็น ฮิโรชิม่า เพราะเป็นเมืองใหญ่ในไม่กี่เมืองของญี่ปุ่นที่ยังมีผู้คนและกองทหารอยู่ ในยุคนั้นเมืองอื่นๆแทบกลายเป็นเมืองร้างจากการทิ้งระเบิดแบบปูพื้นตลอดเวลาของ พันธมิตรฮิโรชิม่า จึงเป็นเป้าหมายแรก

     

     

    ประธานาธิบดีทรูแมนได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลญี่ปุ่นให้ยอมแพ้สงครามทันที แต่รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ยินยอมพันธมิตรจึงส่ง "แฟตแมน" ไปที่ นางาซากิ เหตุเพราะนางาซากิเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดตอนนั้นและกองกำลังทหารฝั่งโอกินาว่าก็อยู่ที่นางาซากิทั้งหมดและเมืองนี้ยังเป็นกองบัญชาการสำคัญในสงครามภาคสมุทรด้วย และเช่นเดียวกับที่ฮิโรชิม่า"แฟตแมน" ทำให้ประชาชนชาวนางาซากิเสียชีิวิตทันที 70,000 คนบาดเจ็บ 80,000

    ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้สงครามในที่สุด

    ระเบิดลูกที่ 2 ที่นางาซากิ เป็นระเบิดนิวเคลียร์ลูกที่ 3 ที่ถูกใช้ในสงครามเท่าที่ประวัติศาสตร์โลกเคยบันทึกไว้ หรืออีกนัยหนึ่ง นางาซากิก็คือ สมรภูมินิวเคลียร์แห่งสุดท้ายของสงครามโลกนั่นเอง...

    ปล. ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์จริง

     

     ---------------------------------------------------

     

    เขียนได้ 4เรื่องค่ะ จริงๆ อยากเขียน Van Helsing กับ Real Steel ด้วย
    แต่พอดี Van Helsing เป็นแค่ตัวละครในนิยายเลยเอาไทม์ไลน์จริงๆมาเทียบไม่ได้
    ส่วน Real Steel ก็ล้ำอนาคตเกินไปหน่อย (จริงๆก็น่าจะเขียนเรื่องโลกอนาคตและทฤษฎีหุ่นยนตร์ครองโลกของ Hans moravec)

    Van Helsing : 1887

    แวน เฮลซิง เป็นตัวละครสำคัญในนิยาย"แดรกคูลา" ของ แบรม สโตรคเกอร์ ซึ่ง ตำนานผีดูดเลือดเองก็เกิดจากปลายปากกาของ แบรม สโตรคเกอร์ เช่นกัน ส่งผลให้ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีดิบ มนุษย์หมาป่า และ นักล่าปีศาจ ได้รับความนิยมอย่างมาก จนหลายครั้งผู้คนก็เชื่อว่า มีเค้าโครงเรื่องมาจากเรื่องจริง

     และ บรรดา X-Series ทั้งหลายแม้จะมีพื้นหลังเกี่ยวเนื่องกับสงครามโลกอยู่บ่อยๆ
    แต่ก็ค่อนข้างโอเวอร์เกินไปหน่อย เลยขอเขียนแค่ 4 เรื่องนี้เท่านั้นค่ะ

    ผิดพลาดตรงไหนขออภัยมา ณ ทีนี้จ้า




    Logan (2017)

    ภาคนี้จะเป็นหนังมนุษย์อมตะผู้นี้ที่พี่ฮิวจ์บอกว่าจะรับเล่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ (ฟิตหุ่นไม่ไหวล๊าว 55555) เข้าฉายในไทย 2 มีนาคม 2017 นี้ค่ะ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in