เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเมื่อเราไปเมืองสิงค์ ( in 2015)SnapDiary
Chapter-04 / โอเค ถือว่า ผ่าน
  • เมื่อเราทั้ง4เปิดประตูบานกระจกโรงแรมเข้ามา ก็พบกับพนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์ เขาทักทาย ด้วยการส่งยิ้มให้พวกเรา

    ผมยื่นเอกสารการจองห้องพักส่งให้เขาดู พร้อมบอกวิธีการที่เราจองมาจากเมืองไทย พนักงานรับใบนั้นไปเช็คผ่านระบบคอมพิวเตอร์

    ผมแอบลุ้น ใจตุ้มๆต่อมๆ กังวลไปหมด ว่ามันจะมีการผิดพลาดอะไรหรือเปล่า

    ปรากฏว่า....ผ่านฉลุย

    พนักงานขอพาสปอร์ต ของพวกเราไปเช็ค มีเสียง ติ้ตๆ อยู่หลายครั้ง แล้วเค้าก็ยื่นทั้งหมดกลับมาที่ผม พอถึงขั้นตอนการจ่ายเงิน ผมรีบขอโทษเขาก่อนว่าเรามีแบงค์ใหญ่ พนักงานส่งยิ้มให้ แล้วบอกว่า...ไม่มีปัญหา เขารับเงินไป แล้วทอนตังค์กลับมาที่ผม “ เย้ มีแบงค์ย่อยใช้แล้ว “ ผมบอกน้องๆ


    น้องๆกระซิบกลับมาที่ผม “พี่ๆ ขอเค้าแลกตังค์ได้เปล่า “ ผมบอกว่า” น่าจะได้นะ ลองดูๆ อาจมีค่าแลกนะ” พนักงานเหมือนจะรู้จุดประสงค์ของเรา ยังไม่ทันจะถามเลย....เขาส่งยิ้ม แล้วส่งสัญลักษณ์เป็นเชิงบอกว่า “ได้ครับ” เราทุกคนเลยได้แลกตังค์แบงค์ย่อยไว้ใช้ โดยไม่เสียบริการค่าแลกเลย (โอ้ย..ทีที่สนามบินนะ คิดค่าแลกตั้งแพง)


    หลังจากนั้น ผมก็หยิบกระดาษที่ผมเขียนข้อความประโยคสำคัญๆไว้ ออกมาอ่านทวน อาการคล้ายๆแอบดูโพยตอนสอบเลย(ผมคิดประโยคที่คาดว่าจำเป็นต้องใช้แล้วให้น้องที่ทำงานช่วยแปลเป็นอังกฤษ ปริ้นใส่กระเป๋ามาด้วย)สิ่งที่ผมจะดู คือประโยคที่จะขอฝากกระเป๋าไว้ก่อนเวลาเช็คอิน พอพูดจบ(ตามกระดาษ) พนักงานก็บอกว่า ห้องที่เราจองไว้ว่างอยู่ คุณสามารถเข้าได้ก่อนเวลา

    เย้... โชคดีอีกแล้ว...

    พวกเรา ขอบคุณพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ แล้วหอบกระเป๋าขึ้นห้องพัก (มีพนักงานเข็นกระเป๋าและช่วยถือด้วย แลดูไฮโชนิดนึง)

    เอาล่ะ ถึงตอนนี้เรามาลุ้นกันว่า...สภาพห้องจะเหมือนในรูปถ่ายรีวิวของโรงแรมหรือไม่ ที่ผ่านมาตรงล็อบบี้ ผมถือว่าผ่านนะครับ ดูดี กว้างขวางกว่าในรูปถ่ายเยอะเลย


    เมื่อเราเปิดห้องเข้าไป ผมถึงกับร้องโอ้ว.... เฮ้ย ห้องดีอ่ะ ดูสะอาด สบาย ใช้ได้ๆ ผมบอกกับน้องรูมเมทว่า...ดีแล้วที่ตัดสินใจเลือกห้องที่มีหน้าต่าง เห็นวิวสบายตา ได้สูดอากาศตอนเช้าๆด้วย (ตอนจอง โรงแรมมีให้เลือก ระหว่างห้องมีหน้าต่างกับไม่มี ราคาจะต่างกันราว 300-500 บาท )

    ก่อนแยกกันขึ้นห้องพัก เราทั้งสี่ ตกลงกันว่า จะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อเตรียมตัว แล้วจะออกไปหาอะไรกิน จากนั้นก็มุ่งหน้า ไปที่ อ่าวมาริน่า ไปยลโฉมสิงโตพ่นน้ำกัน


    ช่วงบ่ายจรดเย็นวันนี้ โปรแกมทริปของเราก็มี ไปเล่นคาซิโนที่ ตึกมารีน่า เบย์ แซนด์ เมื่อเราเสียงโชคจนหนำใจแล้ว เราจะขึ้นไปว่ายน้ำ ที่สระว่ายน้ำลอยฟ้า จิบไวน์กันที่The Sands Sky Park เสร็จแล้วเราจะลงมาหาอะไรกินกันที่ภัตตาคารสุดหรู สั่งไวน์มากินกันต่อ อาจจะสั่งกุ้งมังกรตัวโตๆมาแกล้มกับไวน์ซักตัวสองตัว เมื่ออิ่มแล้วค่อยออกมาเดินย่อย ช็อปของแบรนด์เนมจากทั่วโลก


    “พี่ๆ ไปกันได้แล้ว” เสียงเรียกของน้องรูมเมททำให้ผมสะดุ้งตื่นจากการม่อยหลับไปเมื่อครู่ ผมรีบเก็บของลงกระเป๋าสะพายใบเล็ก ที่ได้โหลดของจำเป็นจากเป้ใบใหญ่ ไว้ก่อนหน้านี้ แล้วรีบเปิดประตูตามน้องออกมาจากห้อง


    เอาล่ะ ผมขอดึงตัวเองกลับมาจากการฝันกลางวันเมื่อครู่ สิ่งที่บรรยายไปสามบรรทัดนั้น แค่มโนไปนะครับ


    ความจริงก็คือ โปรแกมทริปของเรามีเพียงย่านเดียวในช่วงบ่ายจรดค่ำนี้ แต่เรามีหลายสถานที่ที่ ต้องไปเยือนและเก็บภาพในโซนที่ว่า คือ Merlion Park / Singapore river cruise /โรงละคร Esplanade / ชมวิวตึกเรือMarina Bay Sands/สนามฟุตบอลลอยน้ำ ในอ่าวมารีน่า / Helix Bridge /Singapore Flyer/ Youth Olympic Center ทั้งหมดที่ว่ามานี้ เราเดินเท้าถึงและไม่เสียเงินค่าเข้าชม ส่วนใครจะขึ้นชิงช้าที่Singapore Flyer นั้น ค่อยว่ากันอีกที


    เมื่อเราทั้งสี่คนลงจากห้องพักพร้อมกัน ก็ปรึกษากันว่าจะกินอะไรดี ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า...ก่อนขึ้นรถเมล์ ไปสถานี MRT ขอกินข้าวเติมพลังก่อนได้ไหม เพราะตอนนี้เราหิวจนจะกินสิงโตเมอร์ไรอ้อนได้แล้ว...

    พวกเราจึงตกลงกันว่า จะหาอะไรกินแถวนี้ ทางผ่านมีอะไรให้กินก็ลุยโลด

    ผมนึกขึ้นได้ว่า ตรงสี่แยกมีร้านอาหารอยู่ร้านนึง ไม่รู้ว่า ราคาเป็นไงบ้าง “เดี๋ยวลองไปดูเนาะ” ผมบอกน้องๆ


    เมื่อทุกคนพร้อม พวกเราส่งยิ้มให้พนักงานหน้าเค้าท์เตอร์ เปิดประตูกระจกโรงแรมออกมา ผมได้ยินเสียงน้องคนหนึ่งท้วงขึ้นมาว่า.. “ พี่ เราซื้อซิมก่อนดีมั้ย” เออ ช่ายๆ เกือบลืมไปเลยว่าเรายังไม่มีเน็ตใช้ ซื้อซิมก่อนดีกว่า เผื่อจะต้องใช้ กูเกิ้ลวิวนำทาง พวกเราจึงเลี้ยวซ้ายเดินไปเซเว่นที่ตั้งอยู่ ข้างๆ โรงแรม


    จากการหาข้อมูลในรีวิว (เมื่อ2 ปีที่แล้ว)ก่อนมา ทุกรีวิวแนะนำให้ใช้ซิมค่าย singtel เค้าบอกว่า ราคาซิมจะอยู่ที่ 15 SGD จะได้เน็ต ประมาณ 1-3 GB ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของซิม (ซิมนักท่องเที่ยว มี อายุ ตั้งแต่ 3-30 วัน) แต่เอาเข้าจริงๆ เราได้รับการแนะนำจากพนักงานเซเว่น ให้ใช้โปรโมชั่นล่าสุด ของ Tourist sim - Singtel 4gราคาซิมอยู่ที่ 15 SGD มีอายุ 5วัน ได้เน็ต 100GB แถมโทรในสิงคโปร์ได้ 100 นาที โทรต่างประเทศได้ 30 นาที ในราคานี้ ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติม


    ผมร้อง “ป้าดดด” ออกมาคนแรกเลย คิดในใจ เน็ต 100GB จะใช้ยังไงหมด โอ้ยยย ดีแถ่ะ

    พวกเราตัดสินใจซื้อคนละซิม พนักงานเซเว่นขอพาสปอร์ต ของเราไปทำการ ติ้ตๆ ที่เครื่อง รับตังค์ แล้วช่วยเราใส่ซิมที่มือถือ เปิดบริการให้ด้วย (บริการนักท่องเที่ยวดีมาก)


    เราขอบคุณพนักงานแล้วออกมาด้วยอาการดีใจ มีเน็ตใช้กันแล้ว ผมได้ยินน้องๆที่มีไอโฟน ตื่นเต้นกับ สัญลักษณ์4g ที่เพิ่งปรากฏในมือถือตัวเองครั้งแรก (2ปีที่แล้ว 4gบ้านเรากำลังเพิ่งเริ่ม) แล้วพวกเราก็ทำการ โพสรูปลงเฟสบุ๊ค ผมลองใช้เน็ตค้นหาเส้นทาง โอ้ย...เน็ตแรงลื่นไหลดีแท้...

    เมื่อโพสเพส เทสเน็ตจนเป็นที่พอใจแล้ว เราทั้งสี่ก็เดินมาที่ป้ายรถเมล์ ผ่านสี่แยก แล้วก็พบกับร้านอาหารที่ตั้งอยู่หัวมุมถนน

    เราเดินตรงไปที่นั่นทันที


    เมื่อเห็นในระยะใกล้ พบว่า... ร้านมีลักษณะคล้ายๆ ร้านข้าวต้มบ้านเรา มีกับข้าวเป็นอย่างๆ ใส่หม้อและถาดใหญ่ๆ วางเรียงกันให้เลือก ก่อนหน้านี้เราตกลงกันแล้วว่าจะกินร้านนี้ จะถูกหรือแพง ก็แล้วแต่ดวงเลยละกัน

    ลุย!!!

    พนักงานเชิญให้พวกเรานั่งโต๊ะ พร้อมเอาเมนู อาหารมาให้เลือก พอไล่สายตาไปที่ราคาที่ติดไว้ ก็โล่งใจ โอเค ราคาไม่แพง แถมหน้าตาน่ากินอีกต่างหาก ในขณะที่น้องๆเลือกอาหารจากเมนู

    ผมขอตัวลุกไปเลือกอาหารที่ทำสำเร็จไว้แล้วดีกว่า เห็นหน้าตาอาหารแล้วชี้เอา ปลอดภัยที่สุด ผมชี้อาหารในหม้อใหญ่มา 2 อย่าง สองเมนูนี้ผมเล็งไว้ตั้งเข้ามาที่ร้านแล้วล่ะ...อย่างหนึ่งหน้าตาเหมือนจับฉ่ายบ้านเรา อีกอย่าง เดาว่าเป็นผัดหัวฝักกาด คิดว่าคงอร่อยไม่มากก็น้อย

    ต้องลองๆ

    เมื่อทุกคนสั่งอาหารครบที่ต้องการ ผมหันไปหาพนักงานพยายามสั่งน้ำเปล่า และก็น้ำแข็งแยกแก้ว เขาออกอาการงงๆ และพยายามบอกเราเป็นภาษามือว่า...ราคาน้ำเปล่าแพงกว่าอาหารนะ

    ผมพยักหน้าเป็นสัญลักษณ์บอกว่า “โอเคๆ เข้าใจๆ “


    พวกเรารอไม่นาน อาหารก็มาเสริฟที่โต๊ะ ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือว่ากลิ่นหอมชวนลิ้มรสกันแน่ เราทั้งหมดจึงลงมือจัดการอาหารตรงหน้าทันที เมื่อทุกอย่างบนโต๊ะหมดเกลี้ยง ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า รสชาติใช้ได้ “โอเคเลยนะพี่ อร่อย...เลยล่ะ “

    โอเค งั้นเรามาลุ้นกันว่า ราคาจะโอเคหรือเปล่า

    น้องคนหนึ่งส่งสัญลักษณ์ให้พนักงานรู้ว่าพวกเราต้องการเช็คบิล พนักงานรับทราบแล้วไปบอกลุงคนหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า น่าจะเป็นเจ้าของร้าน มาคิดตังค์

    ช่วงนี้ถ้าเป็นในหนังมันจะมีดนตรีระทึกประกอบอยู่หน่อยนึง คุณลุงมองไปที่จานอาหาร ส่งสายตาไปที่จานนั้น จานนี้ ในมือก็จดๆๆ ทำปากขยุบขยิบ พร้อมคิดเลขในหัว

    ตอนนั้น...มันคล้องจองกับเสียงในหัวผมมาก ต่อก ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อก ๆๆ

    เมื่อคุณลุงบอกราคา พวกเราคิดเลขออกมาเป็นเงินไทย ราว600 กว่าบาท ผมร้องเฮ้ในใจเลย โอ้ว...อาหารเยอะเต็มโต๊ะ แถมด้วยน้ำเปล่า น้ำแข็ง ราคานี้กินกันสี่คน ถือว่าไม่แพง


    เมื่อพวกเราจ่ายตังค์ ออกมาจากร้าน โลกที่อิ่มท้องดูมีพลังสดใส แล้วพลันสายตาผมก็เจอกับสิ่งที่ตามหามานาน 

    มินิมาร์ทแอบซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ในระหว่างช่องตึก...ขนาดมันเล็กมากๆ (ประมาณเซเว่นแถวสีลมบ้านเรา) มีป้ายเป็นภาษาซิงลิช สีแดง ติดไว้ที่หน้าร้าน ถ้าไม่สังเกตุดีๆ คงจะผ่านตาเราไปง่ายๆได้เหมือนกัน ถึงว่า...มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

    เราทั้งหมดเดินไปที่บ้ายรถเมล์ ระหว่างเดินผมหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปวิวข้างทาง แล้วก็ล้วงมือถือออกมาถ่ายสลับไปมา

    มันสวยจน อยากส่งรูปเข้าไปในไลน์ให้ใครคนหนึ่งดู

    แต่ไม่ดีกว่า....รถเมล์มาพอดี....

    จุดหมายต่อไปรออยู่ข้างหน้า....เก็บความคิดถึงใส่กระเป๋าไว้ก่อนนะ

    เลส’ ส โก...


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in