เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเมื่อเราไปเมืองสิงค์ ( in 2015)SnapDiary
Chapter 17 /เช็คอินที่ไม่เพลิน น้ำหนักเกิน เกือบไปซะแล้ว…
  • ก็อย่างที่บอกไปเมื่อตอนที่แล้ว...การเดินทางมาที่สนามบินด้วยแท็กซี่ในขากลับนั้น เราต้องจ่ายแพงขึ้น 

    แต่ก็แลกกับการได้มาลงตรงเทอร์มินอลของสายการบินที่จะกลับบ้านเลยไม่ต้องเสียเวลาต่อรถไฟระหว่างเทอมินอลมาลงที่นี่ ประหยัดเวลาได้ในระดับหนึ่ง (น้องคนหนึ่งถามผม ตกลงมันคุ้มมั้ยอ่ะพี่ ผมไม่ตอบอะไรน้องเค้า  แต่รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาแท็กซี่ )  

    เมื่อกรุ๊ปเราเดินเข้ามาในตัวอาคาร มองไปที่จอมอนิเตอร์ดูหมายเลขเที่ยวบิน พร้อมกับ สอดส่องสายตาไปทั่ว ไม่นานก็เจอกับช่องเชคอินสายการบินแอร์เอเชียที่ตรงกับบุกกิ้งนัมเบอร์เรา  เมื่อแน่ใจว่าใช่ ชัวร์ ขั้นตอนต่อไป คือ เราต้องเคลียร์ของฝากที่หิ้วพะรุงพะรังตั้งแต่เช้านี้ลงกระเป๋าให้หมดและต้องเฉลี่ยน้ำหนักถ่ายเทของให้พอเหมาะพอดีกับ กระเป๋าของคนในกรุ๊ป 

    ผมมองหาพื้นที่ที่จะเคลียร์ของพบว่า...มีผู้โดยสารที่มาก่อนจับจองพื้นที่บริเวณใกล้ที่เช็คอินหมดแล้ว บ้างก็นอนเล่นใกล้ปลั๊กไฟชาร์ตมือถือ บ้างก็จัดของไปร้องเพลงไปด้วย บางคนเล่นเกมในมือถือ บางคนงีบหลับ กรุ๊ปเราเลยต้องจำยอมถอยห่างออกไปจัดของอีกล๊อกหนึ่ง(ซึ่งก็ไกลจากที่เดิมเยอะเหมือนกัน)

    ผมและน้องๆ เปิดกระเป๋าพยายามยัดของฝากที่ซื้อมาลงกระเป๋าให้หมด และแบ่งของที่จำเป็นถือขึ้นเครื่อง เราใช้เวลาไม่นานทุกคนก็พร้อม  จากนั้นเราก็ไปต่อแถวเช็คอิน ชั่งน้ำหนักกระเป๋า

    แล้วสิ่งที่ผมกังวลก็เกิดขึ้น....  

    น้องคนแรกในทริปนั้น น้ำหนักกระเป๋าผ่านไปได้ด้วยดี  มันไหลผ่านเครื่องสแกนไปตามระบบแล้ว ( เฮ้!!!)

    แต่เมื่อถึงคิวผมซึ่งเป็นคนที่สองในกรุ๊ป  พนักงานที่เช็คอินทำหน้านิ่งเฉยไม่บอกไม่กล่าวอะไร ทุกอย่างหยุดนิ่ง 

    ผมงง น้องที่ต่อแถวต่อจากผมก็งง  

    ผมถามออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น นางก็นิ่ง ไม่พูดซักคำ(ตอนนั้นคิดว่า...หรือกูพูดภาษาอังกฤษไม่เข้าใจวะ)จนกระทั่งมีน้องคนไทยจากนอกแถวคนหนึ่งกระซิบผม“ พี่ น้ำหนักกระเป๋าเกิน “ ผมถึงเข้าใจ 

    อ๋อๆ ...คือเราต้องดูที่ตัวเลขน้ำหนักเองเว้ยถ้าเกินเป็นอันรู้กันว่า มึงรีบไสหัวเอากระเป๋าไปเคลียร์มาใหม่ น้ำหนักเกินโว้ยยยยแล้วรีบๆยกออกทันทีเลยนะจ๊ะ มันจะเสียเวลาคนอื่น  ฉันจะไม่พูดมากนะ เจ็บคอ อะไรประมาณนี้

    “โอ๋ย....ใครจะไปรู้ บอกซักคำก็ได้ดอก “ผมบ่นกับน้องที่ต่อแถวหลังผมทั้งสองคน ที่ต้องออกจากแถวตามผมมาทั้งหมด  กรุ๊ปเราเหลือกระเป๋าอีกแค่ 2ใบให้แชร์ เลยยกขบวนกลับมาเคลียร์ของใหม่ เราเคลียร์กันอยู่นานสองนานมองหาเครื่องชั่งน้ำหนักหยอดเหรียญแบบบ้านเราก็ไม่มีเสียด้วย 

    พอเจอเข้าอย่างนี้ ก็แอบคิดถึงตอนไปซื้อของเตรียมตัวมาที่นี่ ผมอ่ะเห็นเครื่องชั่งขนาดเล็กแบบแขวน เค้าวางขายที่ขอนแก่นว่าจะซื้อมาด้วย แต่ก็คิดว่า เออเราไม่ได้เป็นนักช็อปขนาดนั้นคงไม่จำเป็นหรอกม้างงง เป็นไงล่ะที่นี้...ตอนนี้จะทำยังไงดีเนี่ยผมคิดไปพลางจัดกระเป๋าไป ลุ้นสุดๆ ใจคอไม่ดีเลย ของฝากตัวเองก็เยอะ หากน้ำหนักมันเกินจริงๆ ต้องตัดใจทิ้งเสื้อผ้าแล้วจะทิ้งลงมั้ย (ฮื้อ)  ซื้อน้ำหนักกระเป๋าใหม่ก็ไม่คุ้ม (เท่ากับซื้อตั๋วใหม่เลย)


    ผมกับน้องผู้หญิงอีกสองคนง่วนอยู่กับกระเป๋าอยู่นานสองนานกระทั่งได้ผู้เชี่ยวชาญ(น้องที่น้ำหนักกระเป๋าผ่านคนแรก) ในการคาดคะเนน้ำหนักกระเป๋า มาช่วยเหลือแบบเดาๆอย่างมีหลักการนิดหน่อยซึ่งวิธีของน้องเค้า คือ….เค้าจะจับกระเป๋าพร้อมกันสองมือแล้วแยกขาออกให้กระเป๋าอยู่ตรงหว่างขา นับ หนึ่ง สอง สามแล้วลองยกขึ้นให้เลยเอวถ้าน้องเค้ายกไหว แสดงว่า น้ำหนักพอได้ (เออ….สูตรคาดคะเนอะไรของน้องมันวะเนี่ย)

    สุดท้ายกรุ๊ปเราก็ได้เช็คอินครบน้ำหนักกระเป๋าผ่านไปแบบฉิวเฉียด ปานนักมวยชั่งน้ำหนักขึ้นชกบนสังเวียน  เฮ้!!!!!!

    เมื่อเราได้บอร์ดดิ้งพาส มาอยู่ในมือกันครบทุกคนก็ถึงเวลาที่เราจะไปต่อ  พอทุกอย่างลงตัวความหิวก็เคลื่อนตัวเข้ามาหาเราอย่างฉับพลัน  ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน “หาอะไรกินกันเถอะพี่” 

    ผมนึกย้อนกลับไป เออ….นี่เรายังไม่ได้กินอะไรหลังจากมื้อเช้าเลยนะ สุดยอดไปเลย การเดินทางเที่ยวแบบรีบๆ นี่มันทำให้เก็บความหิวไว้ทีหลังได้ดีเลยแฮะแล้วก็ไม่มีใครแวะเซเว่นด้วยนะ  ป้าด เราทนหิวกันมาได้ไงเนี่ย ตั้งหลายชั่วโมงผมหันไปบอกน้องๆ พร้อมกับได้คำตอบจากทุกๆ คนว่า”ไม่ต้องพูดเยอะ เลสโกวๆ  หิวจนตาลายแล้วเนี่ย”

    เราทั้งหมดจึงพร้อมใจกัน  ยื่นบอร์ดดิ้งพาส ผ่าน ตม.เข้ามาในบริเวณทางเดินไปเกทขึ้นเครื่อง  

    ภาพแรกที่ผมเจอ โอ้โหดิวตี้ฟรีแลนด์จ้า..ใหญ่โต กว้างขวาง  มีร้านช็อปแบรน์เนมต่างๆเรียงรายจนสุดตา นี่มันสวรรค์ของนักช้อปเลยนะเนี่ย (ซึ่งมันมาพร้อมกับ การเดิน และวิ่งที่ไกลมาก กว่าจะถึงเกตขึ้นเครื่อง)


    เราทั้งหมดพักภาพร้านรวงที่อยากจะช็อปไว้ก่อนแล้วมองหาร้านอะไรก็ได้ ที่มีอาหารให้เราเติมพลัง กรุ๊ปเราเดินมาไม่นานก็เจอกับ ร้านอาหารขนาดย่อมที่มีรูปภาพอาหารติดโชว์ไว้หลากหลายเมื่อมองไปที่ป้ายราคานั้นพอไหว  จ่ายได้ๆ( ชื่อร้านอะไรไม่รู้ หิวจนไม่ถ่ายรูป ไม่จำด้วยว่าชื่ออะไรเราจึงไม่รีรอที่จะเลี้ยวเข้าไป


    พอเข้ามาในร้าน ผมก็ร้องบอกน้องๆ   ฮ้า!!!  ในที่สุดก็เจอ… “กระยาโทส สิ่งที่อยากลอง”  น้องผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น “มันจะเวิร์คมั้ยพี่ มากินอาหารซิกเนเจอร์ที่สนามบิน ผมซึ่งรู้อยู่แล้วว่า ถ้ากินที่นี่มันคงไม่ได้รสแบบออริจินอลหรอกแต่ก็ทำไงได้ “ดีกว่าไม่ได้ลองชิมอ่ะเน๊อะ   ผมตอบน้องออกไป


    ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พบว่า….เราทั้งหมดทำเวลาได้ดี ยังเลือกอีก 1.5 ชั่วโมงกว่าเครื่องจะออก เราเลยตกลงกันว่าพอกินข้าวกินปลาเสร็จ  ค่อยเดินดูของในดิวตี้ฟรี ระหว่างทางไปเกทเรื่อยๆเนาะ เวลาคงทันกันพอดี

    น้องๆตกลง 

    กรุ๊ปเรามองหาโต๊ะว่าง ไม่นาน ก็ได้โต๊ะที่อยู่ในจุดที่วิวดีเลยทีเดียว มันตั้งอยู่ติดกระจก มองเห็นลานบินประดับไฟในยามค่ำสวยงาม  โอ้ยดีงามพระรามสิงค์ อะไรเยี่ยงนี้ ผมหันไปบอกน้องๆเราหัวเราะกันแล้วแยกย้ายไปซื้ออาหาร


    ผมซื้อกระยาโทสพร้อมกับข้าวยำมากิน พบว่ากระยาโทสนั้นเป็นไปตามคาด รสชาติพอได้ แต่ไม่ประทับใจ ส่วนข้าวยำนั้น ที่ศูนย์อาหารที่ห้างวิโว้รสชาติดีกว่าเยอะ  (มีน้องคนหนึ่งบอกผมว่า  ไอ้ที่เรียกว่า กระยาโทสอ่ะ แบบนี้ กินที่ไหนรสมันก็ไม่ต่างกันหรอกพี่เหมือนกินขนมปังปิ้งกับไข่ลวกที่บ้านเลย  ) แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนดื่มกาแฟจะรู้ดีว่า คาเฟอีนนั้นจะเยียวยาทุกสิ่งให้เข้ากันได้อาหารมื้อนี้กลมกล่อมเพราะได้กาแฟเย็นรสเข้มหนึ่งแก้วมาดื่ม


    เราใช้เวลาไม่นาน ท้องก็แน่น อิ่มได้ที่ เรอไปหลายครั้งอยู่เหมือนกัน


    เมื่อท้องอิ่ม ทุกคนก็พร้อมที่ออกเดินไปที่เกท ป่ะไปใช้เงิน ดอล์ล่าสิงค์ให้หมด อย่าให้เหลือถึงดอนเมืองไว้ลายไทยแลนด์แดนนักช็อปกัน ผมหันมาเล่นมุขกับน้องๆแล้วเดินออกมาจากร้าน  (ทุกคนเงียบกริบ ไม่รับมุขผมเลย ฮื้อ..อออ)


    เมื่อเดินออกมาจ้าร้านอาหาร แล้วแยกย้ายกัน ต่างคนต่างเดินเขาออกร้านโน้นช้อบนั้น ช็อปนี้ไปเรื่อง กระทั่งน้องคนหนึ่งมาสะกิดผมบอกว่า”พี่เราลืมไปแลก TEX เอาเงินภาษีคืน”


    “เออ…..ช่ายลืมได้ไงวะเนี่ย ซื้อของตั้งเยอะ ต้องใช้สิทธิ์  “ ผมขอบคุณน้องที่เตือน แล้วชวนกันไป เดินหาช่องรับเงินภาษีคืนซึ่งการหาไอ้เจ้าช่อง(เคาท์เตอร์)ที่ว่านี้ นั้นยากยิ่งนัก เสียเวลาไปเกือบครึ่งชัวโมงเลยล่ะ นี่ถ้าไม่โชคดีเจอกรุ๊ปแอร์สายการบินไทยแสนสวยเราคงหามันไม่เจอหรอกว่าอยู่ตรงไหน (พี่เล่นไปแอบอยู่ลึกมากกกกก)

    พอผมแลกเงินภาษีกลับมาได้แล้ว….ตั้งใจว่าจะกลับไปสอยรองเท้า อาร์ดิดาสซุบเปอร์สตาร์ที่เล็งไว้ก่อนหน้าที่น้องมาสะกิดไหล่( ตอนปี 2015 ที่บ้านเรายังต้องพรีออร์เด้อรองเท้ารุ่นนี้เข้ามาขาย  ราคาไม่เบาเลยนะ)

    กำลังจะก้าวขามุ่งไปที่ช้อปแล้วเชียว  น้องคนหนึ่งร้องบอกออกมาว่า พี่!!!  ไม่ทันแล้ว…เหลือเวลาอีก 10 นาทีเอง” ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู ชะงักกับเข็มเวลาชี้บอกเล็กน้อยเออ..จริงด้วย  โอ้ย….เสียดาย ไม่เอาก็ได้” ผมบอกน้องที่เตือน แบบเซ็งๆ

    หลังจากนั้น กรุ๊ปเรากึ่งวิ่งกึ่งเดิน  พาตัวเองมาที่เกทสำเร็จทันเวลาแบบพอดีเป๊ะ  เราทั้งหมดได้นั่งพักเหนื่อยราว  5 นาที ได้ถ่ายรูปเซลฟี่รวมหมู่นิดหน่อยก็ได้ยินเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่อง

    ผมหันไปมองพื้นที่ และเก้าอี้ข้างหลังที่เพิ่งลุกอกมาส่งสายตาไปยังพื้นที่ ที่เพิ่งวิ่งผ่านมา คิดถึง อาร์ดิดาสซุปเปอร์สตาร์ที่พลาดไป(ค่อยกลับไปพรีที่ไทยก็ได้ เช๊อะ!) คิดถึงอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่นี่  คิดถึงสถานที่ที่ยังอยากอยากเที่ยวต่อ คิดถึงเธอคนนั้นที่อยากชวนมาที่นี่

    ไว้มีโอกาศจะกลับมาใหม่นะ

    ผมทิ้งประโยคหนึ่งในใจไว้ที่นี่ และเดินตามน้องๆขึ้นเครื่องไป       


     

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in