เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เป็นพ่องงง ได้อะไรมากกว่าที่คิดพรี่หนอม
06 : ยอมรับ?
  • ความคาดหวัง เป็นรากฐาน ของความโศกเศร้า ทั้งมวล


    “Expectation is the root of all heartache.”

    William Shakespeare



    ---


    อย่างที่บอกไปว่าตำราโหราศาสตร์ประจำเดือนตุลาคมนั้น บอกไว้ว่า เกิดวันเสาร์ที่ 22 กับวันจันทร์ที่ 24 ตุลาคมนั้น เป็นวันฤกษ์ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็น่าจะเป็นวันพุธ ถือว่าเป็นวันอธิบดี

    ถ้าหากใครสักคนจะเกิดมา เราย่อมอยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด…


    ---


    “อายุครรภ์ครบ 40 สัปดาห์คือวันที่ 26 ตุลาคมนะครับ” หมอแจ้งให้ทราบไว้ พร้อมกับกำชับว่าคลอดได้ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคมเป็นต้นไป (ครบ 38 สัปดาห์)

    ด้วยความห่างไกลของระยะทาง ด้วยความลำบากในการเดินทางมาโรงพยาบาลของภรรยา ทำให้วันที่ 24 ตุลานั้นถือว่าค่อนข้างเสี่ยงเอาการ ถ้าหากคลอดก่อน เธอจะเดินทางมายังไง ถ้าหากกลางดึกดืนเกิดเรื่อง ผมจะรีบไปทันหรือไม่??

    “เอาแบบนี้ละกัน หมอนัดอีกทีวันที่ 15 นะครับ เดียวมาดูกันว่ายังไง” คุณหมอให้กำลังใจทำนองว่าว่าจะไหวหรือไม่ไหว เดี๋ยวอยู่ถึงค่อยว่ากันอีกที

    ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมเป็นต้นมา ผมว่าไม่มีคืนไหนที่ผมนอนหลับสนิท ทุกคืนก่อนนอนจะกลัวว่าเมียจะโทรมาบอกว่า “น้ำเดินแล้วจ้า” หรือไม่ก็ “ตัวเอง เค้าถึงโรงพยาบาลแล้วนะ” แบบนี้มันทำให้ใจสั่นและเครียดอยู่ไม่ใช่น้อย

    เราอดทนผ่านพ้นมาจนถึงวันที่ 15 ผมกลั้นใจถามหมอไปตรงๆว่า “โทษครับ หมอคิดว่าจะอยู่ถึง 24 ได้ไหม”

    “ไม่น่านะ” หมอตอบตรงๆ “เผลอๆ 22 ก็อยู่ไม่ถึงด้วยแหละนะผมว่า” คำพูดเน้นย้ำอีกครั้งทำให้เราต้องตัดสินใจเปลี่ยนวันเป็นวันที่ 19 ตุลาคมจนได้



    ถึงแม้โลกนี้จะมีวันที่ดีที่สุด 
    แต่มันอาจจะไม่ใช่วันของเราก็ได้นะ


    ---


    “ถ้าต้องเลือกระหว่างงานที่รัก กับคนที่รัก เราควรจะเลือกอะไร” คำถามตามเวปคอมมูนิตี้ชื่อดังมักจะมีอะไรให้เราตรวจสอบความต้องการของตัวเองอยู่เสมอๆ

    “ทำไมต้องเลือกล่ะคะ เอาทั้งสองอย่างไม่ได้เหรอ” คำตอบในใจ หรือ คำตอบที่เห็นมักจะเป็นแบบนี้ แต่ถ้าหากลองคิดดีๆ คำถามนี้เค้าให้เราเลือก… เพราะเค้ารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ไง ถ้าได้ใครก็อยากจะเอาทั้งอย่างอยู่แล้วล่ะครับ

    ผมค่อนข้างคิดหนักกับคำถามนี้ เพราะชีวิตที่เราต้องการ มันต้องสูญเสียอะไรหลายๆอย่างไม่มากก็น้อย เพียงแต่เราเลือกที่จะยอมสูญเสียมันเพื่อเลือกสิ่งที่สำคัญกว่า

    เพราะในช่วงชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้นทำงานจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมเลือกนั้นมีผลกระทบหลายๆอย่างกับชีวิต บางเรื่องก็ไม่สามารถเอาทั้งสองอย่างได้ บางเรื่องก็เสียไปหมดทั้งสองอย่าง และอีกหลายๆเรื่องก็เสียดายที่น่าจะเลือกอีกอย่างมาแทนที่



    บางครั้งความเจ็บปวดของการผิดหวัง 
    มันคงเป็นอีกหนึ่งรสชาตของชีวิตล่ะมั้ง 


    ---


    "เราไม่อยากมีชีวิตแบบนี้หรอกนะ" ผมเคยสารภาพตรงๆกับภรรยา สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกสำหรับความรักและการจัดการระยะไกลทั้งหลาย มันจึงไม่แปลกที่ใครมักจะตั้งคำถามเมื่อได้ฟังเรื่องของเรา

    ถึงแม้ผมจะชอบตอบอย่างกวนตีนหรือมั่นใจตามประสา แต่บอกตรงๆว่าทุกครั้งในใจก็รู้สึกไม่ใคร่จะดี เราจะมีชีวิตที่ดีได้เหรอ ทำไมเราไม่สามารถเป็นอย่างคนอื่นเขาได้ หรือเราต้องยอมเสียสละ เขาต้องยอมเสียสละ แล้วถ้าเสียสละแล้วมันไม่ดีล่ะ ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เราจะอยู่โดยการกล่าวโทษกันและกันต่อไปแบบนั้นเหรอ?

    ถ้าเลือกได้ ผมก็อยากมีชีวิตแบบปกติอย่างที่ใครหลายคนเป็นและอยากให้เป็น แต่เพราะผมรู้ว่าวันนี้ผมเลือกไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะทำให้ชีวิตผมมีความสุขที่สุดในทางเดินชีวิตที่ใครหลายคนมองว่าไม่ปกติสักเท่าไร แต่ผมคิดว่าทางที่ผมเลือกในตอนนี้ให้ความสุขกับผมมากที่สุดแล้วล่ะ


    ผมอาจจะมีรูปแบบชีวิตไม่ปกติ
    แต่ผมสามารถมีความสุขได้ตามปกติไม่ใช่เหรอ?


    ---



    วันที่ 5 และ 6 เป็นวันที่ทั้งผมและภรรยาพยายามเต็มที่ที่จะเรียนรู้วิธีการทั้งหมดในการเลี้ยงเด็กทารกให้ดีที่สุด เพราะวันพรุ่งนี้คือวันที่เราต้องออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับมาอยู่ที่คอนโดสักที

    ตอนอยู่โรงพยาบาลยังไงก็ปลอดภัยกว่าแน่ๆ ถ้ามีปัญหาอะไรเราก็สามารถเรียกให้เขามาช่วยได้ พยาบาลพร้อม อุปกรณ์ครบ สำลี แพมเพอร์ส ที่อาบน้ำ ทุกอย่างสำหรับเด็กน้อยดูเหมือนจะเพอร์เฟคส์และง่ายดายไปเสียหมด ซึ่งในใจผมรู้ดีว่า มันคงแตกต่างจากคอนโดที่เรากำลังจะย้ายเข้าไปในวันที่ออกจากโรงพยาบาลแน่ๆ

    ผมตัดสินใจซื้อคอนโดใหม่เพื่อใช้สำหรับเลี้ยงลูกโดยเฉพาะ ส่วนหนึ่งต้องการจัดสรรความเป็นส่วนตัวและความสะดวกในการเลี้ยงลูกให้กับภรรยา อีกส่วนมาจากความต้องการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆให้กับตัวเองเพื่อเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น

    ตั้งแต่รู้ว่าภรรยาตั้งครรภ์ได้ 2 เดือนกว่าๆ ผมกับภรรยาตั้งใจดูคอนโดในพัทยานับสิบโครงการ เดินหา เช็คทำเลต่างๆ ตั้งแต่ท้องยังไม่ออกมาจนท้องโย้แล้วก็ยังไม่ได้

    ประเด็นไม่ใช่อะไร ติดอยู่เรื่องเดียวนั่นคือ ราคามันแพงไปหน่อยเท่านั้นแหละ #เหม็นสาปคนจน จากการสำรวจไปๆมาๆ ราคาคอนโดในพัทยามันช่างเติบโตอย่างว่องไว ราคาพอๆกับคอนโดในกรุงเทพกันเลยทีเดียว

    กว่าจะได้คอนโดที่ลงตัวที่สุดสำหรับเราทั้งสองคน มันก็ปาไปจนอายุครรภ์ 8 เดือนกว่าๆ ห้องที่ทำไว้ก็ยังไม่เรียบร้อยดี เหลือขาดนู่นนิด ขาดนี่หน่อย แต่เราก็คิดว่ามันคงต้องค่อยๆปรับเอาแหละเมื่อเราเข้าไปอยู่

    “อย่าไปคาดหวังว่าชีวิตมันจะดีอะไรมาก ขอให้เพียงแค่อยู่ได้ มีกิน แบบนี้ก็โอเคแล้วป่ะวะ” ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งที่บอกไว้ในตอนที่เขามาเยี่ยมลูกของผม


    ---


    “ระวังโรคซึมเศร้าหลังคลอดไว้บ้างก็ดีนะ” มิตรสหายหลายท่านเตือนมาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งโรคนี้เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน บวกกับความเครียดที่เกิดขึ้นหลังจากที่ต้องดูแลลูกน้อย

    “เราจะมีวิธีป้องกันยังไงบ้าง” ผมถามครูเปิ้ล เพื่อนรักนักจิตวิทยา
    “แกแค่ดูแลเมีย ช่วยเหลือ ทำให้อารมณ์ดีก็พอแล้ว” ครูเปิ้ลแนะนำมาง่ายๆ แบบที่ใช้ได้จริง

    ถ้าพูดว่าการมีลูกนั้นไม่ทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปเลย คงเป็นคำพูดที่อวดโอ้เกินไปเสียหน่อย สำหรับผมแล้วมันเปลี่ยนแปลงความคิดและความรู้สึกของผมไปค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิตใจที่ต้องเข้มแข็งขึ้น ในแง่ของการจัดอารมณ์ของตัวเอง การเรียนรู้ต่างๆที่ต้องเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เพื่อให้สามารถจัดการงานและเรื่องอื่นๆได้ดีขึ้น ไปจนถึงเรื่องเงินทีต้องวางแผนมากขึ้น และการแบ่งเวลาที่ต้องจัดการ ทุกอย่างมันช่างแตกต่างไปจากเดิม

    “กูไม่กลัวเมียกูเป็นซึมเศร้าหรอกนะ กูกลัวกูจะเป็นเองนี่แหละ” ความเครียดที่รุมเร้าผมในช่วงปรับตัวและความกดดันตัวเองที่มากเกินพิกัด ทำให้ผมแอบนึกแบบนี้อยู่ในใจลึกๆ


    ---


    “ดีใจด้วยนะคะ คุณพ่อคุณแม่อาบน้ำน้องได้แล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ มาตามที่คุณหมอนัด แค่นี้ก็จบแล้ว” พยาบาลให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่มือใหม่อย่างสุดฤทธิ์

    “เดี๋ยวไปเคลียร์เอกสารเรียบร้อยก็ออกได้เลยค่ะ” พยาบาลประจำวอร์ดแจ้งว่าให้ไปชำระเงินแล้วเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว

    วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว 6 คืน กับ 6 วัน เหมือนเวลาทั้งหมดนั้นหยุดหมุน ผมรู้สึกว่าทุกๆวันช่างมีเรื่องให้เรียนรู้ใหม่อยู่เสมอ โดยเฉพาะสองคืนหลังที่เราเอา “ลูก” มาอยู่ด้วยบนห้อง ทำให้เรารู้ว่า ต้องตืนกันหลายครั้ง และชีวิตที่อดหลับอดนอนนั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

    “น้องแต่งตัวเสร็จแล้วนะคะ มารับได้เลยค่ะ” รถเข็นพาภรรยาของผมนั่งไปที่ห้องเนอสเซอรี่เพื่อไปรับลูกของเรา ส่วนผมนั้นรับหน้าที่ไปเอารถมารับเธอที่หน้าตึกผู้ป่วย

    ระหว่างที่เดินไปยังที่จอดรถ ผมนึกถามตัวเองอยู่ในใจขึ้นมา
    “เราพร้อมจริงๆหรอวะที่จะมีลูก”

    ก่อนที่จะตอบตัวเองในทันควันว่า
    “เชี่ยยย ไม่ทันแล้วล่ะมึง” 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in