เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เป็นพ่องงง ได้อะไรมากกว่าที่คิดพรี่หนอม
10 : ห่างไกล?
  • ตั้งแต่รู้ตัวว่ามีลูก... ผมตัดสินใจขอลางานประจำ 1 เดือนเต็มๆ มาเพื่อทำภารกิจเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ณ จุดนี้ต้องกราบขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ และเจ้านายใจดีที่ให้โอกาสได้ทำตามความฝันด้วยครับ (เหรอ)

    แต่ถ้าใครได้อ่านหลายๆตอนที่ผ่านมา จะรู้ว่าชีวิตผมนั้นต้องมีการเดินทางอยู่เสมอ แบบว่าเลี้ยงลูกอยู่พัทยา แต่มีหน้าที่การงานที่กรุงเทพ ดังนั้นหลังจาก 1 เดือนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเขา ผมจะต้องปล่อยเด็กชายตัวน้อยนี้ให้เติบโตเพียงลำพัง ไม่สามารถอยู่ดูเค้าเติบโตได้เหมือนทุกวันนี้ (เปล่าหรอกครับ จริงๆคือแม่มันเลี้ยง ส่วน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมรับผิดชอบ ผลัดๆกันไป #บัย)

    “หมด 1 เดือนนี้คงคิดถึงลูกแย่” มิตรสหายหลายคนกล่าวสบประมาทไว้ โดยเฉพาะพวกพี่ๆที่มีประสบการณ์ต้องทำงานไกล เหินห่างจากลูกทั้งหลาย ยิ่งพูดขู่ให้กลัวกันเข้าไปใหญ่

    “ร้องไห้แน่นอน ไม่ต้องสืบ” เพื่อนสนิทอีกจำนวนหนึ่งถึงขั้นท้าผม บอกว่ามึงต้องผ่านความรู้สึกนี้ไปไม่ได้แน่ๆ ผม (ในตอนนั้น) ยิ้มรับ แล้วบอกตัวเองว่า ไม่หรอก เราต้องผ่านไปให้ได้ (สะบัดผมเชิดหน้าใส่ เพื่อบอกว่ากูนี้เท่แค่ไหน #ถุย)

    ณ วันนี้ที่กำลังเขียนอยู่ วันเวลาผ่านมาเกินครึ่งเดือนแล้ว ผมเหลือเวลาอีกประมาณ 10 วันกว่าๆ ที่จะต้องกลับไปทำงานทำการและหน้าที่ตามปกติ

    ผมไม่รู้หรอกว่า ณ วันนั้นมันจะเป็นอย่างไร รู้สึกแบบไหน แต่ผมได้เจอบททดสอบมาแล้วหนึ่งครั้ง ในช่วงเวลาสั้นๆ เลยอยากบันทึกไว้ให้ตัวเองได้กลับมาอ่านอีกทีเมื่อวันนั้นเดินทางมาถึง…


    ---


    อาทิตย์ก่อนหน้านี้ ผมมีเรื่องให้ต้องเข้ากรุงเทพ อันดับแรก คือ ไปอบรมเตรียมสอบตำแหน่งใหม่จำนวนสองวัน และเข้าไปเคลียร์ภารกิจอีกหลายเรื่องในช่วงนั้นพอดี เลยถือโอกาสไปจัดการให้เรียบร้อยในช่วงสุดสัปดาห์นี่แหละ #สองวันเพื่อฝันอันยิ่งใหญ่

    ผมแพลนออกจากคอนโดในตอนเช้าตรู่วันเสาร์ และกลับมาอีกทีคืนวันอาทิตย์ ผมคิดในใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่ต้องออกห่างจากลูกน้อย ตลอดเวลา 10 วันกว่าๆที่อยู่กับเขามา ไม่มีตอนไหนเลยที่ผมอยากจะอยู่ห่างจากเขา (ยกเว้นตอนมันร้องไห้ไม่หยุด กับเรียกหาแต่นมแม่นี่แหละ หึ!)


    “เธอว่า เราจะคิดถึงลูกไหมวะ” ผมเอ่ยปากถามภรรยาแบบขำๆ
    “เดี๋ยวถ่ายรูปส่งไปให้ดูเยอะๆนะ” เธอตอบกลับมาสั้นๆแบบว่ามึงไม่รอดแน่


    ขับรถออกมาจากคอนโดไม่ถึงสามกิโล ผมโทรหาเมียแล้วถามว่า “ลูกเป็นยังไงบ้าง”
    เมียตอบกลับด้วยความเกรงใจ “นอนอยู่เหมือนเดิม นี่เพิ่งออกไปเองนะ” ซึ่งความหมายของข้อความนี้คือ “ลูกน่ะไม่ได้เป็นไรหรอก แต่มึงน่าจะเป็นบ้า” 


    อาห์… ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้วสินะ


    ---


    “เป็นไงคุณพ่อมือใหม่”
    “ได้นอนไหม โอเคหรือเปล่า”
    “ไม่เห็นเอารูปน้องมาให้ดูเลย”
    ฯลฯ

    เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ทำงานกล่าวแซวตามประสา ผมแชร์ประสบการณ์ไปบ้าง พูดขำๆบ้าง ในใจก็คิดถึงลูกน้อยว่าจะเป็นยังไง ภรรยาของผมจะเหนื่อยไหมเพราะว่าเธอเพิ่งผ่าคลอดมาได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ คิดไปคิดมาก็เริ่มรู้สึกว่า เราน่าจะอยู่ให้นานกว่านี้ค่อยกลับมานะเนี่ย

    แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ มันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบอย่างที่ใจเราคิดหรอก ผมนึกสัพยอกตัวเองในใจ จากคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีลูก และไม่เคยคิดว่าจะต้องมีชีวิตที่เต็มไปด้วยการเดินทางแบบนี้ อยู่ๆ มันกลายเป็นชีวิตแบบนี้ได้ยังไงกันวะ

    แต่มันก็สนุกดีเหมือนกันนะ...


    ---


    ช่วงบ่ายแก่ๆของวันเสาร์ ผมขับรถกลับมาถึงบ้าน รีบไปกราบสวัสดีงามๆ กอดพ่อ กอดแม่ นั่งคุยเรื่องราวที่ผ่านมา (ของหลานล้วนๆ - -”) และอัพเดทให้ฟังหลังจากที่แม่เพิ่งไปเยี่ยมหลานมาเมื่อวันก่อนว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

    หลังจากพูดคุยเป็นที่เรียบร้อย ก็มาอยู่ในช่วงสาระ ได้เวลาจัดการงานการที่คั่งค้างต่างๆ ไปจนถึงกองเอกสารที่ส่งมาถึงบ้านเกือบหนึ่งลัง ทั้งหนังสือที่สั่ง เอกสารภาษีอีกมากมาย ฯลฯ

    ตั้งแต่เด็กๆ ผมเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน ถ้าหากไม่มีธุระอะไรไปไหนจำเป็นจริงๆ ผมมักจะเลือกอยู่บ้าน อ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำอะไรอยู่เงียบๆคนเดียวในห้องมากกว่า (ซึ่งนิสัยนี้ก็ติดมาจนถึงทุกวันนี้) และไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน

    ถ้านิยามของบ้านที่ดี คือ ความสะดวกสบาย ความหรูหรา ความใหญ่โตโอ่อ่า บ้านของผมอาจจะไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าแบบนั้น …

    แต่ถ้าหากนิยามของบ้านคือความอบอุ่นและความสุขที่ได้รับ ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา 30 ปีกว่าๆ ผมได้รับมันจนเรียกได้อย่างเต็มปากว่า “บ้าน” เหมือนกัน


    ---


    คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นคืนแรกในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผมไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกทุกๆ 3 ชั่วโมง แต่เป็นคืนที่ผมนอนไม่ค่อยหลับเพราะสะดุ้งตื่นตอนตี 4 และตี 5 (ซึ่งเป็นเวลาประจำที่ต้องตื่น) โอวว์ นี่มันฝันร้ายของคุณพ่อมือใหม่ชัดๆ ขนาดคืนที่มีโอกาสหลับก็ยังนอนไม่หลับอีก

    เช้าวันอาทิตย์หลังจากไปทำงาน เคลียร์อะไรเรียบร้อยแล้ว ผมกลับบ้านไปกินข้าวเย็นกับที่บ้าน นั่งคุยและฟังแม่แนะนำเทคนิคการเลี้ยงลูกตามประสาไปเรื่อยๆ

    ผมคุยถึงเป้าหมายชีวิตและอนาคตให้แม่ฟัง การเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นเร็วๆ การใช้ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนแปลงไป ไปจนถึงความคิดที่จะทำอะไรบางอย่างเพิ่มเติม

    แม่รับฟังปัญหา ให้ความเห็นตามประสา #แม่ก็คือแม่ ก่อนที่ผมจะลากลับไปทำหน้าที่เลี้ยงลูกต่อ ทั้งแม่และพ่อก็พร้อมใจบอกกับผมโดยมิได้นัดหมายว่า

    “ขับรถดีๆนะลูก”
    … ไม่ว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน เราก็ยังเป็นเด็กน้อยในสายตาพ่อแม่อยู่ดี


    ---


    ความห่างไกล มักถูกใช้เป็นบททดสอบความรักของหนุ่มสาว และแน่นอนว่าหนุ่ม (แก่) อย่างผม ถึงแม้จะผ่านเลยช่วงเวลานั้นมาแล้วก็ตาม แต่ประสบการณ์ทั้งหลายก็ทำให้เข้าใจความรักมากขึ้น (มั้ง)


    แต่สำหรับครอบครัวแล้ว ความห่างไกลมันมีค่ามากกว่านั้น เพราะว่ามันไม่ใช่แค่บททดสอบความมั่นคงในความรัก มันไม่ใช่เพียงบททดสอบความสัมพันธ์ แต่มันคือที่ๆบอกให้เรารู้ว่า


    ในความห่างไกลนั้น
    ….เรายังมีที่แห่งหนึ่งให้กลับไปเสมอ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in