เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Lilith: Death's OrderAki_Kaze
บทที่ 22 รอคอยอย่างใจเย็น
  • บทที่ 22

    รอคอยอย่างใจเย็น

     

     

                ชีวิตไม่ได้เข้าข้างเราเสมอไป เชื่อเถอะ มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ขนาดสิ่งที่ฉันคิดว่าแน่นอน มันยังมีตัวแปรบางอย่างที่ทำให้ไม่เป็นไปตามที่คาดคิด ใช่ ฉันกำลังพูดถึงเรื่องการควบคุมตัวฆาตกร จำได้ไหมว่าสิ่งที่ฉันเห็นล่าสุดคือตอนที่เขาถูกควบคุมตัว ฉันคาดหวังว่าตอนได้กลับไปที่โลกคนเป็น จะเห็นเขารอรับคำตัดสิน

                แต่ที่ไหนได้...เขากลับรอด

    ตำรวจไม่สามารถติดต่อไอลีนเพื่อมาชี้ตัวได้ และการตรวจค้นรถยนต์ของเขาก็ไม่มีอะไรต้องสงสัย นอกจากภาพสเก็ตคนร้ายก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าเขาเป็นคนร้ายในคดีของไอลีน หลักฐานที่เก็บจากร่างกายของไอลีนก็ไม่มีอะไรสาวไปถึงตัวตนของคนร้าย และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะบ่งบอกว่าเขาเป็นนักแกะสลัก อีกอย่างคือเจสซิก้าเองก็ให้การว่าแฟนของเธออยู่กับเธอในคืนเกิดเหตุของไอลีน เมื่อไม่มีทั้งหลักฐานและพยานยืนยัน ก็ไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้ ส่วนสาเหตุที่พวกเขาย้ายบ้านเป็นเพราะฝ่ายชายลาออกจากที่ทำงานและจะตัดสินใจกลับไปอยู่บ้านเกิดของฝ่ายหญิง

    ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้

    ที่ฉันรู้ข่าวของฆาตกรเป็นเพราะฉันแวะมาหาเจมี่ช่วงระหว่างรอเวลารับดวงวิญญาณใกล้ ๆ แถวนั้น เขาคุยโทรศัพท์กับสายสืบคาร์ฮาร์ตด้วยสีหน้าหงุดหงิด เขาควรเลิกติดตามคดีของฉันได้แล้ว มันยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่มากขึ้น หลังวางสาย เจมี่ก็นั่งนิ่งที่โต๊ะทำงาน สายตามองไปยังบอร์ดสืบสวนของเขา สายตาของฉันในภาพถ่ายที่เขาเลือก มองไปยังเขา รอยยิ้มของฉันสดใส

    “ผมไม่ยอมแพ้ลิลี่” เขาพูดขึ้น “ผมจะไม่ยอมแพ้”

    ฉันยื่นมือไปหาเจมี่ แต่ก็ต้องหยุดก่อนจะได้จับบ่าของเขา เพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ฉันเลือกที่จะออกจากห้องไป

    เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับมาวิญญาณจากเหตุไฟไหม้ เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังระงมท่ามกลางกองเพลิง เสียงไซเรนจากรถหน่วยกู้ภัยและรถดับเพลิงดังไปทั่ว ด้านนอกอาคารเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติงานอย่างเร่งรีบเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ อพาร์ตเมนต์สี่ชั้นเก่า ๆ ไม่มีระบบระงับเพลิงไหม้ที่ดีพอ ประกอบกับช่วงยามค่ำคืนแบบนี้ทำให้อาคารเต็มไปด้วยผู้พักอาศัย สร้างความยากละบากให้เจ้าหน้าที่

    ฉันรู้ผลลัพธ์ของอัคคีภัยในครั้งนี้ดี ต่อให้มีโอกาสช่วยเหลือเป้าหมายของฉันเพียงใด ฉันทำได้แค่รอ...รอให้เขาสำลักควันไฟจนตาย ผู้เสียชีวิตไม่ได้มีแค่คนเดียว ทำให้อาคารหลังนี้เต็มไปด้วยยมทูต เราเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณเพื่อพาพวกเขาไปยังสถานที่ที่พวกเขาคู่ควร แม้ไม่เคยมียมทูตคนไหนให้คำตอบได้ว่าหลังบานประตูไม้ในความว่างเปล่านั่น มีสิ่งใดรออยู่

    เสียงโอดครวญของมนุษย์และเสียงร้องไห้ของวิญญาณดังเซ็งแซ่ไปทั่วตึก ใครที่เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือทันก็รอดไป ส่วนใครที่เจ้าหน้าที่ค้นหาไม่เจอ หรืออยู่ในตำแหน่งที่เข้าไม่ถึงก็มีพวกของฉันรอคอยอยู่ บางครอบครัวมีเด็กเสียชีวิต บางครอบครัวก็ผู้ใหญ่เสียชีวิต ทั้งภาพและเสียงตรงหน้าสร้างความหดหู่ให้ทั้งมนุษย์และยมทูตอย่างเรา ๆ 

    “เป็นอะไรไหม” ออกัสทักขึ้น มือของเขาจูงเด็กผู้ชายที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น

    “ฉันว่าฉันก็เห็นอะไรมาเยอะแล้ว แต่...”

    ความพยายามที่จะช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ทำให้ฉันอยากลงมือทำอะไรสักอย่าง ทั้งที่คนประสบภัยอยู่ตรงหน้า แต่ก็ทำได้แค่รอให้พวกเขาเสียชีวิต เหตุการณ์แบบนี้มักทำให้ผู้คนร่วมมือร่วมใจกัน เพราะชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ยมทูตอย่างเราอยู่ตรงข้ามกับพวกเขา ถึงจะรู้สึกได้ถึงพลังจากทุกคนจนขนลุกสู่ ในขณะเดียวกันมันก็น่าหดหู่

    “ไม่มีใครชินกับเรื่องแบบนี้ได้หรอก พวกเขา...” สายตาของออกัสมองไปยังนักผจญเพลิงที่กำลังตะโกนหาผู้รอดชีวิต “กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ พวกเราเองก็ต้องทำแบบนั้นเช่นกัน วิญญาณที่หลงเหลือในโลกคนเป็น จะเป็นภัยต่อพวกเขาเอง”

    จะว่าไปฉันยังไม่เคยมีโอกาสเจอวิญญาณดังกล่าว เพราะเราทำงานกันดีมาก แต่จากสีหน้าของออกัส เขาน่าจะเคยเผชิญวิญญาณแบบนั้นมาบ้าง

    เจ้าหน้าที่ทำงานกันจนเกือบเช้า ขณะที่ยมทูตเสร็จสิ้นภารกิจก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ความว่างเปล่าไม่เคยเต็มไปด้วยดวงวิญญาณมากมายเท่านี้มาก่อน ถึงขั้นต้องต่อแถวยาวเพื่อรอเข้าประตู ความสับสนยังตามติดมาถึงที่นี่ หลายคนยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองตายแล้ว พวกเขาแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนไฟไหม้ ส่วนมากกำลังนอนหลับ บ้างก็กำลังดูโทรทัศน์ พวกเขาใช้ชีวิตตามปกติก่อนเหตุไฟไหม้จะเกิดขึ้น

    “คุณรู้ไหมว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง” ฉันหันไปถามออกัส เขาส่ายหน้าแทนการตอบ ระหว่างนั้นฉันก็เห็นแมนดี้ส่งวิญญาณตนสุดท้ายของตัวเองผ่านประตู 

    หากเป็นอุบัติเหตุ ก็เป็นอุบัติเหตุที่เศร้าสลดมาก แต่ถ้ามีอะไรมากกว่านั้น... ถึงอย่างนั้นมันคงเป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่ต้องตามสืบต่อ ขณะที่ยมทูตอย่างเรา ๆ ก็รอคอยรายชื่อต่อไป

    หลังความวุ่นวายที่ความว่างเปล่า พวกเราก็กลับมาที่เจอริโก้ ที่นั่นไร้ซึ่งแสงไฟ LED เครื่องเล่นทุกอย่างก็ปิดทำการ แวบแรกฉันตกใจนึกว่ามีใครทำความผิดและผู้คุมจะมาหา แต่ที่ไหนได้ เหล่ายมทูตที่ทราบข่าวต่างก็เตรียมเทียนเพื่อจุดให้กับวิญญาณที่ล่วงลับในวันนี้ ออกัสเล่าว่าทุกครั้งที่มีโศกนาฏกรรมแบบนี้ ยมทูตจะจุดเทียนไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิต

    ฉันรับแก้วใสบรรจุเทียนมาไว้ในมือ ขณะที่ไฟของยมทูตคนอื่นจุดติดแล้ว ฉันได้แต่หันซ้ายหันขวาว่าพวกเขาหาไม้ขีดหรือไฟแช็กจากไหน

    “พี่แค่ทำแบบนี้” แมนดี้สาธิตวิธีจุดเทียนให้ฉันดู มันง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่แตะไส้เทียน ไฟก็ติดขึ้นแล้ว

    มันน่าทึ่ง ที่เปลวไฟเล็ก ๆ บนไส้เทียนของฉัน จะทำให้คิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากมาย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นในอาคารหลังนั้น เสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงของไม้ที่โดนเปลวเพลิงไหม้ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบกริบ เหมือนหูอื้อไปชั่วขณะ ความสงบค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ

    พวกเราวางแก้วเทียนไว้ตามบูธหน้าทางเข้า ถึงจะเป็นบูธอาหาร มีรูปวาดสีสันน่าดึงดูด แต่มันไม่เคยมีอาหารมาขายจริง มันเป็นสถานที่ที่ยมทูตใช้สำหรับไว้อาลัยมนุษย์

    จากนั้นพวกเราก็แยกย้าย แสงไฟ LED ติดขึ้นมาอีกครั้ง บ้างก็กลับไปทำงาน บ้างก็ไปนั่งม้าหมุนเล่น พวกเขากลับเข้าสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว ฉันตั้งใจจะไปหาหนังสืออ่านที่สวนแต่แมนดี้ก็รั้งไว้เสียก่อน

    “ฉันมีเรื่องอยากถามพี่”

    ไม่ว่าจะได้ยินประโยคแบบนี้จากใคร ล้วนก็ทำให้รู้สึกวิตกกังวลได้ทั้งนั้น

    เรามายังม้านั่งประจำ ยมทูตแต่ละคนล้วนมีที่ประจำของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ออกัสคือซุ้มปืน ส่วนฉันกับแมนดี้ก็คือม้านั่งตัวนี้ จากจุดนี้สามารถมองเห็นเรือเป็ดหลายลำล่องอยู่บนผิวน้ำ เป็นภาพที่ให้ความผ่อนคลายกับพวกเรา

    “มีอะไรเหรอ” ฉันถามขึ้นเมื่อเรานั่งที่กันแล้ว

    “ฉันว่าจะถามนานแล้ว แต่พี่ไม่เคยพูดหรือเล่าอะไรให้ฟัง ฉันเลยไม่รู้ว่าจะทักดีไหม” ยิ่งได้ยินเธอพูด ฉันก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก “ฉันว่ายมทูตหลายคนก็อาจรู้แล้วก็ได้ แต่พวกเขาไม่พูดอะไร พวกเราไม่ค่อยพูดถึงเรื่องอดีตเท่าไร”

    “แมนดี้ ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”

    “ฉันคงไม่รู้ ถ้าไม่ได้เห็นข่าว” พอเธอพูดแบบนั้น ฉันก็เริ่มเดาได้ “ฉันเสียใจ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

    เธอจับมือของฉันแน่น

    “ที่พี่เป็นยมทูตก็เพื่อตามหาเขาเหรอ”

    “ตามหาเขา แล้วก็...” ฉันรู้สึกได้ถึงความเดือดดาลที่สุมอยู่ในอก ต่อให้ผ่านมาเป็นปีแล้ว แต่มันไม่เคยหายไปไหน ฉันยังคงจินตนาการถึงลมหายใจสุดท้ายของผู้ชายคนนั้นเสมอ

    “พี่ทำแบบนั้นไม่ได้นะ” แมนดี้พูดขึ้นราวกับอ่านใจของฉันออก “ต่อให้ผู้ชายคนนั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่ แต่พี่จะทำแบบนั้นไม่ได้”

    “ฉันคิดว่าเขาจะได้รับโทษ แต่เขากลับรอดไปได้”

    “เขาจะต้องได้รับโทษ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะถอนหายใจ พี่คงคิดว่าถ้าเป็นยมทูตแล้วคงทำอะไรได้ง่ายขึ้น แต่ความจริงมันไม่ใช่เลยเนอะ”

    “อืม... ไม่เหมือนที่คิดเลย”

    “แต่ก็เหลือเชื่อเหมือนกันที่กัสยอมให้พี่เป็นยมทูต เขาไม่เคยทำงานพลาดมาก่อน ไม่ว่าวิญญาณจะขัดขืนหรือหนีความจริงแค่ไหน เขาก็พาไปที่ความว่างเปล่าได้หมด ทุกคนถึงได้ชื่นชมเขาไง”

    “ออกัสก็ไม่ได้พอใจเท่าไรนะกับการที่พี่เป็นยมทูต”

    “แล้วพี่เป็นยมทูตได้ยังไง” แมนดี้ทำตาโต

    “เดธ”

    “โอ้...” คราวนี้เธอมีสีหน้าครุ่นคิด “ก่อนจะกลายมาเป็นยมทูต เราจะได้ยินเสียงของเดธ พูดถึงเรื่องสัญญาแห่งชีวิตและความตาย เขาไม่ได้ให้ทางเลือกเราเลย”

    ต่อให้ไม่รู้สาเหตุ แต่ฉันก็รู้ว่าแมนดี้ตายยังไง ทุกคนที่นี่ล้วนเสียชีวิตแบบเดียวกัน

    “พี่” จู่ ๆ แมนดี้ก็ยกมือฉันขึ้นมา “ฉันจะเอาใจช่วยพี่เสมอ ไม่ว่าจะใช้เวลานานขนาดไหน ฉันเชื่อว่าเขาต้องได้รับโทษ พี่ก็ต้องเชื่อแบบนั้น รู้ไหม ต่อให้มันน่าดึงดูดแบบไหน พี่จะฆ่าเขาไม่ได้เด็ดขาด ฉันไม่อยากลืมพี่...”

    หลังจากได้เห็นเจมี่ ฉันก็รู้สึกว่าถ้าพวกเขาลืมฉันได้เร็วเมื่อไร ก็คงทำให้พวกเขาก้าวต่อไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นเท่านั้น ฉันไม่คิดว่าก่อนว่าจะได้ยินคนพูดแบบนี้กับฉัน คนที่อยากจดจำฉันไปตลอด คนที่ไม่อยากลืมเรื่องของฉัน ตัวตนของฉัน

    “และฉันยังเชื่ออีกว่าทุกคนในบ้านของพี่ก็ไม่อยากลืมพี่ไป พวกเขาต้องใช้เวลาทำใจก็จริง แต่พวกเขาไม่อยากลืมพี่แน่ ๆ เขายังเก็บรักษาบางอย่างของพี่ไว้เป็นของดูต่างหน้า เก็บเรื่องราวหลายอย่างที่มีร่วมกันในความทรงจำ ถ้าพี่ได้กลับบ้าน พี่ก็จะพบว่าพวกเขายังไม่ลืมพี่ ยังเห็นพี่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเสมอ”

    ฉันอดคิดไม่ได้ว่าคำพูดของเธอ มาจากเรื่องของเธอหรือเปล่า เพราะแมนดี้ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ก่อนที่เธอจะกลายมาเป็นยมทูต ส่วนหนึ่งในน้ำเสียงและสายตาของเธอ มันเจือความเสียใจ แต่เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว และทำได้แค่อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

    ฉันกุมมือเธอแน่นพร้อมพยักหน้าลง

    ฉันจะรอคอยอย่างใจเย็น สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกคนเป็นเป็นเรื่องที่ฉันไม่สามารถข้องเกี่ยวได้ ฉันควรให้สายสืบคาร์ฮาร์ตได้ทำหน้าที่ของเขาในการตามหาตัวฆาตกร ส่วนฉันก็ทำหน้าที่ของฉัน คอยรับดวงวิญญาณ จนกว่าชื่อของเขาจะปรากฏขึ้นมา



    ------------------------------------------


    สวัสดีค่าาาาา อีกสามตอนก็จะจบภาคลิลิธแล้วววว กรี๊ดดดด


    สำหรับใครที่สนใจสั่งรูปเล่มเข้าไปสั่งได้ทางนี้เลยนะคะ


    ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม ค่า

    ขอบคุณมากค่ะ
    พบกันใหม่วันจันทร์หน้า

    Aki_Kaze

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in