เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวล้วน ๆ เลยยยdaisyyyyyy
[ดูจบแล้วเหงา] Josee, The tiger and The fish
  • หลังจากติดล็อคดาวน์ช่วงโควิดมานาน ในที่สุดทางเราก็ได้มีโอกาสไปดูหนังในโรงสักทีค่า TT
    ขอออกตัวก่อนเลยว่า เล็งเรื่องนี้มานานแล้วจริง ๆ แล้วก็ชอบอะนิเมะญี่ปุ่นมากกก
    เห็นมีเวอร์ชันเกาหลีที่เป็นหนังฉายเมื่อปี  2020 ด้วย 
    แต่ลองไปอ่านเรื่องย่อดูคร่าว ๆ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมือนของอะนิเมะอันนี้สักเท่าไหร่

    ส่วนอันนี้ Josee, The tiger and The fish เป็นอะนิเมะความยาวประมาณชั่วโมงครึ่ง
    เข้าโรงน้อยมากกก แต่คือหนังดีมากนะ สนับสนุนให้ไปดู นี่ร้องไห้ไป 3 รอบ 55555 TT


    ช่วง intro ก่อนเข้าเนื้อเรื่อง ก็จะบอกว่ามาจากเรื่องสั้นของอาจารย์เซย์โกะ ทานาเบะ (Seiko Tanabe) ซึ่งพอลองไปอ่านต่อใน wikipedia ก็ค้นพบว่า เรื่องนี้ถูกเขียนเมื่อปี 1985

    แต่หลังจากที่รู้ก็ทำให้รู้สึกว่า เนื้อเรื่อง ปัญหา สภาพแวดล้อมในเรื่องยังคงคลาสสิคอยู่เสมอ

    ความรู้สึกหลังดู

    ฉาก-สภาพแวดล้อมในเรื่อง
    เราชอบที่สภาพแวดล้อมที่ในเรื่องนำเสนอมา เป็นเรื่องนึงที่น่าสนใจ 
    อย่างการเดินทางโดยรถเข็นของโจเซ่ จะเห็นได้เลยว่านายสถานีดูแลช่วยเหลือมาก 
    บางทีรถเข็นของโจเซ่ก็ติดหล่มตามทางบ้าง เจอทางลาด (ขึ้นเขา-ลงเขา) สไตล์ญี่ปุ่น 
    ฟีลแบบเราไปเดินขึ้นดอย ก็คือรถไหลจ้ะ

    พอดูแล้วก็แบบเอ้อ TT อย่างที่ญี่ปุ่นด้วยความถนนหนทางยังดี เอื้อให้กับผู้พิการได้ออกมาใช้ชีวิต 
    แต่ภาพตัดประเทศไทยจ้า เราก็เคยเจอคนที่เค้านั่งรถเข็นบนฟุตบาทอยู่นะ คือรู้สึกเลยว่า เราเดินเรายังว่าฟุตบาทประเทศเราเหมือนกับระเบิด แล้วกับคนที่เค้านั่งบนรถเข็น เค้าจะรู้สึกยังไง?

    ผู้พิการกับอาชีพ นโยบายรัฐของญี่ปุ่น
    อันนี้ก็เป็นจุดนึงที่ชอบเหมือนกันในหนัง จริง ๆ ก็เห็นจากหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน เค้าค่อนข้างสนับสนุนให้คนพิการมีอาชีพ มีงานทำ ที่จะเน้นไปเชิงงานธุรการ จากที่เห็นในเรื่องนี้นะ
    คือเค้าจะมาติดต่อเลยว่าอะไรยังไง ซึ่งเราว่าเป็นจุดนึงที่ดีนะ เพราะก็สนับสนุนให้เกิดอาชีพได้

    ภาพตัดประเทศเรา TT วนอยู่ได้สักกี่อาชีพอ่ะ บางคนคือแทบจะไม่มีรายได้เลยด้วยซ้ำ 
    แทบจะไม่เคยเห็นภาคไหน ๆ เข้ามาช่วยแก้ปัญหา หรือหาแนวทางการหารายได้ให้กับคนกลุ่มนี้เลย TT
    ในขณะเดียวกัน การที่ผู้พิการไม่สามารถใช้อวัยวะบางส่วนได้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถทำงานได้รึเปล่า จริง ๆ ประเทศไทยก็มีคาเฟ่อยู่อันนึงนะ รู้สึกจะชื่อยิ้มสู้คาเฟ่ ที่ให้ผู้พิการเข้าไปทำ 
    ก็ว่าส่งเสริมอาชีพได้ระดับนึง แต่มันก็มีอีกหลายอาชีพที่พวกเขาสามารถทำได้ และไปได้ไกลมากกว่านี้ 

    นิทานภาพของโจเซ่
    แหน้ ไม่สปอยล์หรอกนะ ! 555555 อยากให้ไปดูในโรงจริง ๆ เพราะหนังดีมาก
    เราว่านิทานภาพของโจเซ่เขียนดี ดีแบบดีจริง ๆ
    วันนึงที่เรารู้สึกว่าเราท้อจนแทบไม่ไหว สภาพร่างกายเราอาจไม่ไหวแล้วกับปัญหาตรงหน้า 
    แต่ว่าตราบใดที่ใจเราไม่ยอมแพ้ ก็คือสู้ ขอให้สู้ต่อไป ทำให้เต็มที่ 
    แบบที่วันนึงพอย้อนมองกลับมาแล้วจะไม่เสียใจทีหลัง

    แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เหมือนเรื่องที่แอบยาก แต่แบบถ้าใจเราไม่ยอมแพ้ สักวันมันคงมีหนทางที่ใช่ 
    มีทางเลือกที่ใช่ มีคำตอบที่ถูกต้อง และเหมาะกับตัวเราจริง ๆ 

    โจเซ่กับทุนนิยม
    รู้สึกว่าควรเอามาเขียนที่สุด เพราะเจอปย นึงในหนัง (อ่าว สปอยล์ !) ที่ก็ยังมีหลาย ๆ คนไม่ค่อยให้ค่ากับงานศิลปะ หรืออาชีพสายศิลป์ ยังคงดูถูก ยัดเยียดค่านิยมแปลก ๆ ให้
     จนทำให้บางคนยอมแพ้กับความฝันไป
    เอาดี เราก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน 55555 แต่พอมาดูหนังเรื่องนี้ บวกกับเรื่อง blue period 
    ก็เริ่มมีไฟกลับมาทำงานศิลปะเหมือนแต่ก่อนสมัยม. ปลายอยู่หน่อย ๆ

    โลกทุนนิยมมมันผลักดันให้เราต้องเรียนคณะที่จบมามีงานทำ เลือกเรียนอะไรที่มันฮอตฮิต เป็นความต้องการของตลาดแรงงาน แต่แล้ว ความฝันของเราล่ะ ? สิ่งที่เราอยากทำ ? 
    เราจะไม่ได้ทำไปตลอดเลยหรอ ? 
    หลังจากนี้ไป หลังจากที่เราทิ้งความฝันของเราไปเลือกเรียนคณะ หรือสายวิชาที่ไม่รู้ว่าใช่สำหรับตัวเราจริงมั้ย เราชอบสิ่งที่เราเลือกจริง ๆ รึเปล่า ไปจนถึงการเลือกทำอาชีพที่มันอยู่ในความต้องการของตลาดแรงงาน หลังจากนั้นเราจะมีความสุขกับสิ่งที่เราทำมั้ย ?

    มันก็คงไม่มีใครตอบได้ จนกว่าเราจะ experience มันด้วยตัวเอง
    บางคนก็โอเคยินยอมรับชะตากรรมไป ตามนั้นเลย บางคนก็ยังตั้งข้อสงสัย และยังตามหาสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข หรือบางคนที่สุดท้ายก็กลับไปเลือกทำในสิ่งที่ชอบ สิ่งที่อยากทำ และช่างแม่งกับใบปริญญา หรือสายวิชาที่เรียนจบมาตอนม ปลาย และเดินตามความฝันตัวเอง

    เป็นแง่มุมให้คิดได้ดีอยู่ ว่าเราจะเอายังไงกับชีวิตตัวเองต่อ
    เรารู้ตัวเองดีว่าความสุขของเราคืออะไร อะไรที่เราทำแล้วมีความสุข
    ต่อให้เมื่อโตขึ้นสภาพแวดล้อมจะหล่อหลอม เปลี่ยนความคิดเราไปขนาดไหน
    แต่ถ้าวันนึงที่ไม่ไหว หรือรู้สึกอยากพัก หรือทำอะไรที่ผ่อนคลาย ก็ลองนึกถึงสิ่งที่เราชอบ 
    ขอแค่เราทำสิ่งนั้นแล้วมีความสุข ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร เอาแค่ตัวเรามีความสุขกับมันก็พอ

    อวยหนังก่อนจากก
    แนะนำมาก มากถึงมากที่สุด มันอิ่มมากจริง ๆ นะ 555555
    ไปเติมพลังบวกให้ตัวเอง เผื่อจะมีแรงจูงใจในการทำสิ่งท่ีรักอีกครั้ง
    ฉากสวยมาก เดินเรื่องดี ดีไปหมด เพลงก็เพราะ
    ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วก็ขายเพลงเลยละกัน (ฮา) เราชอบ Shinkai กับ Ao no waltz มาก 
    ความหมายดีแบบดี T___Tb
    เพลงประกอบอื่นในเรื่องก็เพราะเหมือนกัน

    ไม่รู้ว่าหนังจะอยู่ในโรงอีกนานแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเข้า netflix เมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยว่าจะโดนล้อคดาวน์อีกมั้ย แต่เรื่องนี้ก็คือยกให้เป็นเดอะเบสสส อะนิเมะ ที่เป็นหนังสำหรับปีนี้เลย TT
    เรียลมากทุกความรู้สึก ฮรุก

    พบกันใหม่โพสต์หน้าค่า <3

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in