เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Den of Antiquities: Spin offhaveasunnydae
009: Keep On Hoping
  • (เป็น Medieval Fantasy AU นะคะ ใครยังไม่เคยอ่านตอนก่อนๆ หน้า
    แนะนำให้อ่านจากในโมเมนต์นี้ก่อนน่อ)

    (เขียนตอนนี้เพราะคุยกับพี่ส้มเรื่อง #พบกันที่ชุมนุมพ่อมด เลย 55)

    (คิดพาร์ทตอนเจอกันครั้งแรกไว้ด้วย แต่มันเขียนยากอะ ไว้ก่อนละกันนะ)










    (อยากให้เปิดเพลงนี้ฟังไปด้วยนะคะ)





     
























    อเล็กเซียไม่ใช่เด็กว่าง่าย เคลย์ตันรู้ข้อเท็จจริงนี้ดีตั้งแต่วันที่เก็บยายหนูนี้ได้จากปลักโคลนแล้ว



    ถึงไม่ว่าง่าย แต่ก็ยังน่าเอ็นดู เป็นเด็กหญิงตัวจิ๋วน่าเอ็นดู และร้ายกาจ แน่นอน เขาตกคำนี้ไปไม่ได้ เด็กยังไม่สิบสี่ดีที่ไหนจะริอ่านปล่อยโรคระบาดฆ่าคนทั้งเมืองเพราะอยากแก้แค้น (คำสาปประเภทต้องแลกชีวิตอีก ใครสอนของอันตรายให้เด็กตัวแค่นี้กัน เคลย์ตันสาบานว่าถ้าได้เจอตัวเขาจะเผาบ้านหมอนั่น) ตอนเห็นสภาพ เขาก็รู้ในทันทีว่าปล่อยไว้ไม่ได้หรอก เกิดตายขึ้นมา เด็กนี่จะได้กลายเป็นจินน์ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าตอนมีชีวิตอยู่เสียอีก อันตราย อันตรายเกินไป



    เขามารู้เอาทีหลังว่าอเล็กเซียเป็นลูกสาวของผู้หญิงที่พ่อเคยจะให้แต่งงานด้วย แต่เผอิญเขาเผ่นออกจากบ้าน หนีคนในอินควิสิชั่นที่กำลังรุกคืบจากทางใต้ ไปอยู่กับวินสตันเสียก่อนก็เลยคลาดกันไป ยายหนูอเล็กเซียไม่เหมือนแม่สักนิด ผู้หญิงคนนั้นมีผมสีน้ำตาลทอง กับดวงตาสีฟ้าเข้ม ส่วนเด็กคนนี้ผมสีน้ำตาลเกือบดำกับดวงตาฟ้าซีด ดูไปดูมาก็คล้ายเขาเสียจนเบนจามินยังถามว่าไปไข่ทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เคลย์ตันเลยรับสมอ้างเอาเป็นลูกไปดื้อๆ เวลามีใครถาม  มันปลอดภัยกับพวกเขาและภาพลักษณ์ยายหนูมากกว่า เด็กผู้หญิงที่ไหนจะเดินทางกับชายคราวพ่อเป็นคณะแบบนั้น -- อเล็กเซียเองก็ฉลาดตามน้ำ เรียกเขาว่าพ่อต่อหน้าคนอื่นตลอด จนบางครั้งก็เผลอเรียกตอนอยู่กันแค่นี้ไปด้วย เคลย์ตันไม่คิดมากอะไร เรียกเป็นพ่อเขาก็สอนเหมือนลูก -- ถ้าการเลี้ยงลูกคือการสอนล่าสัตว์ สอนวิชานอกรีต สอนให้เด็กมันเอาตัวรอดได้ล่ะก็นะ



    (ตอนโตขึ้นมา เขาไม่มีตัวอย่างที่ดีนักหรอก)









    อเล็กเซียไม่ใช่เด็กว่าง่าย เคลย์ตันรู้ดีแก่ใจ โดยเฉพาะกับเรื่องที่อยากรู้ยายหนูจะตามไม่ปล่อยยิ่งกว่าหมาตามกลิ่น (นิสัยเดิม หรือเพราะไปขลุกกับเบนจามินกับเกเบรียลมากไปเขาก็ตอบไม่ได้) พอไปรู้เข้าว่าเขาเป็นผู้หยั่งรู้ อเล็กเซียก็เฝ้าแต่ถามคำถามเดิมซ้ำๆ



    ‘เมื่อไหร่มันจะจบคะ’



    ดวงตาเด็กคนนั้นไม่ใช่ความสิ้นหวัง แต่เป็นความหวัง อยากดิ้นรนเอาชีวิตรอดเสียจนเคลย์ตันไม่อยากตอบคำถาม



    เมื่อไหร่การล่าคนนอกรีตจะจบสิ้น เมื่อไหร่เราจะได้อยู่กันอย่างสงบสุข เมื่อไหร่เราจะเลิกโดนมองเป็นตัวประหลาด เมื่อไหร่ เมื่อไหร่ เขาถูกถามคำถามนี้จากคนหลายคน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกรุ่นเยาว์ถามอย่างหวาดกลัว พวกผู้ใหญ่ถามอย่างอ่อนล้า แต่จะด้วยสายตาคาดหวัง หรือความสิ้นหวัง เคลย์ตันก็ไม่เคยตอบคำถาม



    ไม่ใช่เขาไม่เคยพยากรณ์ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นนิมิต



    เขาได้เห็น เขารู้ แต่เขาจะไม่ตอบ



    ผู้หยั่งรู้อาจไม่มีสิทธิ์เลือกนิมิต ไม่มีสิทธิ์เลือกคำตอบของคำถาม แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ตอบ บางคำพยากรณ์ความวุ่นวายมากกว่าให้ผลดี -- ดูอย่างคำทำนายที่เคยทำให้คนพยายามกันราชาองค์ปัจจุบันออกจากบัลลังก์ประไร (บางทีเขาก็คิดว่ามันอาจจะไม่ฉิบหายขนาดนี้ก็ได้ ถ้าผู้หยั่งรู้คนนั้นรู้จักเงียบปากไว้ก่อน)



    เมื่อคนอื่นถาม เคลย์ตันจึงเอาแต่ส่ายหน้า



    เมื่ออเล็กเซียถาม อาจเพราะเห็นเป็นเหมือนลูก เคลย์ตันจึงได้แต่ถอนใจ



    ‘อย่าเพิ่งสิ้นหวังก็แล้วกัน’



    เด็กหญิงไม่เคยพอใจคำตอบ พอๆ กับที่เขาไม่เคยพอใจสิ่งที่ปัจจุบันเป็นอยู่










    อเล็กเซียไม่ใช่เด็กว่าง่าย ไม่ว่าตอนนี้หรือว่าตอนไหน แต่ยังไงก็ยังเป็นเด็ก จะสิบสามหรือยี่สิบก็ยังเป็นเด็ก เขาอาจเห็นยายหนูเป็นเด็กไปตลอดชีวิต แต่จะไม่พูดออกไปดังๆ หรอก คงได้ถูกลูกโกรธกันพอดี



    พ่อแม่ที่ไหนจะยอมรับว่าลูกโตจนพ้นอ้อมอกตัวเองได้บ้าง เขาสงสัย ต่อให้นั่นจะเป็นลูกที่ไม่ใช่ลูก และเป็นลูกที่เลี้ยงมาไม่กี่ปีก็ตามที



    เพราะรักเป็นลูก เขาถึงอยากให้ยายหนูยังมีหวัง เด็กๆ พวกนี้ ไม่ว่าจะนาตาลี แดเนียล หรืออเล็กเซียไม่ได้โตมาอย่างสมัยพวกเขา โตขึ้นมาในเวลาที่การหายใจของตัวเองยังไม่ใช่เรื่องผิดบาป การมีอยู่ของตัวเองไม่ควรถูกทำลาย ชีวิตยังพอมีช่วงเวลาให้สนุก ไม่ต้องหวาดระแวง ไม่ต้องโกรธแค้น ไม่ต้องเหลียวข้ามไหล่อย่างหวาดผวาว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาของตัวเองที่จะถูกจับเผา ถูกลากขึ้นตะแลงแกง แต่เด็กๆ พวกนี้ไม่เคย



    ถึงจะรู้ว่าอเล็กเซียเข้มแข็ง แต่เพราะเข้มแข็งถึงยิ่งห่วง ไม่มีใครรู้ว่าเด็กเข้มแข็งจะล้มลงไปวันไหน แม้แต่ผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอๆ กับเขาก็ยังเคยล้มเพราะเรื่องนี่เผชิญกันอยู่ตอนนี้ แล้วยายหนูอายุแค่นั้น จะหาว่าดูถูกเด็กมันก็ช่าง แต่เขาหวั่นใจเหลือเกิน



    ไม่มีใครสมควรรู้สึกผิดที่ตัวเองได้เกิดมา










    อเล็กเซียไม่ใช่เด็กว่าง่าย และยิ่งร้ายกาจเมื่อได้เบนจามินกับเกเบรียลสอนวิชาให้ วิธีค้าขาย จะต่อรองราคาอย่างไรไม่ให้ถูกพ่อค้าเอาเปรียบเพราะยายหนูเป็นผู้หญิง ผู้ใหญ่สองคนก็ดูจะสนุกที่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้เด็ก เด็กที่สามารถร้ายกาจได้เทียบเท่าตัวเอง (นาตาลีใจอ่อนกับเรื่องพวกนี้เกินไป)



    บางครั้งเคลย์ตันก็สงสัย เกเบรียลจะรู้ไหม ว่าตัวเองกำลังสร้างจินน์ที่ยังมีชีวิตขึ้นมา










    อเล็กเซียไม่ใช่เด็กว่าง่าย และเขารู้ดีว่าสักวันยายหนูจะต้องขอออกจากขบวนคาราวานของพวกเขาแล้วไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ถึงรู้ ก็ใช่ว่าจะไม่ใจหายตอนเด็กมันบอกว่าจะไป



    จะเลี้ยงมาไม่ถึงสิบปีก็ยังรักเป็นลูก เรื่องเลวร้ายให้กังวลมีสารพัด ไหนจะเรื่องของทางการ เรื่องของศาลศาสนา จะว่าเขากังวลเกินเหตุก็ช่าง นั่นลูกทั้งคน จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร



    เขาเคยทัดทานอเล็กเซียอยู่หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง จนสายตาของเด็กสาวบอกว่าหากมีครั้งที่สี่ หล่อนก็คงจะไปโดยที่ไม่รอคำอนุญาตจากใครอีก นี่เป็นความรู้สึกของปู่โจนาธานวันที่เขาไปลาก่อนออกจากบ้านหรือเปล่า



    ความรู้สึกของพ่อแม่เวลาลูกจะไปจากอ้อมอกมันเป็นแบบนี้ใช่ไหม



    แต่เพราะรักเป็นลูก เขาจึงยอมปล่อยให้ไป ให้ลูกได้โตอย่างที่ลูกอยากเป็น










    อเล็กเซียไม่ใช่เด็กว่าง่าย ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือว่าตอนไหน โดยเฉพาะเมื่อได้เผชิญโลกคนเดียวสองปี ก็เหมือนว่าเจ้าหล่อนจะทวีความร้ายกาจเสียจนสู้กับเกเบรียลได้สบาย



    หลังแยกจากคณะแล้ว พวกเขาก็ยังติดต่อกับหล่อนอยู่ แวะเวียนไปพักคาราวานใกล้บ้านน้อยกลางป่าปีละสองสามหน เคลย์ตันขอให้หล่อนเขียนจดหมายหาทุกเดือน ฟังดูเหมือนคำขอของพ่อที่ติดลูกสิ้นดี แต่ยายหนูก็ส่งจดหมายสั้นๆ มาทุกสัปดาห์ อ้างในสักฉบับว่าจินน์ที่เขายกให้มันพูดไม่ได้ และหล่อนไม่รู้จะคุยกับใคร



    หนนี้ที่มาพักแรมด้วย อเล็กเซียก็ชวนเขาออกไปตรวจแร้วและล่าสัตว์เป็นมื้อเย็น อยากอวดฝีมือว่าตอนนี้ดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน เคลย์ตันยอมตามใจ หยิบหน้าไม้เข้าป่าไปด้วยกัน



    พวกเขาแทบไม่ต้องล่า แค่กับดักและบ่วงแร้วก็มีนกกระทากับกระต่ายป่าติดมาหลายตัว อเล็กเซียจับนกยัดใส่ถุงผ้า บอกว่าจะเลี้ยงไว้กินวันหลัง ส่วนกระต่ายอีกสามตัว หล่อนหักคอไปเสียสอง พอถึงตัวสุดท้าย เด็กสาวกลับส่งมันมาให้เขา



    เคลย์ตันเลิกคิ้ว หล่อนดูลังเลจะพูด แต่สุดท้ายก็พูด



    “ทำนายเรื่องหนึ่งให้ข้าได้ไหมคะ”



    เขาน่าจะเดาได้อยู่แล้ว



    “แต่สตูกระต่ายคืนนี้จะเหลือแค่สองตัวนะ” ซากสัตว์ที่ใช้พยากรณ์จะต้องเผาไฟทิ้งเป็นเครื่องสังเวยให้ทวยเทพ เก็บไว้ประกอบอาหารหรือทำอย่างอื่นไม่ได้ -- อเล็กเซียทำหน้ายู่ยี่ใส่ ชายกลางคนจึงหัวเราะ “ก็ได้ๆ จะให้ทำตรงนี้ หรือจะกลับไปที่บ้านก่อน”



    “ที่นี่” หล่อนว่าพลางใช้มือกวาดใบไม้ออกให้ “กลับไปที่บ้าน ท่านก็จะตอบเลี่ยงๆ เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่นอีก” ดวงตาสีอ่อนใต้ปอยผมเข้มจัดดูรู้เท่าทันนัก จนเขาชักสงสัยขึ้นมาว่าเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ดีเกินไปไหม “ข้าไม่อยากได้คำตอบอย่าเพิ่งสิ้นหวังแล้ว ได้ไหมคะ ขอคำตอบจริงๆ คำตอบที่พ่อไม่เคยบอกใคร”



    เคลย์ตันถอนหายใจ อะไรที่จมอยู่ใต้สีฟ้านั้น อาจเป็นความสิ้นหวังที่เริ่มตกตะกอนทำให้ชายกลางคนไม่อยากปฏิเสธ เขาจับกระต่ายสีเทาอ่อนให้นอนหงาย สองนิ้วกดลำคอ อุ้งมือกดท้องเอาไว้ ก่อนร่ายมนตร์ สะกดไม่ให้มันเจ็บปวด แล้วจึงดึงมีดที่เก็บไว้ใช้พยากรณ์โดยเฉพาะออกมาจากซองข้างเอว



    “งั้นก็อย่าไปบอกใครล่ะ” อเล็กเซียพยักหน้า



    เขาย้ายไปกดศีรษะกระต่าย ลมหายใจกระทบฝ่ามือแผ่วๆ ชายกลางคนกลั้นลมหายใจตัวเอง ป่ารอบตัวก็ดูจะเงียบตามไปด้วย สมาธิเขาจดจ่ออยู่กับปลายมีด กับคำถาม แล้วจรด กรีด




    กลิ่นเลือดกระจ่ายออกมาทันทีที่หน้าท้องเปิดออก มันพรั่งพรูออกมาพร้อมกับคำตอบของคำถามเมื่อเคลย์ตันแหวกปากแผลอ่านเครื่องใน คำตอบยังคงเหมือนเดิม แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จนไม่รู้ว่าควรยินดีที่มันไม่ได้เลวร้ายไปกว่าเก่า หรือเสียใจที่มันไม่ดีขึ้นเลยกันแน่ เขาสับหัวกระต่ายออกให้การพยากรณ์สิ้นสุด เช็ดมีดจนสะอาด แล้วจุดไฟด้วยเวทมนตร์ เผาซากสัตว์โดยไม่ได้พูดอะไร



    อเล็กเซียอดทนรอจนกระต่ายตัวนั้นเหลือเพียงเถ้า แล้วค่อยเอ่ยปากถาม



    “ว่ายังไงคะพ่อ” เสียงหล่อนมีทั้งความกลัวและความกล้า แต่มีอย่างแรกมากกว่าอย่างหลัง เคลย์ตันไม่รู้ว่าสีหน้าตนเองเป็นอย่างไร อาจย่ำแย่จนทำให้ลูกสาวหวาดหวั่น ชายกลางคนจึงยิ้ม แล้วลูบหัวยายหนู เหมือนที่เคยทำตอนหล่อนยังอายุน้อยกว่านี้ อเล็กเซียโอนอ่อนตามมือ ผิดจากครั้งก่อนๆ ที่หล่อนมักฝืนตัวและบ่นอุบอิบ



    “ไม่เป็นไรหรอก” เขาบอกง่ายๆ แล้วดึงมือเด็กสาวให้ลุกขึ้น จูงเดินเหมือนตอนพาไปซื้อเสื้อผ้าครั้งแรกในตลาด “เรายังมีความหวังอยู่”



    “ข้าบอกแล้วไงว่าไม่เอาคำทำนายแบบนี้” ไม่ต้องเห็นหน้าเขาก็รู้สีหน้าหล่อนดี เคลย์ตันหัวเราะ



    “ก็ได้ๆ คำพยากรณ์ที่ให้ได้ คือ การเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่คาดหวังจะมาถึง แต่พ่อเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ ตอนไหน แต่พ่อตอบได้ว่าลูกจะได้อยู่เห็นมัน” เขาหันไปหาลูกสาว ครั้งนี้ยิ้มออกมาได้จริงๆ เพราะดวงตาหล่อนมีความหวัง



    “ไม่ได้โกหกใช่ไหม”



    “จะโกหกไปทำไมกัน เด็กคนนี้นี่” เขาหัวเราะ “พ่อเลี่ยงไม่ตอบได้ แต่โกหกไม่ได้หรอกนะ” อเล็กเซียยิ้มกว้างเป็นเด็กๆ ดูพออกพอใจกับคำตอบนัก หล่อนเปลี่ยนจากจับมือเป็นดึงแขนเขา กึ่งลากให้รีบกลับไปที่บ้าน





    แสงสุดท้ายของวันตกลงบนเส้นผมสีน้ำตาลเข็มของอเล็กเซีย มันพาให้เขานึกถึงวันที่หัวซุกหัวซุนหนีออกจากเมืองขึ้นมา ยี่สิบปีได้แล้ว ยี่สิบปีที่สถานะพวกเขาไม่ต่างจากนักโทษหลบหนี ยี่สิบปีที่ยังพยายามมีชีวิตต่อ ใช้ชีวิต มีความสุขกับปัจจุบัน ให้ความหวังกับคนอื่นๆ ด้วยความหวัง หวังอันเลือนรางจากคำทำนายที่ไม่เคยบอกใครกระทั่งวันนี้





    ไม่มีอะไรที่อยู่ค้ำฟ้า แม้แต่อำนาจราชาหรือว่าศาสนจักร ยังไงก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในสักวัน



    ในช่วงชีวิตของอเล็กเซีย แน่นอน 


    แต่จะในช่วงชีวิตของเขาด้วยหรือเปล่านั้น เคลย์ตันไม่แน่ใจ


































Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in