เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Den of Antiquities: Spin offhaveasunnydae
005: All Hallows' Eve


  • ถึงตามธรรมเนียมจะควรเป็นหัวผักกาดเทอร์นิป แต่เมื่อเทียบความน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว ยังไงเคลย์ตันก็คิดว่าฟักทองสีส้มสดก็เข้าท่ากว่าอยู่ดี






    เมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคม สีสันทั้งหมดบนถนนอัลเบี้ยนก็ดูจะย้อมไปด้วยสีส้มและดำ เด็น ออฟ แอนทิควิตี้ส์ เองก็ไม่ได้ต่างจากคูหาอื่น ๆ  พวกเขาตกแต่งหน้าร้านรับเทศกาลฮัลโลวีนที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายเดือน -- ไม่ได้มากมายจนดูเหมือนไฮป์อย่างร้านกาแฟที่อยู่ถัดไปไม่กี่ห้องแถว เพราะอย่างไรเสียความเคร่งขรึมของร้านขายของเก่าก็ทะลุสายรุ้งกระดาษสีสดใสออกมาจนถ้าฝืนไปก็ไม่ต่างอะไรจากการเอาฟองนมโปะหน้าเครื่องดื่มปั่นแทนที่จะเป็นวิปครีม -- ส่วนใหญ่ก็เป็นการสับเปลี่ยนสินค้าที่วางอวดตรงมุขหน้าต่าง ย้ายเอาพวกหนังสือเก่าและของตกแต่งบ้านที่ดูเข้าธีมมาไว้ชั้นล่างเผื่อจะเพิ่มโอกาสในการขาย  หัวกระโหลกมนุษย์ปลอมวางแอบอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บางทีก็มีสัตว์สตาฟฟ์ในครอบแก้วตั้งแต่สมัยวินสตัน เดอร์แรม เจ้าของร้านคนเก่ายังมีชีวิตอยู่ กับกระโหลกและจงอยปากนกมาผสมโรงด้วย เทียนไฟฟ้าแท่งอวบอ้วนถูกปัดฝุ่นและนำออกมาใช้ ลูกปัดกับริบบิ้นและผ้าโปร่งก็ดูเข้าที   อย่างน้อยในร้านก็ปรับให้เข้ากับโทนเทาดำได้ง่ายกว่าส้มสด


    ว่ากันตามตรง ฮัลโลวีนไม่ค่อยต่างจากวาเลนไทน์สำหรับเขาสักเท่าไหร่ -- ให้ตาย ถ้าพูดตรง ๆ เคลย์ตัน เดอร์แรมก็ชอบมันมากกว่าวันแห่งความรักเสียอีก -- ตัดประเด็นเรื่องการได้เจอผีออกไปก่อน ยังไงก็ได้เห็นกันทุกวันจนเบื่อ  ความสนุกของการได้เห็นเด็ก ๆ รวมไปถึงวัยรุ่นแต่งตัวพิลึก ๆ กันปีละหนยังไงก็เป็นเรื่องน่าสนุก (ไม่นับรอลุ้นทุกปีว่าไฮดี คลุม จะแต่งตัวเป็นอะไร) แต่เรื่องสำคัญที่สุดยังไงก็หนีไม่พ้นเมนูฟักทองทั้งหลาย พายเอย เค้กเอย ขนมปังฟักทองร้านเบเกอรี่ตรงหัวมุมถนนแถวบ้านเขาอีก ร้านกาแฟทั้งหลายก็ปล่อยพัมพ์คินสไปซ์ลาเต้กันมาตั้งแต่กลางกันยายน  สำหรับคอกาแฟแล้ว ยังไงนี่ก็เป็นเทศกาลแสนสุขยิ่งกว่ากุมภาพันธ์ที่ช็อกโกแลตกระหน่ำลดราคา  เสียก็แต่ว่าช่วงเวลาที่เมนูพวกนี้วางขายนั้นสั้นกว่าเป็นกอง พอ ๆ กับเมนูเปปเปอร์มินต์ที่จะมีกันแค่ปลายปี
    ส่วนพวกผี ๆ ในร้านเองก็ดูจะไฮป์กับวันที่โลกคนเป็นกับโลกคนตายกลายเป็นหนึ่งมากเป็นพิเศษ แต่จะว่าอะไรได้ ตายไปแล้วมีเรื่องน่าสนุกอะไรหลงเหลือให้ทำอยู่บ้างก็ต้องตื่นเต้นกันทั้งนั้น 



    พอช่วงใกล้ ๆ วันสิ้นเดือน เคลย์ตันก็อดไม่ได้ที่จะซื้อฟักทองสีส้มลูกเล็กบ้างใหญ่บ้างมาที่ร้าน ไม่สนใจเสียงบ่นว่าสิ้นเปลืองหรือการกลอกตาของเกเบรียล พนักงานรุ่นพี่ อย่างไรเสียนี่ก็เงินส่วนตัวของเขาไม่ได้เบิกจากกองกลางของร้าน  ตอนที่เบนจามิน พนักงานใหม่เห็นเขาใช้เวลาช่วงพักเที่ยงมานั่งแกะฟักทองเป็นเจ้าแจ็กฟันแหลมครั้งแรกก็กะพริบตาปริบ ๆ แต่อีท่าไหนไม่รู้ ฝ่ายนั้นก็ไปชวนสแตนลีย์กับเกเบรียลมาร่วมวงกันเสียได้ 
    ฟักทองประดับของสแตนลีย์กับเขาทำได้ดีระดับมาตรฐาน (ที่คุณผู้เชี่ยวชาญงานไม้ประจำร้านค่อนขอดว่าจริง ๆ มันก็แค่พอถูไถ) ส่วนฝ่ายทะเบียนเรียกว่าหายนะ แค่ลงมีดไปได้ไม่กี่ขยัก เวสท์บรูคก็ส่ายหน้ายิกแล้วส่งผลฟักทองมาให้เขาช่วยแก้ หนีไปเอาดีด้านการวาดลายเตรียมไว้ให้อย่างเดียวเสียมากกว่า -- ส่วนของเกเบรียล มาห์เลอร์นั้นชนะเลิศ เทียบความสวยแล้ว อาจต้องเอาของพวกเขาสามคนมารวมกันถึงได้จะครึ่งลูกของชายหนุ่ม (เคลย์ตันไม่แปลกใจนักหรอก งานแกะไม้ฝ่ายนั้นก็ฝีมือใช่ย่อย ประสาอะไรกับฟักทองง่าย ๆ พวกนี้กันล่ะ)

    แต่ฟักทองก็เป็นธรรมเนียมของทางอเมริกา ไม่ใช่ยุโรป โดยเฉพาะคนบนเกาะบริเตนและพวกเคลท์ที่ใช้หัวผักกาดเทอร์นิป มันฝรั่ง หรือไม่อย่างนั้นก็บีททั้งหลาย และเมื่อพนักงานรุ่นพี่ถามเขาอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ได้แต่ยักไหล่

    "หัวเทอร์นิปยัดเทียนเข้าไปแล้วเหม็นจะตาย แถมเหี่ยวแล้วก็ชวนสยองอีก" เคลย์ตันว่าพลางใช้ช้อนขูดเนื้อในสีส้มไปด้วย สมัยเรียนมหาวิทยาลัย อาจารย์เคยเอารูปตะเกียงหัวเทอร์นิปที่มิวเซียมออฟคันทรี่ไลฟ์มาสอนอยู่หน พนันกันได้ อย่าว่าแต่เด็กเลย วิญญาณเห็นก็ต้องร้องกรี๊ด "ฟักทองนี่ล่ะ น่าเอ็นดูกว่าตั้งเยอะ"

    และจะไม่ประหลาดใจสักนิดที่ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจทางจมูกโต้ตอบ





    เรื่องของเรื่องก็คือ เคลย์ตันต้องเก็บหัวเทอร์นิปที่ขนาดใหญ่พอใส่เทียนได้เอาไว้ใช้จริงในคืนฮัลโลวีน



    แต่ถึงจะเป็นวันออลเซนต์อีฟ ออลฮัลโลว์อีฟ อะไรก็แล้วแต่ ยังไงมันก็ยังเป็นวันสิ้นเดือนตุลาคมที่ไม่ได้เป็นวันหยุดราชการอยู่ดี เด็น ออฟ แอนทิควิตี้ส์ จึงยังปิดร้านตามเวลาปกติ เคลย์ตันล็อกเวรวันนี้ไว้ให้ตัวเองโดยเฉพาะ -- พอหมดเวลางานเป็นอันรู้กันว่าเฉพาะวันนี้เท่านั้นที่เกเบรียลกับสแตนลีย์จะกลับบ้านเร็วกว่าปกติ ส่วนเบนจามินที่เพิ่งผ่านฮัลโลวีนของร้านเป็นปีแรกก็ดูจะงุนงงอยู่สักหน่อยที่แทบจะถูกเขารุนหลังให้ออกพ้นประตูไปโดนไม่สนใจข้อเสนออย่างมีน้ำใจว่าจะอยู่ช่วยเหมือนเช่นทุกที (ชายหนุ่มไม่ลืมจะยัดตะเกียงหัวเทอร์นิปที่แกะเมื่อตอนเที่ยงให้พนักงานรุ่นน้องพร้อมเทียนเล่มใหญ่ที่พอจะสว่างไสวไปได้ตลอดคืน -- สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเวสท์บรูคจิตอ่อนทั้งที่เป็นพวกประสาทแข็งมากขนาดไหน)



    รอจนร้านเงียบสงัด เหลือสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวคือเขา กับสิ่งไม่มีชีวิตอีกโขยงใหญ่ ๆ  เคลย์ตันก็รื้อเอาไขควงไฟฟ้ามาขันสกรูที่ยึดแผ่นไม้ชิดวงกบประตูร้านออก ใต้ไม้กระดานเก่าแก่มีแผ่นเหล็กยาวที่ถูกพันด้วยพลาสติกห่ออาหาร แคบประมาณนิ้วมือที่จมอยู่ใต้กองเกลือที่ผสมปนเปไปด้วยละอองฝุ่น ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาก่อน เคาะไล่เม็ดเกลือออก แล้วจึงใช้ที่โกยผงขนาดเล็กค่อย ๆ ตักเกลือออกมาจากช่องใต้ไม้กระดานจนหมด

    มันคือแผ่นเหล็กเย็น หรือเหล็กที่ตีขึ้นรูปโดยไม่ผ่านความร้อน ใช้สำหรับป้องกันสิ่งชั่วร้ายมาตั้งแต่โบราณ รวมไปถึงวิญญาณที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเคหสถาน (แต่เพราะอะไรบางอย่าง เจ้านี่กลับไม่เคยป้องกันการเข้ามาบรรดาอดีตเจ้าของที่ติดมากับสินค้าเลยสักนิด) มาดามดาไลลาห์ให้เขาไว้หลังจากเกิดเหตุวุ่นวายเมื่อสองสามปีก่อน อันที่จริง แค่เกือกม้าก็พอได้ ปู่วินสตันมีเก็บไว้อยู่หลายชิ้น แต่พวกเขาก็เห็นตรงกันว่าการตอกเกือกม้าขึ้นสนิมไว้หน้าประตูดูไม่ดีกับภาพลักษณ์สักเท่าไหร่ เจ้านี่เลยต้องมานอนเหยียดยาวขวางทางเข้าแทน -- ส่วนเกลือที่เหลือ ก็แค่วิธีกันวิญญาณทั่ว ๆ ไป (แต่มีเหล็กเย็นอยู่แล้ว ยังจำเป็นจะต้องใช้เกลือซ้ำอีกหรือเปล่า เคลย์ตันไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่อะไรป้องกันอันตรายให้คนในร้านได้เขาก็เอาหมดนั่นล่ะ) 

    แรงตึงบาง ๆ จากอากาศเบื้องหลังบอกชัดว่าพวกผู้วายชมม์ต่างจดจ้องมาที่เขา เกาะกลุ่มกัน อยู่ให้ไกลจากเขาที่สุดเท่าที่พื้นที่ในร้านจะเอื้อให้ไหว เคลย์ตันรู้ดีว่าเพราะอะไร เขาจึงได้แต่เทเกลือทั้งหมดใส่ถุงพลาสติก มัดปากเตรียมเอาไปโยนลงถัง ส่วนแผ่นเหล็กเย็นในห่อพลาสติกก็ไถลมันเข้าไปใต้เคาน์เตอร์แคชเชียร์ให้พ้นสายตาบรรดาวิญญาณที่ยังวนเวียนกับโลกคนเป็นอยู่ ชายหนุ่มเลื่อนกระดานกลับที่เก่าโดยไม่ขันสกรูทับ เหยียดตัวขึ้น แล้วถอนหายใจ

    "จะออกไปข้างนอกก็ได้ แต่กลับก่อนตีสองนะ เข้าใจไหม" หลานชายของอดีตเจ้าของร้านผู้ล่วงลับพูดลอย ๆ ข้ามบ่า "ฉันจะได้กลับบ้านกลับช่องกับเขาบ้าง" ไม่ทันได้จบประโยคหลังดีเสียด้วยซ้ำ กระแสลมยะเยือกก็กรูเกรียวผ่านร่างเขาทั้งที่ประตูหน้าต่างยังปิดสนิท ชายหนุ่มสบถ นึกอยากโวยใส่บรรดามิตรสหายไร้ร่างอยู่เหมือนกันว่ารีบร้อนขนาดไหนก็เกรงใจคนเป็น ๆ ที่ต้องเจออากาศหนาวเดือนตุลาคมกันหน่อย

    เคลย์ตันฉวยถุงพลาสติกที่วางไว้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวงกบประตูแล้วเดินตามบรรดาวิญญาณที่ออกไปเริงร่านอกร้าน ชายหนุ่มเอาเท้ากวาด ๆ เศษอะไรต่อมิอะไรแถวหน้ามุขหน้าต่างด้านนอกเสียหน่อยก็ย่อตัวลงนั่งยอง แล้วล้วงสารพัดของจากถุงออกมา 
    ในนั้นมีหัวเทอร์นิปที่แกะเป็นตะเกียงหน้าคนแสยะแบบง่าย ๆ ไว้อยู่ กับเทียนขี้ผึ้งอวบอ้วน เคลย์ตันดูให้แน่ใจว่าแท่งเทียนเมื่อยัดเข้าไปแล้วจะตั้งอยู่ได้ตลอดคืนโดยไม่โดนลมหรืออะไรพัดให้ลมก่อนป้องมือ ดีดซิปโป้จุดไฟ เปลวสีส้มระริกไหวในความมืด เงาวูบวาบจากแสงเทียนพ้นช่องตาและปากฝากรูปร่างประหลาดไว้บนผนังร้านด้านนอก ชายหนุ่มยืนมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกลับเข้าไปในร้าน ลงกลอนประตู แล้วเฝ้ารอ


    อันที่จริงเขาจะใช้ฟักทองอย่างที่วางประดับเกลื่อนหน้าร้านตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ยังได้ แต่ยังไงเคลย์ตันก็คิดว่าหัวเทอร์นิปตามต้นตำรับปลอดภัยในการไล่สติงกี้แจ็กกับวิญญาณเร่ร่อนที่พาเหรดกันในวันนี้มากกว่า ในเมื่อเขาต้องเอาเหล็กเย็นที่เป็นเครื่องป้องกันด่านหน้าของร้านนี้ออกไปในหนึ่งคืนของปีเพื่อรอรับการกลับมาของคนเดียว



    ชายหนุ่มไปล้างมือให้หมดกลิ่นผัก เอาแซนด์วิชเย็นชืดกับกาแฟที่ชงไว้ตอนบ่ายมานั่งกินแทนมื้อเย็น ชั้นล่างของร้านเงียบแทบจะสงัด เขาได้ยินเพียงเสียงลูกตุ้มนาฬิกาคุณปู่ที่อยู่เกือบสุดโถง มรดกตกทอดหนึ่งในสองชิ้นจากลูกพี่ลูกน้องของปู่  
    เคลย์ตันตรวจนาฬิกาข้อมือเป็นระยะ หนสุดท้ายตอนกาแฟหมดก็ทันจังหวะเข็มวินาทีซ้อนเข็มยาวตรงเลขสิบสองบอกเวลาสี่ทุ่ม เสียงทุ้มกังวานจากลูกตุ้มร้องรับแทบทันที



    หนึ่ง

    สอง 

    สาม

    สี่


    หัวคิ้วชายหนุ่มขมวดตอนที่นาฬิกาตีเกินมาเป็นครั้งที่สิบเอ็ด มุมปากกระตุกยิกเมื่อเป็นครั้งที่สิบสอง และสบถออกมาเมื่อเสียงสุดท้ายที่ดังก้องเป็นครั้งที่สิบสาม

    เมื่อไหร่จะเลิกเล่นมุกคลีเช่เสียทีตาแก่




    กระดิ่งที่แขวนอยู่กับประตูร้านส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งทันทีเหมือนตอบรับความคิดในหัว อากาศภายในยะเยือกลงกว่าเดิมอีกหน่อย หลานชายห่าง ๆ ของอดีตเจ้าของร้านเช็ดมือกับขากางเกงยีนส์ก่อนจะลุกเดินอ้อมเคาน์เตอร์แคชเชียร์ออกไปด้านหน้า เงาเลือนรางเหมือนผ้าโปร่งถูกแสงค่อย ๆ เคลื่อนผ่านประตูหน้าเข้ามา ดูดซับแสง ก่อนก่อร่างขึ้นชัดเจนเหมือนภาพจากจอฉายหนังเป็นชายสูงวัยที่เคลย์ตันรู้จักดีในช่วงครึ่งชีวิตหลัง

    ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม สองมือซุกกับกระเป๋ากางเกง สืบเท้าเข้าไปอีกนิด
    "ปีหน้าเปลี่ยนมุกบ้างนะตาแก่ เล่นนาฬิกาสิบสามครั้งเป็นหนังผีเห่ย ๆ มาสามปีติดแล้ว"

    ถ้าผู้มาเยือนมีลมหายใจอยู่ พนันด้วยเงินเดือนสี่เดือนเลยก็ได้ ว่าวินสตัน เดอร์แรมต้องถอนหายใจแรง ๆ ใส่เขาเป็นแน่
    "นี่คือวิธีทักทายญาติผู้ใหญ่งั้นหรือเคลย์ตัน ฉันประหลาดใจนะที่โจสอนเธอออกมาแบบนี้"

    "อย่าโทษปู่ผมน่า" ชายหนุ่มโบกมือปัด เสียงเกือบเป็นยียวน แต่เขาก็เชื่อว่าอีกฝ่ายรู้จักเขาดีเกินกว่านั้น "จะว่าอะไรก็ลงกับพ่อห่วย ๆ นั่นเถอะ"

    ชายสูงวัยหัวเราะเหมือนขัน นี่ก็เป็นหนึ่งในบทสนทนาที่พวกเขาคุ้นเคยกันดีนับแต่เคลย์ตันหนีออกจากบ้านมาขอทำงานในร้านญาติห่าง ๆ บนถนนอัลเบียนตั้งแต่อายุย่างสิบแปด

    อดีตเจ้าของร้านเดิน -- หรือพูดให้ถูกคือเลื่อนไหลไปตามช่องว่างของโต๊ะและตู้แสดงสินค้า -- พนักงานจิปาถะของร้านเดินก้าวตามไปยาว ๆ ให้ทันวิญญาณที่ไม่จะเป็นต้องสนใจเรื่องความเร็วอีก นิ้วมือโปร่งแสงแตะตรงนั้น สัมผัสตรงนี้ บางครั้งก็สั่งให้สินค้าชิ้นที่ตนสนใจหมุนไปมาเพื่อสำรวจแทนการยกหยิบเพราะไร้ร่างกายภาพ  เคลย์ตันยอมรับว่าตนอกสั่นขวัญแขวนพอดู  ไม่ใช่ว่ากลัวปู่ของตนหรอก แต่สยดสยองว่าถ้าหากวินสตันพลาดขึ้นมา คนซวยต้องจ่ายค่าเสียหายให้เกเบรียลพรุ่งนี้เช้าก็หนีไม่พ้นเขาอยู่ดี

    "สแตนลีย์กับเก๊บสบายดี?" ชายสูงวัยเอ่ยถามเมื่อลอยเลื่อนขึ้นชั้นสอง หลานชายรีบก้าวเหยาะตามขึ้นไปโดยไม่เปิดไฟ เขาคุ้นกับบันไดที่ร้านนี้ดีจนหลับตาเดินก็ยังทำได้

    "สบายดี แถมยังเคี่ยวเหมือนเดิม" เคลย์ตันว่าพลางหัวเราะ "ปีนี้ของรอบที่ขนไปขายในฟาร์มเมอร์มาร์เก็ตทำเงินดีกว่าปีก่อน ร้านของอัลดริชเองก็รับสินค้าเราไปขายต่อเยอะอยู่" อดีตเจ้าของร้านพยักหน้าช้า ๆ -- เขาละคำว่าไม่ต้องห่วงหรอกน่าปูไปเสีย "ปีนี้มีพนักงานใหม่เข้ามาด้วย ตั้งแต่ต้นปีแล้วล่ะ" แล้วเอ่ยต่อเสียงเรื่อย "มาดูแลระบบทะเบียนร้านให้ กับงานเอกสารอื่น ๆ"
    "ทำงานดีไหม"
    "เกเบรียลถูกใจฝีมือหมอนั่นก็แล้วกัน"





    เขาพาวินสตันเดินดูทั่วชั้นสองและชั้นสาม แวะทักทายคุณ ๆ เจ้าของไปป์ทั้งสองที่ไม่ได้ออกไปไหนดังคาด ให้ปู่ได้ดูสิ่งที่เคยทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตเสียจนกว่าจะพอใจ แล้วจึงเดินตามต้อย ๆ กลับไปลงชั้นล่างไม่ต่างจากตอนสิบเจ็ดย่างสิบแปดเลย
    วินสตันชวนเขาคุยหลายเรื่องหลายอย่าง เรื่องส่วนตัว รวมไปถึงสุขภาพของบรรดาพี่น้องและลูกพี่ลูกน้องของตัวเองเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ -- เคลย์ตันสบายใจที่จะเล่าทุกอย่าง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวันเดียวในรอบปีที่เขาจะได้เจอญาติสนิทอันมีน้อยนิดของตัวเอง


    ชายสูงวัยไม่เคยอยู่นาน ไม่ทันจะพ้นเที่ยงคืนเสียด้วยซ้ำปู่ก็ทำท่าจะลาลับหาย ใจเคลย์ตันโหวง ๆ เสียหน่อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากหรือแย่น้อยไปกว่าปีอื่น ๆ ชายหนุ่มเดินล้วงกระเป๋าออกไปส่งอดีตเจ้าของร้านที่หน้าประตู ยิ้มแบบที่รู้ว่าจะกวนใจอีกฝ่ายเหมือนทุกที

    "สุขสันต์วันออลเซนต์ ไอ้หลานชาย" วินสตันบอกเขา "ดูแลตัวเองดี ๆ อีกปีล่ะ เข้าใจไหม"

    ผู้เป็นหลานหัวเราะรับคำโดยไม่พูดอย่างอื่นอีก ร่างโปร่งแสงนั้นค่อย ๆ ถอยออกจากประตูจนเลือนลับหายไป ทิ้งเขาไว้กับร้านที่ว่างเปล่า

    ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกยาว

    "เฮ้" เคลย์ตันพูดคนเดียวในความมืด "ผมคิดถึงปู่นะ"






























    ** สำหรับท่านใดที่เพิ่งอ่านงานชุดนี้ของเม่ยครั้งแรก นี่เป็นบทสปินออฟจากแอนโธร้านของเก่า เด็นออฟแอนทิควิตี้ส์เป็นร้านของเก่าที่ของหลายชิ้นมีวิญญาณสิงสู่อยู่ค่ะ แต่ละคนในแอนโธก็จะมีเรื่องราวและตัวละครของตัวเอง จอยอยู่ในจักรวาลเดียวกัน

    ** เขียนย้อนไปสมัยที่เคลย์ตันยังอายุปลาย ๆ ยี่สิบอยู่ 55555




    ** หากใครสนใจเรื่องตำนานของสติงกี้ แจ็ค หรือเรื่องแจ็คโอแลนเทิร์น ลองอ่านจากเว็บนี้ได้นะคะ มีภาพหัวเทอร์นิปที่เคลย์ตันเมนชั่นถึงด้วย (หัวนั้นแกะแบบทรานดิชันนัลเลยล่ะ) แจ็คโอแลนเทิร์นยุคแรก ๆ ใช้พืชหัวอะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ตามที่ว่าค่ะ เทอร์นิป มันฝรั่ง บีททั้งหลาย แต่เทอร์นิปนี่ตามตำนานและออริจินัลสุดแล้ว
    ** เรื่องเหล็กเย็นกับเกือกม้า วันหลังจะหาโอกาสเล่าให้ฟังนะคะ

    ** ส่วนคุณ ๆ เจ้าของไปป์ทั้งสองบนชั้นสาม อ้างอิงจากฟรีเปเปอร์ Inseparable ของพี่ส้ม (Piyarak) ซึ่งพูดถึงไปป์สองอันในร้านเด็น ออฟ แอนทิควิตี้ส์ค่ะ






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in