ถ้าใครอยากไปภาคเหนือจังหวัดแรกๆก็คงไม่พ้นเชียงใหม่ เหมือนกับพวกเราที่นัดกันจองตั๋วไปเที่ยวเชียงใหม่ ด้วยสายการบิน Thai vietjet air ครั้งแรกกับสายการบินนี้เลย สิ่งที่ชอบเลยของสายการยินนี้คือ ชุดของแอร์บนเครื่อง น่าร๊ากกกกก....
คืนที่ 1
ทริปเชียงใหม่ครั้งนี้ เราไปกันทั้งหมด 6 คน เครื่องเท็คออฟเวลา 20.15 น. แต่เพราะอากาศไม่เป็นใจทำให้เครื่องดีเลย์เป็นเวลา 20.40 น. กว่าล้อเครื่องบินเราจะแตะพื้นดินเชียงใหม่ก็ปาเข้าไป 21.40 น. แล้ว ทำให้เป้าหมายแรกที่เราจะคือถนนคนเดินวัวลายละลายไปกับสายฝนเลย สิ่งที่เราทำได้ก็แค่เดินเข้าไปติดต่อกับ Hostel ที่เราจองเตียงไว้
เราพักคือแรกกันที่ Me U Hostel ตั้งอยู่แถวศูนย์ซัมซุงประตูช้างเผือก (พี่ที่ hostel บอกมาว่าให้บอกรถเมล์แดงแบบนี้) ประโยคนี้เลยเป็นเหมือน code ทริปนี้ของพวกเราเลย "ศูนย์ซัมซุงประตูช้างเผือก" พวกเราพูดประโยคนี้กันเล่นเกือบตลอดทริปเลย วิธีที่เราไป Hostel คือ โบกรถแดง ค่าเสียกายคนละ 30 บาท
เราจองที่พักนี้จากแอพ Booking ได้ในราคา 140 บาทต่อคนต่อคืน ไม่รวมอาหาร ซึ่งเทียบกับที่พักที่ดีขนาดนี้โคตรคุ้มเลย ใครอยากลองพักแบบ Hostel เราแนะนำให้ลองที่นี่เลย
หลังจากที่เราจัดการเก็บกระเป๋ากันเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินออกหาร้านข้าวเพื่อให้อิ่มท้องพร้อมต่อการนอน จากการสอบถามพี่คนดูแล Hostel ได้ความว่าเดินออกจากนี่ไป 3 นาทีจะมีตลาดโต้รุ่ง ไม่รอช้าเลย พวกเราเดินไปจบที่ร้านอาหารตามสั่งบ้านๆร้านหนึ่ง ที่รสชาติโอเคเลย ในราคาแค่ 40 บาทเอง แต่ที่เราสนใจมากกว่าคือร้านที่ถัดไปอีก 30 เมตร คือร้านหม่าล่าร้านแรกที่เราเจอ ก็อดใจกันไม่ได้ที่จะลอง แต่รสชาติก็ยังไม่โดนมากจนทำให้รู้สึกจริงๆว่ามาถึงแหล่งมาหล่าแล้ว เราเลยจะหาร้านใหม่ในวันต่อไป
วันที่ 2
เช้าวันนี้เรามีนัดรับรถยนต์ตอน 10 โมงเช้า ที่สนามบิน ของบริษัท Asap เราเช่ารถฟอร์จูนเนอร์ 7 ที่นั่ง จะได้นั่งกันสบายๆ พร้อมมีส่วนที่เก็บกระเป๋าได้ ใครราคา 2 วัน 2547 บาท ไม่รวมน้ำมัน หลังจากเซ็นเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยก็กลับไปรับเพื่อนๆที่รออยู่ Hostel แล้วที่แรกที่เราจะต้องไปคือ หาข้าวเช้ากิน มาถึงเชียงใหม่ทั้งทีจะไม่กินอาหารขึ้นชื่อของที่นี่คงไม่ค่อยถูกซะเท่าไร เราเลยเลือกจะไปโดนข้าวซอยเสมอใจ ชื่อดังของที่นี่ (มีหลายๆเว็บแนะนำมา)
โดยส่วนตัวเราว่ารสชาติโอเคเลย จากที่ไม่ค่อยได้กินข้าวซอยที่อื่นมาก่อนเลยไม่รู้ว่าจะเอาร้านไหนมาเปรียบเทียบ ถามว่าอร่อยมั้ยก็อร่อย แต่ไม่ถึงกลับต้องกลับไปกินอีกให้ได้อะไรขนาดนั้น ในร้านข้าวซอยเสมอใจยังมีร้านย่อยๆอีกหลายร้านให้เราเดินเลือกกินได้เลย ราคาก็เป็นไปตามจังหวัดท่องเที่ยว
สถานที่ต่อไปที่เราจะไปคือ วัดอุโมงค์ เป็นอีกวัดที่มีชื่ออยู่บ้างเหมือนกันเรื่องสถาปัตยกรรมของตัวอุโมงค์ภายในวัด เราเดินทางจากร้านเสมอใจไม่นานมากก็มาถึง มีทั้งชาวไทยและต่างญาติเดินเข้าออกอยู่ตลอด เสียดายที่วันนี้อากาศค่อยข้างร้อน หรือไม่รู้เป็นเพราะพวกเราเข้าวัดเลยร้อนเป็นพิเศษ 555+
จากที่นี่เราอยู่กันได้ไม่นาน เริ่มรู้สึกร้อนกันเกินไปแล้ว เลยชวนกันเปลี่ยนไปหากาแฟเย็นๆกิน แล้วสถานที่ที่เพื่อนเสนอต่อคือ บ้านข้างวัด แหล่งตลาดรวมของชิคๆแห่งหนึ่งของที่นี่ ที่เพิ่งเปิดมาได้ไม่กี่ปี เลยเป็นที่ต่อไปที่เราจะไปหากาแฟกิน
สำหรับคนที่ชอบของ handmake เราว่าเหมาะกับที่นี่มาก แต่ไม่รู้ทำไมวันที่เราไปของขายไม่ค่อยเยอะ หรืออาจเป็นเพราะเราไปไวเกินไป ได้ยินจากแม่ค้าบอกว่าตอนเย็นที่นี่จะมีงานอะไรสักอย่างที่พวกเราจะอยู่กันไม่ถึงอยู่แล้วเลยไม่ได้สนใจอะไร เราเดินหาร้านกาแฟนั่งชิลถ่ายรูปเล่นกันอยู่พักใหญ่ๆเลยทำให้เวลาเดินไปมากพอสมควร ก็น่าจะได้เวลาย้ายที่กันอีกแล้ว
ก่อนเรามาถึงเชียงใหม่ หลายๆคนก็คงเคยได้ยินชื่อร้าน iberry ของเดี่ยวไมโครโฟนมือ 1 ของไทยคือพี่โน๊ต อุดม แต้พานิช ก็ไม่พลาดที่จะไปนั่งพักลมเย็นๆที่นั่น ไปหาอะไรเย็นๆกิน หลังจากที่เราไปครั้งสุดท้าย ตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว มีการขยายร้าน มีโซนต่างๆมากขึ้น ลูกค้าก็เยอะขึ้นเช่นกัน ทั้งไทย ฝรั่ง และจีน และจีน และจีน จนคิดว่าหลงเข้าไปประเทศจีนรึป่าววะ... เรานั่งถ่ายรูปเล่นกันอยู่พักใหญ่เลยว่าจะตัดสินใจสั่งบิงซูมากิน เพราะอย่างที่รู้กันแหละครับว่าที่นี่ราคาเขาสูงอยู่
เสียดายที่เราอยู่นี่กันได้ไม่นาน ก็มีเม็ดฝนเริ่มโปรยลงมาใส่เราทำให้เราตัดสินใจไปที่พักอีกที่ที่เราจองไว้คืนที่ 2 ดีกว่า เพราะคืนนี้เรามีโปรแกรมไปเดินถนนคนเดินประตูท่าแพ แลนด์มาร์กของเชียงใหม่ และมีเรื่องพีคๆที่เกิดขึ้นกับเราด้วย รออ่านต่อ EP.2 นะ