เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryEndless
My Sweet Orange Tree ต้นส้มแสนรัก

  •              เราหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านหลังจากปล่อยมันทิ้งไว้ที่ชั้นหนังสือจนฝุ่นเกาะ เจ้าของหนังสือจริงๆเป็นเพื่อนในวัยมัธยมของเราเอง ครั้งแรกที่ได้อ่านเราอ่านมันไม่ถึง10หน้าด้วยซ้ำเพราะรู้สึกอ่านแล้วไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึง หลังจากนั้นเลยตัดสินใจไม่หยิบมันขึ้นมาอ่านอีกเลย จนเดือนมกราคมที่ผ่านมาเราตั้งเป้าหมายกับตัวเองในปี 2019 ว่า ใน1เดือนต้องอ่านหนังสือให้ได้อย่างน้อย2เล่ม ไม่ว่าจะเป็นหนังสือในรูปแบบใดก็ตาม หลังจากตั้งเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว เรากวาดสายตาไปรอบๆชั้นหนังสือ 

    “ต้นส้มแสนรัก” (เขียนโดย โจเซ่ วาสคอนเซลอส แปลโดย มัทนี เกษกมล )

    ด้วยความที่เป็นหนังสือเล่มเล็ก ไม่หนา ควรค่าแก่การเริ่มต้นอ่าน เราจึงตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งโดยลืมความรู้สึกครั้งแรกที่ได้อ่านและเริ่มต้นใหม่กับการอ่านครั้งนี้

              

              ต้นส้มแสนรักเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวของเด็กชายฐานะยากจนคนหนึ่งที่ชื่อว่า เซเซ่ อันที่จริงเขามีอีกหลายชื่อที่ถูกตั้งขึ้นโดยคนรอบๆตัวเขา เช่น ไอจอมก่อกวน เด็กเวร ไอ้หมาบ้า เขาเป็นเด็กที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวายและเล่นอะไรแผลงๆตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป ทำให้เขาถูกทำโทษอยู่บ่อยครั้ง จนเป็นสาเหตุให้เขาคิดมาตลอดว่าไม่มีใครที่รักเขาเลย วันหนึ่งเขาได้เจอกับ ต้นส้มต้นหนึ่ง ที่กลายมาเป็นเพื่อนในจินตนาการของเขา เขาใช้จินตนาการในการสร้างความสุขให้ตัวเองเนื่องจากในโลกของความเป็นจริงเขาแทบจะไม่มีความสุขเลย เซเซ่คอยเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ มิงกินโย ฟัง (ชื่อที่เซเซ่ตั้งให้ต้นส้มของเขา) ความพิเศษ คือไม่ใช่แค่เซเซ่ที่เป็นผู้เล่าเพียงฝ่ายเดียว แต่มิงกินโยก็ตอบโต้กลับมาหาเซเซ่ด้วยเหมือนกัน ---- ย้อนกลับไปในย่อหน้าแรกที่เราเกริ่นไว้ข้างต้นว่า เราอ่านไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงหนังสือเล่มนี้ เพราะเราในตอนนั้นคิดว่า ต้นไม้จะพูดได้อย่างไร มันดูไม่สมจริงเอาซะเลย แต่ในตอนนี้ที่เราได้อ่านมันอีกครั้ง เราคิดและหวนย้อนกลับไปตอนที่ยังเป็นเด็กที่เราต่างเล่นตุ๊กตาและพูดคุยกับมันเหมือนเพื่อนคนหนึ่งเคยแม้กระทั่งนั่งร้องไห้และบ่นเรื่องราวเศร้าๆของเราให้ตุ๊กตาเหล่านั้นฟัง มันไม่ต่างกับเซเซ่และต้นส้มของเขาเลย มันทำให้เราเข้าใจเซเซ่และเข้าไปในโลกของเขาได้ง่ายยิ่งขึ้น


                  ชีวิตเซเซ่โหดร้ายเหลือเกินเมื่อเทียบกับอายุของเขา เด็กชายอายุประมาณ6ขวบ ผู้มีจินตนาการอย่างมาก ฉลาดและเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ไวกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เซเซ่มีคำศัพท์ยากๆในหัวมากมาย มีทั้งคำที่เข้าใจยาก หรือคำหยาบคายที่เขาเองก็ไม่รู้ความหมายที่แท้จริง หากเพียงแต่พูดตามที่ได้ยินผู้ใหญ่พูดกัน เขาถูกคนในครอบครัวตีหรือทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงหลายครั้งเพราะคำหยาบเหล่านั้น เราแอบคิดว่าหนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์มาหลายปีแล้วแต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือลักษณะนิสัยของพ่อแม่หรือผู้ใหญ่บางคนในสังคม เหล่าเด็กๆต่างโดนผู้ใหญ่ตีหรือดุด้วยน้ำเสียงที่โหดร้าย เพราะพวกเขาพูดจาหยาบคาย แต่เด็กก็คือเด็กเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร แต่เขากลับโดนทำร้ายร่างกายจนกระทบไปถึงจิตใจมากกว่าการอธิบายดีๆ บางครอบครัวพูดจาหยาบคายหรือทะเลาะกันแรงๆต่อหน้าลูก ไม่แปลกใจเลยใช่ไหมว่าเด็กเอาคำหยาบคายพวกนั้นมาจากไหนกัน เราคิดว่าเรื่องราวของเซเซ่สะท้อนตรงจุดนี้ได้ดีทีเดียว

  •            

              ช่วงหลังของหนังสือได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเซเซ่กับชาวโปรตุเกสคนหนึ่ง ซึ่งเซเซ่เรียกเขาว่าโปรตุก้า ก่อนหน้านี้เซเซ่และโปรตุก้าเป็นคู่ปรับถึงขนาดที่เซเซ่สัญญากับตัวเองว่าถ้าโตขึ้นเขาจะกลับมาฆ่าชายคนนี้ให้ได้ แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้ามกลายเป็นว่าโปรตุก้า คือ ข้อยกเว้นในการทำเรื่องไม่ดีของเซเซ่ เขาบอกโปรตุก้าว่า เขาจะเป็นเด็กดี ไม่พูดคำหยาบ จะคอยขัดรองเท้าให้ จะทำทุกอย่างที่ถูกต้อง เซเซ่ให้ใจชายโปรตุเกสคนนี้เนื่องมาจากชายโปรตุเกสคนนี้ให้ใจเขามาก่อนเหมือนกัน ทั้งต้นส้มและโปรตุก้าทำให้ชีวิตของเซเซ่ดูมีความหวังที่จะมีชีวิตสดใสและราบรื่นอีกครั้งหลังจากเจอเรื่องราวร้ายๆในครอบครัว แต่เหมือนบททดสอบจะเข้ามาในชีวิตของเขาเสมอแบบไม่ว่างเว้น----เมื่ออ่านมาถึงช่วงนี้เราไม่ได้เตรียมใจกับเนื้อเรื่องที่จะเกิดขึ้นในการอ่านบทต่อไป คิดแค่ว่าชีวิตเด็กคนนี้กำลังไปได้สวย แต่ไม่ใช่เลยบทหลังจากนี้ทำให้เรากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ต่างหาก

         
            การสูญเสีย ได้เข้ามาในชีวิตของเซเซ่ เขาได้รู้ถึงคำว่าใจสลายเป็นอย่างไร การเจ็บปวดและทรมานมันหนักแค่ไหน ความสุขในโลกจิตนาการหรือแม้กระทั่งความสุขในโลกความจริงของเขาได้ดับสลายไปพร้อมๆกัน----เรารู้ดีว่าการสูญเสียที่ทำให้หัวใจของมนุษย์แตกสลายได้มากที่สุดคือการสูญเสียอย่างไม่มีวันกลับมาของคนที่เรารัก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราร้องไห้กับบทท้ายๆของหนังสือเล่มนี้


                                                     “ผมเฝ้าจูบดอกไม้เล็กๆ สีขาวที่นิ้วมือ

                                                 
                                                   ผมจะไม่ร้องไห้เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไปแล้ว
              
                    
                        แม้ว่ามิงกินโยจะพยายามกล่าวคำอำลาด้วยดอกไม้เล็กๆ

                                             
                                                 เขาจากโลกความฝันของผมไปสู่โลกแห่งความจริงและความเจ็บปวด…”



               สิ่งที่เราได้จากการอ่านหนังสือวรรณกรรมเล่มเล็กเล่มนี้ คือ การสอนให้เรารู้ว่าหนังสือบางเล่มเมื่ออ่านในวัยที่แตกต่างกันความรู้สึกที่ได้ก็ย่อมแตกต่างไปด้วย ในวัยๆหนึ่งเราอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วไม่เข้าใจไม่ซาบซึ้งแต่ไม่ได้หมายความอีกสองสามปีหลังจากนี้ความรู้สึกที่เรามีต่อหนังสือเล่มนี้จะเหมือนเดิม ไม่แน่ว่าหนังสือที่คุณยังอ่านมันไม่จบเมื่อสองสามปีก่อนหน้านี้ เมื่อหยิบมาอ่านอีกครั้งในตอนนี้อาจกลายเป็นหนังสือเล่มโปรดของคุณก็ได้


    (ต้นส้มแสนรัก นอกจากถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือแล้วยังถูกหยิบมาสร้างภาพยนตร์ในชื่อ My sweet orange tree อีกด้วย แต่เนื้อหาจะมีการตัดทอนลงมาบ้าง และไม่เหมือนซะทีเดียวกับในหนังสือ)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in