เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้นนอวอรอรอตอพอลอ
บทสนทนากับปีศาจสุรา (1)
  • "เฮ้ย ไอ้นะ เรารู้จักกันมากี่ปีแล้ววะ"

    ผมเปิดบทสนทนา ในห้องสตูดิโอในเมืองหลวงที่ผมอยู่มีขนาดใหญ่กว่ารังหนูเพียงเล็กน้อย ใช้โวลุ่มประมาณเบอร์สองก็เข้าใจกันได้แล้ว แต่ถ้าคุยดังไปห้องข้างๆ ก็จะมาเคาะประตู ดึกๆ แบบนี้คงไม่สนุกสำหรับเพื่อนบ้าน

    ไอ้นะนิ่งเงียบ ปกติมันไม่ชอบพูดมาก ชื่อนะก็เป็นชื่อเล่นที่ผมตั้งให้เอง จริงๆ มันชื่อความตาย แต่เรียกไปยังไงก็ไม่คุ้นปาก เคยเรียกมันว่าคุณมรณังอยู่พักหนึ่งแล้วมันก็ทำท่าไม่ชอบ... เรื่องมากชิบหาย ตัวเองไม่เคยเรียกชื่อตัวเองสินะ

    "ถ้าจำไม่ผิด ตอนเกิดมา มึงก็มายืนดูตอนหมอตำแยดึงกูออกมา จะว่าไปมันก็นานแล้วนะ"

    ไอ้นะพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย มันยังไม่ยอมพูดอะไร เพราะตอนนี้มันกำลังเพลินกับเหล้าวิสกี้ชั้นดีที่เพิ่งหยิบมาจากตู้ตะกี้

    "เชี่ย พูดมั่งก็ได้นะ กูอุตส่าห์ชวนมาคุยกัน นั่น แล้วเอาเหล้ากูกลั้วปากอีก ของดีๆ มาทำเล่นได้ไงวะ" ผมด่ามันขำๆ พลางหยิบเลย์เข้าปากอีกชิ้นนึง ขนมถุงพวกนี้มันเป็นกับแกล้มที่เวิร์คมาก ดีที่ไอ้นะมันไม่ชอบแย่งกับในจานเท่าไหร่

    "มึงรู้มั้ย วันก่อนกูรู้สึกเหมือนหยุดเวลาได้" มุขนี้ได้ผล ไอ้นะเงยหน้ามามองพลางขมวดคิ้วข้างนึงแสดงอาการสงสัย มันกับเวลาเป็นเพื่อนกันมานาน นานกว่าที่ผมจะจำความได้เสียอีก ไอ้สองตัวนี้มันทำงานร่วมกันเป็นทีมเสมอ ถ้ามีใครหยุดเวลาได้ ไอ้นะอาจจะซวยถึงขั้นตกงานได้

    แต่เดี๋ยวเดียวมมันก็เก็ตมุขผม มันเผยอยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากข้างซ้าย ใครเปิดหนัง godfather ให้มันดูวะ แม่งจำท่ามาร์ลอน แบรนโด้มาชัวร์

    ในที่สุดมันก็อ้าปากพูด "มึงน่ะ อกหัก มึงอยากจะหยุดเวลาไม่ให้เดินไปข้างหน้าเพราะมึงรู้ว่ามึงไม่มีอนาคตกับเขาแน่ๆ ถุย เรื่องแค่นี้เอามาทำเป็นมโน"

    "เฮ้ย กูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ แม่งเหมือนกับกูอยู่ในโลกนี้คนเดียว คนอื่นๆ แม่งยืนแข็งทื่อกันหมด หมาที่กำลังจะฉี่ใส่ต้นไม้ก็ค้างไว้อย่างนั้น ฉี่มันก็แข็งอยู่กลางอากาศ ฝนที่กำลังตกแม่งอย่างกับหยดน้ำที่ลอยค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ"

    "มึงไปเก็บเอาเอ็มวีเพลงที่ไหนมานั่งมโนต่อ อยากเป็นพระเอกเอ็มวีน่ะสิ"

    "เออสิวะ"

    ไอ้นะหัวเราะหึๆ ในลำคอ "มึงก็น่าจะรู้ ถ้าไอ้เวลากับกูเห็นตรงกัน มึงจะไม่มีโอกาสคุยกับเขาอีก อยากเห็นหน้าก็ไม่ได้ จริงๆ แล้ว มึงจะจำเขาไม่ได้ด้วย ไอ้เวลาจะเก็บความจำมึงไปฝัง กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ไหน ไอ้เหี้ยนี่ความลับมันเยอะ จริงๆ มันก็เริ่มทยอยเก็บความจำมึงไปบ้างแล้วนะ มึงจำได้รึเปล่าล่ะว่าวันที่มึงแหกขี้ตาตั้งแต่ตีสี่เพื่อขับรถไปหาเขาคนนั้นที่มึงนัดไว้สายๆ ที่ระยองน่ะ วันนั้นมึงใส่เสื้อตัวไหน?" ผมคิดนิดหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า "เห็นมั้ย พอมึงเผลอ มันก็มาขโมยความจำมึงไป แม่งขี้ขโมย กูโตมากับมันมาตั้งแต่เด็กละ สันดานชิบหาย"

    "ก็นั่นมันรายละเอียดปลีกย่อย ใครเขาจะไปจำวะ มึงถามกูสิว่าเช้านั้นน้องเขาลงมาจากเกสต์เฮ้าส์กี่โมง สั่งอะไรกินตอนเช้า ใส่ชุดสีอะไร ถามที่มันเป็นสาระสิวะ"

    "วันนั้นเขากินกาแฟกี่แก้วเอ้า?"

    "ไม่ได้กิน เขากินชาทไวนิ่งอิงลิชเบรคฟาสต์แก้วนึง กับน้ำถั่วแดงปั่นแก้วนึง เขาไม่แดกกาแฟเว้ย"

    ไอ้นะหัวเราะก๊าก นานๆ มันจะหัวเราะแบบนี้

    "เออจริง เก็บกอดไว้สิความจำแบบนี้ จำแต่เรื่องของคนอื่น ทีตัวเองใส่เสื้ออะไรไม่รู้จักจำ" มันกระดกวิสกี้ชั้นดีครึ่งแก้วที่เหลือเข้าปากแล้วพูดต่ออย่างรวดเร็ว "มึงควรจะรู้ว่า มนุษย์สร้างตัวตนปัจจุบันของตัวเองจากความทรงจำในอดีต ถ้ามึงไม่รู้จักสนใจเรื่องตัวเองมึงจะกลายเป็นใครวะ เคยได้ยินไหมไอ้ที่เขาบอกว่าไม่มีอดีตก็ไม่มีปัจจุบันหรืออนาคต"

    "กูไม่มีแล้วอนาคต อกหักนี่มันทรมานนะเว้ย มึงไม่เคยอกหักรึไงวะ"

    ไอ้นะมันจ้องหน้าผม ความขี้เล่นในแววตาที่คุ้นเคยคู่นั้นหายวับไป

    "กูยังพูดไม่จบ ... กูกำลังจะพูดว่า ไอ้เหี้ยที่คิดประโยคนั้นแม่งเป็นมนุษย์ที่ฉลาดมาก ฉลาดเกินไป กูเถียงกับเวลาอยู่ตั้งนานตอนจะรับตัวมันไป แม่งควรจะอยู่ต่อนานๆ คนอย่างพวกมึงจะได้ฉลาดขึ้น กูจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่เวลามันไม่ยอม มันบอกว่าแม่งปีนเกลียวมัน ถ้ามันอยู่ต่ออีก มนุษย์อาจคิดทฤษฎีย้อนเวลาได้สำเร็จ เรื่องนั้นมันยอมไม่ได้ เพราะเวลาแม่งจะหมดค่า สุดท้ายคราวนั้นก็เลยยอมหยวนให้แม่งไป

    "ส่วนอนาคตของมึงน่ะ คิดสั้นไปมั้ยวะ เข็มนาฬิกามึงกระดิกทีนึงก็อนาคตแล้ว พรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็จะขึ้นอีก" ไอ้นะเหลือบดูนาฬิกาโรเล็กซ์ที่มันสวมอยู่นิดนึง"แค่อีกสี่ชั่วโมงกว่าๆ ก็จะสว่างแล้ว แล้วดอกไม้หน้าห้องมึงก็จะบานอีก เครื่องต้มกาแฟมึงก็จะต้มกาแฟหอมๆ นั่นออกมาให้มึงกิน มึงก็จะขี่จักรยานไปถึงที่ทำงาน แอบเมาท์เจ้านายกับเพื่อนร่วมงานสาวๆ ก่อนไปเปิดคอมพิวเตอร์นั่งเช็คอีเมล์ ..."

    "อนาคตแบบนี้กูไม่อยากได้หรอก กูอยากให้น้องเขารักกู"

    "กูยังพูดไม่จบ..." มันพูดเบาๆ เคร่งขรึม ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงอำนาจเต็มที่ "รินเหล้าให้กูอีกแก้วซิ"

    วันนี้แม่งแดกเยอะชิบหาย ผมแอบคิดในใจระหว่างเดินไปเปิดตู้เหล้า เลือกหยิบจอห์นนี่วอล์กเกอร์บลูเลเบิ้ลมา ขวดนี้ผมเก็บมาตอนกลับจากต่างประเทศครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน กะว่าจะกินตอนโอกาสพิเศษจริงๆ คงไม่มีโอกาสเหมาะกว่านี้อีกต่อไปแล้ว

    ผมเทให้มันไปครึ่งแก้ว น้ำแข็งตามไปสามก้อนอย่างที่มันชอบ แล้วชงให้ตัวเองแบบเดียวกัน

    "เอ้า เชียรส์"

    "เชียรส์"

    "ต่อดิ มึงจะบอกอะไรอีก"

    "กูลืมไปแล้ว" ไอ้นะจิบจอห์นนี่บลูของผมด้วยท่าทีของเด็กที่สนใจของเล่นใหม่ มันคงยังไม่เคยลองยี่ห้อนี้ ผมก็เหมือนกัน มันอร่อยจริงๆ นะ

    "อืมมม อนาคตของมึงน่ะก็คืออนาคตของมึง อนาคตของเขาก็คือของเขา มันจะมาบรรจบกันหรือเปล่านั่นกูไม่รู้ ไอ้เวลาน่ะรู้ แต่มันไม่บอกใครหรอก แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องเก็บมาคิดมาก กูเห็นมึงเอาแต่หมกมุ่นเรื่องของเขา วันๆ ก็เอาแต่ใจลอย ฟังเพลงอกหักอยู่ตลอดเวลา บางทีตอนปั่นจักรยานไปทำงานมึงก็ถอนหายใจ ทำเป็นเอามือมาขยี้ขี้ตา แถมขับปาดรถเมล์มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อย กูเห็นหมดแหละ น่าเบื่อมาก"

    ผมนั่งทำตาปริบๆ จนมันด่าจบ "ตอนกูถีบจักรยานนี่มึงไปแอบดูกูอยู่ตรงไหนวะ"

    "กูก็นั่งซ้อนท้ายมึงไปน่ะสิ"

    "เชี่ย ทำไมกูไม่รู้"

    มันหัวเราะหึๆ จิบเหล้าอีกอึกนึงก่อนตอบ "มึงมีตาหลังรึไง"

    "ไม่ต้องมีหรอก ใครมาซ้อนกูก็ต้องรู้ดิ น้ำหนักมันต้องเปลี่ยน"

    ไอ้นะถอนหายใจเฮือกนึง "มึงไม่เคยได้ยินเหรอ เขาลือกันว่ากูหนักแค่ 21 กรัมเอง"

    "นั่นเขาพูดถึงน้ำหนักของวิญญานไม่ใช่เหรอ กูไม่ยักรู้ว่ามึงเชื่อเรื่อง bullshit แบบนี้ด้วย"

    "กูไม่ได้เชื่อ แค่เปรียบเทียบให้ฟัง ไอ้ห่า กูเคยชั่งน้ำหนักซะเมื่อไหร่"

    เราทั้งคู่หัวเราะกับมุขตุ่นๆ ของมัน สงสัยคงจะเริ่มกรึ่มได้ที่ อะไรๆ ก็ขำไปหมด

    "กูดีใจที่ได้คุยกับมึงวันนี้นะ แถมวันนี้คุยจ้อซะด้วย อารมณ์ดีจริงนะ"

    "มึงเคยสนใจฟังกูเหรอ นี่วันนี้มึงชวนกูมาแดกเหล้า บอกอยากคุยด้วย ไม่งั้นกูก็อยู่ของกูเงียบๆ ดีกว่า"

    "ขอบใจเว้ย ว่าแต่ จริงๆ แล้วกูเชิญมึงมาทำไมมึงรู้มั้ย?"

    มันเลิกคิ้วถาม

    "กูอยากตายคืนนี้ มึงพากูไปหน่อยสิ"

    "ไร้สาระ มันไม่ได้อยู่ที่กูคนเดียวมึงก็รู้"

    "ถ้ากูบังคับมึงล่ะ?"

    "มนุษย์อย่างมึงจะเอาอำนาจอะไรมาบังคับกู"

    "เขาเรียกว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์เว้ย ไม่รู้จักล่ะสิ" ผมล้วงกระเป๋าหยิบยานอนหลับแผงนึงขึ้นมาอวด

    ไอ้นะมองผมนิ่งๆ พักนึง ก่อนตอบ "มึงไม่อยากมีชีวิตต่อถึงขนาดนี้เลย?"

    "มึงก็รู้ มึงเห็นทุกอย่าง มึงต้องเห็นว่าเขาทำกับกูยังไง" ผมรินแก้วใหม่ให้ตัวเอง จอห์นนี่วอล์กเกอร์บลูสีอำพันไหลลงมาจนปริ่มแก้ว

    "นั่นไม่สำคัญหรอก" มันถอนหายใจสองเฮือกใหญ่ "กูบอกมึงกี่ครั้งแล้ว ถ้าเวลามันไม่เอาด้วยกูทำคนเดียวไม่ได้ ไม่ว่าอยากจะช่วยมึงแค่ไหนก็ตาม ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าแปลว่ากูอยากช่วยมึงหรอกนะ"

    "ไม่ต้องหรอก กูจัดการตัวเองได้" ผมเริ่มฉีกยาออกจากซอง ยากดประสาทเม็ดสีขาวเล็กๆ สิบเม็ดอยู่ในมือของผม นั่นคือเยอะสุดเท่าที่ผมจะหามาได้โดยไม่ทำให้เภสัชกรแถวบ้านสงสัย ว่าแต่เราคงเมาจริงๆ แล้วล่ะ ดูสิ มือสั่นไปหมด ไอ้นะตอนนี้เริ่มเทเหล้าให้ตัวเองแล้ว มันยกมากระดกทีเดียวหมดแก้ว ท่าทางยังกะสิบล้อถูกหวย

    "เชี่ย เหล้าดีๆ มึงแดกยังกับคนไร้รสนิยม"

    ไอ้นะมองผมด้วยแววตาสมเพชเต็มที "มึงรู้ใช่ไหม หลังจากมึงแดกวิทยาศาสตร์สิบเม็ดนั่นเข้าไป มึงจะหลับ ซึ่งก็ดีเพราะกูเห็นมึงนอนไม่หลับมาเกือบเดือนแล้ว แต่พอมึงตื่น..."

    "กูไม่อยากตื่น"

    "กูยังพูดไม่จบ ... พอมึงตื่นมา ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือที่ไหน มึงจะมองทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้ามึงยังจะจำน้องเขาได้ ความรู้สึกของมึงที่มีต่อเขาก็จะไม่เหมือนเดิม"

    "กูไม่อยากรู้สึกอะไรแล้ว มันทรมานเกินไป"

    "กูยังไม่จบ ไอ้เหี้ยน้อต เมื่อไหร่จะเลิกพูดแทรกคนอื่นวะ นี่แหละปัญหาของมึง. มึงฟังอะไรครึ่งๆ กลางๆ ก็เก็บไปคิดเล็กคิดน้อยคิดมาก คิด คิด คิด ฟังให้จบสิโว้ย" ประโยคสุดท้ายมันตวาดลั่น ทำเอาผมตกใจจนยาเม็ดสุดท้ายที่กำลังจะกินเกือบติดคอ

    "กูจะบอกว่า น้องเขาก็จะมองมึงเปลี่ยนไป คิดไหมว่ามันจะทำให้เขารู้สึกแย่แค่ไหนกับความรู้สึกว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้ใครฆ่าตัวตายน่ะ"

    "กูคิด แต่มันคงสายไปแล้วล่ะ" ผมยกแก้วสุดท้ายขึ้นดื่มพรวดๆ อมไว้ในปากแล้วกลั้วเหล้าราคาหลายพันไปอยู่พักหนึ่ง เออมันเจ๋งดีเหมือนกันนะ

    ผมทนฟังมันด่าอีกสี่ห้านาที สมองก็เริ่มเพลียเต็มที่ ไม่รู้ว่ามันพูดอะไรบ้าง เหมือนจะเป็นอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเวลา แล้วผมก็ผลอยหลับไป...


    ผมสลึมสลือตื่นขึ้นมาบนเก้าอี้ตัวเดิม ไอ้นะมันยังนั่งยิ้มกริ่มอยู่ตรงนั้น ขวดเหล้าที่เคยอยู่ในตู้ของผมกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น แม่งหยิบมากินจนเกลี้ยง

    "นี่กูอยู่ไหนวะ"

    "ก็ที่เดิมแหละ สายมากแล้ว โทรไปลางานสักวันไป"

    "นี่มึงไม่พากูไปจริงๆ เหรอเนี่ย"

    "กูบอกแล้ว ว่ากูทำคนเดียวไม่ได้ นี่กูไปตามเวลามาดูเคสมึงเลยนะ เถียงกันอยู่ตั้งนานจนเหล้าหมดเนี่ย"

    "เวลาไม่ให้กูไปเหรอ"

    "เปล่า มันบอกจริงๆ แล้วมึงอยู่ไปก็รกโลก รีบๆ พามันไปดีกว่า"

    "แล้วมึงห้ามมันไว้ทำไม"

    "กูไม่อยากให้มึงตาย" ไอ้นะแสยะยิ้มอีกแล้ว "กูชอบคุยกับมึง"


    หมายเหตุ: มันเป็นเรื่องสั้นจากจินตนาการ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลใดๆ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น คนชื่อ "นะ" ทั้งหลายในโลกนี้มา ถ้ารู้สึกไม่ดี ผู้เขียนก็ใคร่กราบขออภัยมา ณ ที่นี้

    แก้ไขสำหรับ minimore 27/05/17

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in