เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเท่าที่นึกได้Pimmuable
Turn on the Write... แล้วเราจะเข้าใจเมื่อเราโตขึ้น
  • ช่วงอายุ 19-20 น่าจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากเด็กมัธยมมาสู่เด็กมหาลัย
    จริงๆเราเพิ่งเขียนหัวข้อ 'อดีตที่เรียกหา' ที่เกี่ยวกับช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยของเราไปหมาดๆ
    เนื่องจากมันมีเหตุให้เราได้กลับไปพูดถึงความทรงจำในช่วงเวลาเหล่านั้นอีกครั้ง

    ช่วงเวลาเกือบปีก่อนเอนท์ เราตั้งใจจะเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งมากๆ จะเรียกว่าติ่งก็ไม่ผิด
    จนสุดท้ายแพชชั่นอันแรงกล้าก็พาเราเข้ามาเรียนที่นี่ได้จริงๆ
    ใครจะไปรู้ว่าการเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัย ที่เป็นเหมือนบันไดอีกขั้นของชีวิตคนเราจะเป็นยังไง
    เราคิดแค่ว่า เราอยากเข้า เราอยากเรียนที่นี่ ถ้าได้เรียนมันคงมีความสุข แค่นั้นแหละ
    ...

    แต่ความจริงที่เราได้สัมผัสคือ โลกในมหาวิทยาลัยกว้างใหญ่กว่าโลกมัธยมนัก 
    เพราะมันรวมเด็กๆจากทั่วทุกสารทิศ แตกต่างกันทั้งฐานะ สังคม ความคิด รวมถึงสติปัญญา(!) ฯลฯ
    ยอมรับว่า cultural shock พอสมควร บวกกับความเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองและขี้กลัวในระดับนึง
    หลายครั้งที่ไม่กล้าเข้าไปพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่มองภายนอกช่างเหมือนแก๊งค์นางฟ้าหรือผู้เข้าประกวด The face thailand ที่แสนมีความมั่นใจและสวยงามอะไรเบอร์นั้น
    หรือเพื่อนบางคนที่พูดได้หลากหลายภาษา สอบติดเข้ามาแบบคะแนนท็อปประเทศ 
    จดเลคเชอร์เป็นตัวเขียนภาษาอังกฤษ (แต่อาจารย์พูดภาษาไทยนะ) O_o

    เราได้เจอผู้คนที่มีความแตกต่างกับเรามากในหลายๆด้าน 
    จนมันยิ่งทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองมากขึ้นไปอีกในแต่ละวัน
    ใครบอกว่าคนเราไม่ได้คบกันที่ภายนอก จริงๆคนเราก็คบกันทั้งภายนอกและภายในนั่นแหละมั้ง 
    ถ้ามันไม่มีอะไรคลิ๊กกันเลย ไม่ว่าจะไลฟ์สไตล์ ฐานะ สังคม ความคิด ก็คงมาอยู่ด้วยกันไม่ได้
    ...เพราะสุดท้ายเชื่อไหม ไม่ถึงปีหรอก 
    เราทุกคนต่างจะถูกจัดกลุ่มให้ได้ไปอยู่กับคนที่อย่างน้อยๆ ต้องมีอะไรคลิ๊กกับเราสักหนึ่งอย่าง
    สุดท้ายแล้วมันจะจัดกลุ่มของมันได้เอง ว่าใครเหมาะที่จะสนิทกับใครและไม่สนิทกับใคร

    เราได้เจอเพื่อนสนิทในคณะ 2 คนที่เรารู้สึกสนิทใจและสบายใจที่จะอยู่ด้วย
    แต่เพื่อนเราบ้านอยู่ไกลและต้องรีบกลับบ้าน จึงไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมของคณะ
    เมื่อไม่มีเพื่อนที่สนิทเข้าร่วมกิจกรรม จึงพาลทำให้เราไม่อยากไปด้วย
    ไม่ใช่ไม่เคยลองไปนะ แต่เคยลองไปคนเดียวหลายครั้ง 
    เจอเพื่อนที่พอรู้จักแต่ไม่สนิท พอนั่งด้วยได้ พอพูดคุยกันได้นิดๆหน่อยๆ
    แต่ความรู้สึกข้างในมันโหวงเหวง รู้สึกอึดอัดไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไรนัก(ดราม่า)
    พอเริ่มไม่ไปทำกิจกรรมคณะ มันเลยทำให้เราไม่ค่อยรู้จักเพื่อนในคณะเท่าไร 
    รู้จักแค่ช่วงแรกๆอยู่ไม่กี่คน หลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกแปลกแยกจากคนอื่นมากขึ้นทุกที

    ช่วงชีวิตตอนนั้น อยู่คนเดียวซะส่วนใหญ่ ซอกหลืบตามห้องสมุดคือที่โปรด การเดินไปไหนมาไหนคนเดียวคือเรื่องปกติ การกินข้าวคนเดียวก็เช่นกัน มันแย่ขนาดที่ว่า แทบจะทุกพักกลางวันที่เราต้องคอยโทรหาเพื่อนเก่าที่อยู่อีกคณะเพื่อไปกินข้าวด้วยกัน
    ที่ไหนที่มีคนเยอะๆ จะไม่มีเราอยู่ และที่ไหนที่ไม่ค่อยมีคน เราจะไปอยู่ที่นั่น
    (ยังนั่งคิดอยู่เลยว่าโดดเดี่ยวอะไรเบอร์แรงขนาดนั้น)
    .
    .

    เมื่อเข้าเทอม 2 เพื่อนเราทั้งคู่ตัดสินใจจะซิ่ว
    และสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้แยกย้ายไปเรียนคณะอื่นและมหาลัยอื่นอย่างที่หวังไว้
    เราไม่ได้โกรธเพื่อนหรืออะไรเลย กลับยินดีด้วยซ้ำ ที่เพื่อนจะได้ไปเรียนในสิ่งที่อยากเรียนจริงๆ
    เราเองก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของเราไป ด้วยการหาเพื่อนกลุ่มใหม่
    ในขณะที่หลายคนมีเพื่อนเป็นกลุ่มแก๊งค์กันแทบจะเรียบร้อยแล้ว
    ...
    ทุกคนถูกจัดกลุ่มกันหมดแล้ว
    ทิ้งเราไว้หนึ่งคน ที่คนบนฟ้าอาจจะยังสับสนว่าจะจัดกลุ่มมันยังไงดี
    ?


    จริงที่ว่า.... 
    'เด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจและรู้สึกว่าตัวเองก็โตเกินไปที่จะมานั่งเศร้า' 
    หลายครั้งที่พยายามปลอบตัวเองว่า มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น มันไม่ได้แย่
    โตแล้ว อยู่มหาลัยแล้ว จะมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งแค่เพราะต้องใช้ชีวิตคนเดียวบ่อยๆได้ไง
    ซึ่งเอาจริงตอนนั้นเราก็ไม่มีฟีลร้องไห้ขี้มูกโป่งนะ มันแค่เป็นความทรงจำที่เราคงไม่มีวันลืม
    ไม่ว่ามันจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม 

    จริงๆ แล้วเราทุกคนก็แค่รอเวลามั้ง แค่รอให้เวลามันผ่านไป
    แค่ใช้เวลาในทุกวันไปเรื่อยๆ เพราะเดี๋ยวสุดท้ายมันก็จะผ่านไปเอง

    .
    .
    .

    กลับมานั่งนึกตอนนี้ว่า เราผ่านช่วงเวลาที่แสนโดดเดี่ยวในตอนนั้นมาได้ยังไงนะ?
    คิดไปคิดมาแล้ว คำตอบก็น่าจะเป็น แม้เราจะโดดเดี่ยวในอีกสังคมหรือในโลกอีกใบหนึ่ง
    แต่เรายังมีโลกใบอื่นๆ ที่มีใครสักคนเคียงข้างเราอยู่
    อาจจะไม่ต้องเคียงข้างก็ได้ แค่หันไปมองแล้วเห็นว่าเค้ายังอยู่ตรงนั้น
    ไม่ต้องซัพพอร์ตเรา แค่รู้ว่าต่อให้เราจะเป็นยังไง ทำอะไร เค้าก็ยังจะยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม

    นึกแล้วต้องขอบคุณครอบครัว ไม่ว่าจะเหงายังไง กลับบ้านมาก็ยังมีข้าวให้กิน มีเตียงให้นอนล่ะวะ 55 
    ขอบคุณเพื่อนเก่าๆ คงไม่ต้องเอ่ยนามแต่รู้กัน 
    ที่ทำให้ช่วงเวลาอันแสนโดดเดี่ยวไม่ได้โดดเดี่ยวไปซะทีเดียว
    ขอบคุณโลกบางใบ ที่เอื้อเฟื้อพื้นที่ในช่วงเวลาหนึ่งให้เราได้สลัดความโดดเดี่ยวทิ้งออกไปบ้าง

    .
    .
    .
    .

    สุดท้ายคนบนฟ้าก็หากลุ่มลงให้เราจนได้ แม้เราจะไม่ได้สนิทกันมากนัก
    แต่อย่างน้อยๆ เพื่อนกลุ่มใหม่นี้ก็ทำให้เราผ่านพ้นช่วงเวลาในมหาลัยไปได้ด้วยดี 
    มันจริงที่ว่า คนเราไม่สามารถเลือกชีวิตแบบที่ต้องการได้ 100% 
    บางครั้งเราต้องยอมที่จะไม่ได้ดั่งใจบ้าง
    เพื่ออะไรน่ะหรอ?

    ...

    คำตอบง่ายๆ เท่ๆ คูลๆ ของเราก็คงมีแค่
    เพื่อให้เราได้เรียนรู้ 'หนังสือ สปช.' ที่แท้จริง 
    (นั่น ยังจะตลกอีก)


    สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
    เพื่อเข้าใจชีวิต
    เพื่อเรียนรู้ชีวิต
    ...
    ..
    .
    แล้วเราอาจจะเข้าใจเมื่อเราโตขึ้น

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in