เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
พุด​ซ้อน​รัญจวน​ #พซรจ
สอง

  • /




    ฤดูฝน, ปี ๒๕๖๓

    ในเดือนกันยายน











                        รุ่งอรุณ​ย่างกรายมาอีกครา รามสูรเป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว, ซึ่งเช้าที่ว่าก็ประมาณตีห้าเกือบหกโมงได้ บางวันก็ตื่นมาทำกับข้าวไม่ก็ขนมหวาน อย่างเช่น หมึกนึ่งมะนาว แกงส้มชะอมไข่ กล้วยบวดชี, อย่าหาว่าอวดอ้างเลย, แต่รสมือเขาไม่เป็นรองใครในบ้านหรอกนะ


    ส่วนวันนี้เขากำลังง่วนกับการเตรียมวัตถุดิบ​สำหรับเมนูผัดถั่วงอกเต้าหู้​หมูสับ มือเรียวจับด้ามมีดหั่นเต้าหู้อย่างทะมัดทะแมง​เพราะได้เข้าครัวกับแม่และยายแต่เด็ก บางครั้งก็ถูกให้ใช้ทำอะไรจุกจิก บางคราก็กลายเป็นหัวหน้าพ่อครัวในบ้าน



                        รามสูรหวนกลับไปสู่วันวาน, ห้องครัวทางปีกซ้ายที่กินพื้นที่กว้างกว่าห้องนั่งเล่น ยามเขายังเป็นเด็กประถมก็ได้สำรวจอุปกรณ์​ในนั้นอย่างครบถ้วน จนกระทั่งเข้ามัธยมต้น, คุณยายผู้มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าใจดีก็อนุญาต​ให้รามสูรจับมีดและใช้น้ำมันได้ (ซึ่งแน่นอนว่ามีรอยน้ำมันกระเด็นฝากไว้บนท่อนแขน)​ เขาฝึกหัดจนทำได้หลายอย่างทั้งคาวหวาน เพียงเพื่ออยากให้คุณยายเอ่ยชมเชยกับฝีมือการทำอาหารของตน ท่านจะได้ไม่ต้องห่วงแล้วว่าหลานชายตัวน้อยคนนี้จะเลี้ยงตัวเองได้หรือไม่





    แต่แล้วกาลเวลาก็ไม่รอท่า ความตายพรากผู้อาวุโส​ของบ้านหลังนี้ไปจากอ้อมกอดของเด็กชายวัยสิบสี่ปี 



    ㅡ ทั้งที่คุณยายยังไม่ได้ทานบัวลอยฝีมือหลายชายเพียงคนเดียวของเธอ






    /






                        อากาศ​ร้อนอบอ้าวเป็นสัญญาณว่าฝนจะตกในไม่กี่ชั่วโมงถัดไป รามสูรอยู่ในเสื้อยืดคอกลมตัวโคร่ง และกางเกงเชือกผูกขาสั้น เขากำลังเล่นกับเจ้าหง่าวในห้องนั่งเล่นด้วยไม้ล่อแมว 


                        เพียงชั่วครู่, ความง่วงงุนก็เข้าครอบงำเปลือกตาของชายหนุ่ม​ เขาซุกตัวในโซฟาผ้าคล้ายต้องการแสวงหาความอบอุ่น อาจเพราะเครื่องปรับอากาศ​ที่เย็นฉ่ำ ไม่ก็ความเหนื่อยอ่อนจากการจ้องมองหน้ากระดาษอันว่างเปล่า ㅡ เขียนไม่ออกเลยสักตัว

     

    ร่างสูงเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างทันที เจ้าหง่าวเดินต้วมเตี้ยม​ ล้มตัวลงข้างล่างโซฟา และเฝ้าเจ้านายที่กำลังอยู่ใน​ห้วงภวังค์​






    รามสูรมักมีคำกล่าว​ติดปากว่า ㅡ



    ซาตานคือตัวอักษร และวิญญาณกลวงเปล่า​คือนักเขียน, 


    เพราะเหล่านักเขียนทั้งหลายมอบวิญญาณครึ่งนึงแก่หน้ากระดาษ เราต่างใส่ตัวตนลงไปในอักษรที่ร้อยเรียงกันเป็นคำ จากคำเป็นประโยค จากประโยคเป็นเรื่องราว 



    ซาตานแท้จริงมิได้อยู่ในนรก, สำหรับนักเขียน, หากแต่เป็นผลงานที่พวกเขาสรรค์​สร้าง​ 

    เราล้วนสละเวลา จิตใจ และตัวตน มอบแด่ซาตาน​ ㅡ แลกกับดวงใจอันถูกเติมเต็ม



    รามสูรไม่คิดว่านักเขียนควรเอาใจนักอ่าน, นักเขียนและนักอ่านควรได้ประโยชน์​ร่วมกัน, กล่าวคือ ผู้รังสรรค์ควรได้​เขียนเพื่อเติมเต็มจินตนาการ​ตนเป็นประการแรก ก่อนจรดนิ้วบนแป้นพิมพ์​เพื่อให้ผู้อ่านได้อะไรก่อนปิดหนังสือเป็นประการที่สอง






    เมื่อรามสูรกลับมาอ่านถ้อยคำบนหน้ากระดาษ

    เขาก็ได้สัมผัสตัวตนอันถูกฝากไว้บนนั้น




    ยามสูญสิ้นวิญญาณ​จนเจียนตาย

    เขาละลายตัวอักษร​พวกนั้น

    ใส่ในแก้วทรงสูง

    ดื่มตัวตนที่สูญเสียไป

    ให้หลั่งรินอาบหัวใจ





    เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า, เขายังคงมีชีวิต


    ณ โลกใบเส็งเคร็ง และโลกอันเป็นนิรันด์

    เพราะหนังสือแม้ถูกเผาเป็นขี้เถ้า

    แต่ผู้ที่ได้อ่านมันไม่เคยลืมเลือน





    (แด่ประเทศอันหนังสือบางเล่มถูกตีค่าว่าเป็นสิ่งยุยงให้เกิดความแตกแยก)
    (ถ้ามันจะเปราะบางขนาดนี้ก็)






    /





                        ห้านาฬิกาสิบสี่นาที, รามสูรจ้องมองท้องฟ้าที่มีเมฆเทาปกคลุมบางส่วน กลิ่นชื้นของดินลอยแตะจมูก เป็นสัญญาณ​ว่าหยาดฝนกำลังจะกลั่นตัวลงมายังพื้นโลก วันนี้อารมณ์​เขาอึมครึม​ด้วยเพราะความรู้สึกหลากหลายตีกันจนจุกจากอกถึงคอ, กังวลว่าต่อจากนี้เขาต้องละทิ้งการเขียนไปหรือไม่, 


    การหมดความสามารถ​ในสิ่งที่ตนเองเคยเก่ง ㅡ นี่แหละน่ากลัวที่สุด



    เขาอยากสัมผัสสายฝน ให้มันชะล้างความเหนื่อย​ล้าตามกายและใจออกไปเสียบ้าง พร้อมหวังข้างในลึกๆว่า, หลังฝนตกหนักครั้งนี้ ดวงอาทิตย์​จะกลับมาส่องประกาย​ ㅡ อีกครั้ง



                        รามสูรเปิดประตูบ้านออกไป พร้อมกับหยาดน้ำฟ้าหยดแหมะบนข้างแก้ม เขาเงยหน้าขึ้น, ภาสกรหลบฉากไปอยู่หลังเมฆก้อนใหญ่สีทะมึน เสียงฝนกระทบหลังคาบ้าน, ใบไม้, พื้นดิน รับช่วงต่อกันเป็นทำนองรอบกายเขา ขายาวพาตัวเองเดินเลียบไปยังข้างบ้านสวน พร้อมพิรุณที่กำลังพรำลงมา, บนเส้นผมสีดำขลับราวปีกกา บนบ่ากว้างที่ลู่ลงเล็กน้อยในเสื้อยืดสีน้ำตาลอ่อน บนแพขนตาที่ขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้า




    'ออกมาทำไมนะ'​ เขาคิดอย่างคล้ายเพิ่งรู้สึกตัว แต่ก็ไม่หันกลับไป รามกวาดสายตาผ่านสายฝน




                        ตรงหน้าคือต้นพุดซ้อน, ยืนสง่างามท่ามกลางฤดูฝน กลีบดอก​ที่ซ้อนกันเป็นชั้นชวนให้นึกถึงกระโปรงของเจ้าหญิงโฉมงาม กลุ่มใบสีเขียวขจี​ยามต้องหยาดน้ำดูมันเป็นเงา รามสูรหลับตา, สูดเอากลิ่นชื้นฝนผสมรวมกับกลิ่นสุคนธ์​หอมชื่นจากบุปผาลงปอดสองข้าง พิรุณเริ่มตกลงมามากขึ้นจนผมสีมะเดื่อลู่ลงกับกรอบหน้า หยดน้ำเกาะพราวบนดวงหน้าคมและริมฝีปากหยัก



    บรรยากาศรอบกายเป็นสีเทาครึ้มฟ้าครึ้มฝน​ ลมหนาวพัดมาเยือนทำให้อากาศเย็นกว่าเดิม ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ เงยหน้ามองแพเมฆกำลังเดินทางเติมความเหงาใจ​ให้แก่แห่งหนอื่น ㅡฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับคำว่าเหงาหงอย​รองลงมาจากฤดูหนาว ความเย็นฉ่ำอันเคว้งคว้างชวนให้ทุกคนฟังเพลงเศร้า เสียงฝนพรำเปาะแปะกระทบกับต้นไม้ใบหญ้า​ชวนให้นึกถึงฤดูฝนปีก่อนอันว่างเปล่า




    แล้วปีนี้จะต่างไปหรือไม่หนอ? 



    ก่อนตะวันจะยาตรา​มาถึง รามสูรยื่นมือไปลูบกลีบดอกพุดซ้อนสีกระจ่างอย่างเบามือ เกลี่ยหยาดน้ำด้วยนิ้วโป้งขวา แววตาอ่อนลงคล้ายแย้มยิ้มหากแต่มุมปากยังคงสงบนิ่ง 




    พลันปรากฏ​แสงทองส่องจากดวงดอกไม้ในมือ




    "เฮ้ย ! ! !" ใบหน้าคมตื่นตระหนก เขาชักมือออกทันที ขาก้าวไปข้างหลังอย่างไม่รู้​ตัว​ ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดยกมือขยี้ตาด้วยคิดว่าอาจเป็นเพราะฝน จึงทำให้มันพร่ามัวเห็นบางอย่างซึ่งเกินจริง



    แต่เขาคิดผิดถนัด

    ยามลืมตานั่นน่าตกใจกว่า



    ตรงหน้ารามสูร, ใต้ต้นพุด, มีคนในเสื้อเชิ้ตสีครีม กางเกงสแลคและรองเท้าหนัง ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาเงยขึ้นสบสายตากับเจ้าของบ้านที่ตัวแข็งทื่อ แก้วตาสีน้ำตาลอ่อนแลดูงุนงงเล็กน้อย กลุ่มผมหยักศกสีเข้มกว่านัยน์ตามีหยดน้ำพรมอยู่ทั่ว 




    แสงอรุณยามเย็นทาบทับลงมา, ย้อมร่างทั้งคู่ราวไม่เคยมีความมืดครึ้มของฟ้าฝนเคยพาดผ่าน



    "ใคร?" ชายหนุ่มนักเขียนเพิ่มการ์ดป้องกันในน้ำเสียง



    "ผม คือ- เอ่อ" ชายวัย​ประมาณยี่สิบเกาแก้มตนเองอย่างประหม่า ส่วนสูงที่ห่างกันเกือบสิบเซนฯทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย



    "ขโมย?" เขากล่าวเสียงเข้ม, แววตาสีนิลยังคงจ้องเอาเรื่อง จากปกติที่หน้านิ่งก็ดูดุอยู่แล้ว ตอนนี้สีหน้าก็ชวนผวาอยู่พอควร



    "ไม่ใช่ครับๆๆ" ดวงหน้าขาวกระจ่างตื่นตระหนก​



    "คุณรามฟังผมก่อน"



    "เป็นขโมยไม่พอเป็นสตอล์กเกอร์อีกเรอะ" คิ้วเข้มขมวดปม เด็กนี่อยู่ๆก็มาเรียกชื่อเขา ไม่ใช่คนรู้จักก็ต้องเป็นสตอล์กเกอร์แหงๆ



    "ก็บอกว่าฟังผมก่อน"



    รามสูรกอดอก



    "ผมน่ะㅡ"



    "เป็นภูตในต้นพุด​ซ้อน​ต้นนี้ต่างหาก"



    "จะปั้นเรื่องก็ให้มันเนียนหน่อยเถอะ" รามสูรทำหน้าเหนื่อยหน่าย



    "ไม่เชื่อผมหรอ, ได้, เดี๋ยวทำอะไรให้ดู"



    เขาพยักเพยิด



    มือเรียวของเด็กหนุ่มยกขึ้นกำในอากาศ ปิดเปลือกตาลงพร้อมตั้งสมาธิ​ แสงสีทองจะสว่างวาบ ใบหน้าคมเข้มแสดงอารามตกใจก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง, เพราะยามอีกฝ่ายแบมือออก, พบแต่ความว่างเปล่า



    "ได้ไง ! " เด็กหนุ่มอุทาน ใบหน้าขาวกลับซีดมากกว่าเดิม



    "นึกออกแล้ว !"



    "คุณรามเด็ดใบพุดออกมาเร็ว"



    ชายหนุ่มถอนใจแต่ยังไม่คลายคิ้วที่ขมวดอยู่ สาวเท้าไปใกล้ต้นพุด ยื่นมืิอออกไปปลิดใบสีเขียวออกจากกิ่ง 



    "โอ๊ย" เสียงอุทานจากคนตัวเล็กกว่าเรียกให้รามสูรหันไป เจ้าตัวยกแขนให้อีกฝ่ายดู พบว่ามีรอยสีแดงจางๆบนนั้นคล้ายโดนหยิก



    "ตัวผมก็คือต้นพุดซ้อน, เชื่อรึยัง"



    "อ้อ" เสียงแหบกล่าวตอบในลำคอ



    นักเขียนนิ่งเงียบไปสักพักละม้ายใช้ความคิด ก่อนจะกระตุกยิ้ม, เด็กหนุ่มเสียวสันหลังวาบ, มือเรียวกำใบต้นพุดขึ้นมาสามสี่ใบ


    อีกฝ่ายหน้าถอดสี แขนข้างที่ชูไว้ค้างเติ่งในอากาศ



    "ขอลองหน่อยนะ" ไม่พูดเปล่า เขาดึงใบพุดมันวาวจนหลุดจากกิ่งสีน้ำตาลเข้ม เสียงแห่งความเจ็บปวดดังระงมพร้อมรอยหยิกบนบนแขนขาวซีดเพิ่มขึ้นอีกเป็นจ้ำ



    "ของจริงนี่นา" รามสูรโปรยใบพุดลงพื้น เด็กหนุ่มผิวขาวเกือบซีดจ้องใบหน้าสูงวัยกว่าอย่างตะลึงงัน



    นี่จงใจแกล้งหรือทดสอบจริงๆกันแน่ ? !



    ร่างสูงเดินอาดๆนำไปยังประตูหน้าบ้าน ทิ้งให้ภูตตัวน้อยยืนงงเป็นไก่ตาแตกพร้อมลูบแขนตัวเองป้อยๆ



    "เอ้า เธอจะยืนอยู่อย่างนั้นทั้งคืนหรอ" ชายอายุมากกว่าถามแกมหัวเราะเล็กน้อย​ ใบหน้าขาวยับยู่ด้วยความหงุดหงิดยามสบสายตาระยิบระยับ​ของรามสูร



    "ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านนะวรรษา"



    "ครับ?"



    "ที่เงียบไปตอนนั้นคือตั้งชื่อให้น่ะ"



    "ไม่คิดว่าผมจะมีชื่ออยู่แล้วหรอครับ"

     

    "ใครมันว่างขนาดตั้งชื่อให้ต้นพุดซ้อน"



    "คุณรามไง"



    "ก็จริงของเธอ" เขาไหวไหล่, แสงอรุณ​สะท้อนดวงแก้วสีเข้มคู่สวยของเจ้าของบ้าน วรรษามองภาพนั้นอย่างประหลาดใจ



    "เข้าบ้าน, ษา, เดี๋ยวไม่สบาย" 




    เอ่ยจบเขาก็หมุนตัวกลับ เดินอย่างเชื่องช้า ทิ้งให้ดอกพุดซ้อนสีขาวมองตามด้วยความรู้สึกฉงน





    ความอบอุ่นแห่งหน้าฝนท่วมท้นในใจ

    การถูกเรียกขานด้วยชื่อ

    นับเป็นสิ่งที่มากมายสำหรับเขา



    จากคิดว่าตนเป็นเพียงดวงวิญญาณ​ไม่สลักสำคัญอันใด กลับมีชื่อถูกบันทึกในความทรงจำของใครคนหนึ่ง, มันทำให้วรรษารู้สึกยินดีเหลือเกิน



    เด็กหนุ่มก้าวตามรามสูรไปด้วยดวงหน้าเปื้อนยิ้ม




    พร้อมแสงสีทองสุดท้ายของวัน


















    /


    ด้วยรัก




    ติชมเม้ามอยคอมเม้นที่ #พซรจ หรือใต้ลิงค์ฟิคตอนนี้ได้เรยง้าบบบบบบบ




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in