เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
working on my energyMia Venusian
Anne with an E: แอนน์ที่มี "น์" (TV-Series; season 3, 2019 )


  • ชื่อเรื่อง: Anne with an E
    ประเภท: Drama และ Coming of Age
    จำนวนตอน: 27 ตอน (ทั้งหมด 3 ซีซั่น)
    ระยะเวลาที่ออนแอร์: March 19, 2017 – November 24, 2019
    ดย: CBC Television และ Netflix (ในประเทศไทยสามารถรับชมทั้ง 3 ซีซั่นได้ทาง Netflix)

    เต็มไปด้วยสปอยล์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

    ps. ยาวนรกมากค่ะ แนะนำให้ค่อย ๆ ย่อยอ่านละกัน เพราะดีเทลล์แน่นมาก

    Anne with an E เป็นซีรีส์ที่สร้างจากนิยายเรื่อง Anne of Green Gables โดยนักเขียนชาวแคนาดา L. M. Montgomery 


    ทั้ง 3 ซีซั่นนี้จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เด็กหญิงแอนน์ เชอร์ลีย์ เด็กกำพร้าที่ถูกรับอุปการะโดยไม่ได้ตั้งใจของพี่น้องคัทเบิร์ต ณ กรีนเกเบิลสฺ เมืองอาวอนลี จนถึงช่วงเวลาที่แอนน์สอบติดมหาวิทยาลัยที่ควีนส์ 

    จริง ๆ เราเคยรีวิวทั้งสองซีซั่น(แบบสั้น ๆ ไม่มีการรีแคปเหมือนในนี้)ไว้ใน twitter แล้ว และในตอนนี้เราจะมารีวิวซีซั่น 3 ที่เป็นซีซั่นสุดท้ายของ Anne with an E ที่มีทั้งหมด 10 ตอนด้วยกัน โดยเราจะพูดถึงทีละตอนนะคะ อาจจะยาวนิดนึง เพราะอยากพูดในซีนที่ชอบ แต่อาจจะไม่ได้พูดถึงดีเทลล์ทั้งหมดจนกลายเป็นสปอยล์ทุกอย่างนะคะ 


    Episode 1: A Secret Which I Desired to Divine
    คำอธิบาย: 
    ใกล้จะถึงวันเกิดครบ 16 ปีของแอนน์ แอนน์ต้องการรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับครอบครัวที่แท้จริงของตนเองที่ไปกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างแอนน์กับพี่น้องคัทเบิร์ต

    ความรู้สึกหลังจากดู: 
    เปิดตอนแรกของซีซั่นใหม่ น้องแอนน์โตเป็นสาวขึ้นมาก และเป็นการแนะนำตัวละครใหม่อย่าง Ka'Kwet (กาเกว็ต) เด็กสาวชาว Miꞌkmaq (อินเดียแดง) ที่ได้เป็นเพื่อนใหม่ของน้องแอนน์ น้องแอนน์ได้เรียนรู้วัฒนธรรม เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับชาวอินเดียแดงที่มาอาศัยอยู่ชายป่าในเขตของอาวอนลี ซึ่งเป็นการปูทางเกี่ยวกับประเด็นที่เกิดขึ้นอีกหนึ่งประเด็นเช่นกัน 


    จริง ๆ ในตอนแรกทำให้เราได้เห็นการเจริญเติบโตของแก๊งเด็ก ๆ ในโรงเรียนที่มีมิสสเตซีเป็นครูใหญ่ในอาวอนลีมากขึ้น เช่น การเริ่มสนใจเพศตรงข้าม การเรียนต่อในระดับชั้นอุดมศึกษา เป็นต้น ถือว่าเป็นการปูทางในหลายประเด็นที่จะเกิดขึ้นในตอนต่อไปมากขึ้น
    ในเรื่องราวของน้องแอนน์นั้น ในวันเกิดครบอายุ 16 ปีของเจ้าตัว น้องเลยขอให้พี่น้องคัทเบิร์ตช่วยเหลือด้านการสืบหาประวัติครอบครัวที่แท้จริงของน้อง ซึ่งคำขอทำให้มาริลล่ากังวลใจเป็นอย่างมาก เกิดการกระทบกระทั่งจนน้องแอนน์ไม่พอใจ ซีนนี้ทำเรารู้สึกเจ็บปวดเลยทีเดียว เพราะเข้าใจทั้งความรู้สึกของพี่น้องคัทเบิร์ต และตัวน้องแอนน์เอง

    ส่วนตัวตอนแรกถือว่าเปิดมาได้ดีเลยทีเดียว เพราะสามารถปูทางเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ในเรื่องได้ครอบคลุมพอสมควร ดีใจมากที่ได้ดูสักที เพราะคิดถึงกิลเบิร์ต บลายธ์มากค่ะ 5555555555555


    Episode 2: There is Something at Work in My Soul Which I Do Not Understand
    คำอธิบาย: 
    การค้นหาของแอนน์ทำให้แอนน์ต้องกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สถานที่ที่ทำให้เธอต้องพบเจอกับอดีตและความเป็นจริงสิ่งใหม่ ในขณะเดียวกัน เอไลจาห์ ลูกชายคนโตของแมรี่ได้มายังอาวอนลี

    ความรู้สึกหลังจากดู:
    ต่อจากตอนที่แล้ว สุดท้ายบ้านคัทเบิร์ตก็ปล่อยให้น้องแอนน์ออกไปเผชิญความจริงเกี่ยวกับครอบครัวเชอร์ลีย์ โดยมีกิลเบิร์ตเป็นคนไปส่งที่ชาร์ล็อตทาวน์ และแอนน์ได้ขอร้องให้โคล(คนเก่งคนดีของเรา เรารักน้องมาก น้องโตขึ้นเยอะจริง ๆ หล่อและดูดีมาก ไอเริ้บเจ้าหนู)ไปเป็นเพื่อนด้วย 
    ตอนนี้ถือว่าหนักพอสมควรเลยแหละ ไม่ว่าจะตอนที่แอนน์ไปศูนย์เลี้ยงเด็กกำพร้าที่ตนเองจากมา พบเจอกับเด็กสาวที่เคยบุลลี่เธอตอนยังอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ในปัจจุบันทำงานให้กับสถานที่แห่งนี้ เห็นเด็กสาวผมสีแดงเช่นเธอโดนรังแกในแบบเดียวกัน ไหนจะตอนที่มารอคุยกับครูใหญ่ที่เห็นว่ามีเด็กสองคนถูกพ่อนำมาทิ้งที่สถานที่แห่งนั้น ถือว่าเป็นตอนที่สะเทือนใจกับแอนน์มากเลยแหละค่ะ แต่ยังดีที่มีน้องโคลมาเป็นเพื่อน เราชอบความสัมพันธ์ของแอนน์กับโคลมาก โคลเป็นเพื่อนสนิทที่ดีสำหรับแอนน์และรู้ใจแอนน์ไม่ต่างจากไดอาน่าเลยแหละค่ะ
    ซึ่งตอนนี้ได้เปิดตัวละครใหม่อีกหนึ่งคนค่ะ คือ วินิเฟร็ด "วินนี่" โรส สาวคนใหม่ที่กิลเบิร์ตเจอในโรงพยาบาลตอนที่แวะเข้าไปหาคุณหมอวอร์ด ทำให้กิลเบิร์ตเริ่มสนใจในตัวเธอ ด้วยความ unique ของวินนี่เองด้วยแหละ ส่วนตัวเราชอบวินนี่นะ สวย ไฮโซ และมีความเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใครดี ไม่แปลกที่กิลเบิร์ตจะสนใจและชวนเธอไปดื่มชาด้วยกัน 55555555555
    ในขณะเดียวกันที่บ้านบลายธ์-ลารอซ(ไม่ชัวร์เรื่องคำอ่านนะคะ เราลืมวิธีถอดเสียงแล้ว) เอไลจาห์ลูกชายคนโตของแมรี่(ภรรยาของแบช)ได้มาที่อาวอนลี ด้วยความที่กิลเบิร์ตและแบชไม่ได้ต้อนรับสองคนนี้สักเท่าไหร่ ทำให้แมรี่ก็กระทบกระทั่งกับแบชและเอไลจาห์เอง สุดท้ายเอไลจาห์ก็ทำตัวมีปัญหาแบบเดิมด้วยการขโมยทรัพย์สินเดิมของคุณพ่อกิลเบิร์ตแล้วหนีไป ทำให้แมรี่เสียใจมากกว่าเดิมอีก ส่วนตัวเราไม่ชอบเอไลจาห์ที่ทำแบบนี้นะ เรามองว่าเอไลจาห์เป็นเด็กมีปัญหามาตั้งแต่เด็กอะ ทั้ง ๆ ที่แมรี่ให้ความรักอย่างดีเลยนะ

    Episode 3: What Can Stop the Determined Heart
    คำอธิบาย: 
    เทศกาลอีสเตอร์ที่ใกล้จะถึง แมรี่ได้ป่วยหนักทำให้กิลเบิร์ตและแบชเป็นกังวล รวมถึงทุกคนในชุมชนเองที่ต่างพากันรวมตัวกันอีกครั้ง

    ความรู้สึกหลังจากดู:
    ตอนนี้ถือว่าเป็นตอน emotional มากที่สุดตอนหนึ่งเลยแหละ แมรี่ป่วยหนักเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ไม่อาจจะรักษาให้หายดีได้ ทำให้ทุกคนในบ้าน รวมถึงชาวอาวอนลีเป็นห่วงอย่างมากค่ะ กิลเบิร์ตจึงตัดสินใจที่เชิญคุณหมอวอร์ดเข้ามารักษาดูอาการให้ แต่นั่นไม่อาจจะยื้อชีวิตแมรี่ให้นานได้ เพราะแมรี่จะมีชีวิตต่อได้ไม่เกินสองสัปดาห์ แบชเลยอับจนหนทางและเศร้ามาก ส่วนกิลเบิร์ตอาสาที่จะนำข่าวไปบอกให้กับเอไลจาห์ แต่เอไลจาห์ได้หลบหนีไปแล้ว(จริง ๆ วางแผนโกหกว่าหนีไป) ซึ่งตอนนั้นเอง กิลเบิร์ตจึงไปหาเพื่อนร่วมงานที่แมรี่สนิท ถามเกี่ยวกับเอไลจาห์ และพาพวกหล่อนมาพบแมรี่ด้วยกันที่อาวอนลี

    ทุกคนในอาวอนลีดีมากเลยค่ะตอนนี้ แอนน์ตัดสินใจที่จะทำสมุดเขียนสูตรอาหารจากแมรี่เพื่อไว้ให้เดลฟีน(ลูกสาวของแมรี่)ในอนาคต รวมถึงคนในอาวอนลีช่วยกันจัดเทศกาลอีสเตอร์ให้กับแมรี่ เพื่อให้เธอ แบช และเดลฟินมีความสุขร่วมกัน 

    Episode 4: A Hope of Meeting You in Another World
    คำอธิบาย: 
    แมทธิวอนุญาตให้แอนน์ไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวอีกครั้ง แต่มาริลล่าไม่โอเค ในขณะเดียวกันที่หลังจากแบชได้สูญเสียแมรี่ไป แบชจึงตัดสินใจนำจดหมายที่แมรี่เขียนถึงเอไลจาห์ไปให้อีกคน ส่วนกาเกว็ต เด็กสาวชาวอินเดียแดงได้ไปเผชิญชีวิตใหม่ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองหวังไว้ และไดอาน่าเริ่มแสดงจุดยืนและต่อต้านความต้องการของครอบครัวเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง

    ความรู้สึกหลังจากดู:
    หลังจากตอนที่ 2 ที่แอนน์ไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นเอง แอนน์ทะเลาะกับมาริลล่าอีกครั้ง สุดท้ายแมทธิวก็ยอมให้ไป แอนน์จึงต้องกลับไปยังโบสถ์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของแอนน์ที่เสียชีวิตไปแล้ว 

    ตอนนี้เปิดตอนมาด้วยมิสสเตซี คุณครูสุดเก่งที่ถูกคุณป้าลินดี้จับคู่ให้ 5555555555555 นับถือความพยายามของคุณป้าลินดี้มาก ๆ เลยค่ะ ส่วนเรื่องของกาเกว็ตที่ถูกทางการให้ไปเรียนหนังสือ ทำให้เรารู้สึกหดหู่มาก ๆ เลยทีเดียว เพราะไม่ต่างจากการบังคับให้เด็ก ๆ มาล้างสมองเลยค่ะ


    ซีนที่เราชอบคือหลังจากที่แอนน์ไปสืบค้นเกี่ยวกับครอบครัว เธอได้บอกว่าเธอเป็นชาวสก็อตแลนด์กับมาริลล่า รวมถึงมาริลล่าเองที่โล่งใจ และพร้อมที่จะช่วยเหลือแอนน์เสมอ ทำให้เราได้เห็นความสัมพันธ์ของมาริลล่ากับแอนน์ที่กลับมาดีเหมือนเดิม เราดีใจกับแอนน์มากที่ได้รับของขวัญในวัยสิบหกปีของตัวเองอย่างที่ต้องการเลยแหละค่ะ 

    และในตอนนั้นเอง อีกซีนที่เราชอบคือตอนที่ไดอาน่าหนีจากที่บ้านมากับพี่เลี้ยง แล้วได้ไปเจอกับสิ่งใหม่ ๆ อย่างการที่ไปร่วมโต๊ะอาหารค่ำกับครอบครัวที่ดูแลเจอร์รี่ค่ะ เป็นตอนที่เราชอบไดอาน่ามาก เพราะการที่เด็กสาวคนนึงเดินออกจากกรอบและ comfort zone มาเจอกับสิ่งใหม่ ๆ และเอนจอยกับมัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจดี แต่สุดท้ายครอบครัวก็ตามกลับไป แถมทะเลาะใหญ่โตเลยแหละ

    Episode 5: I Am Fearless and Therefore Powerful
    คำอธิบาย: 
    เด็ก ๆ ได้ฝึกซ้อมเต้นรำ Barn Dance สำหรับงานแฟร์ที่จะจัดขึ้น ส่วนแก๊งเด็กสาวเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับการแต่งงานและการเป็นแม่ เจอร์รี่เดินไปส่งไดอาน่าที่บ้าน และได้เกิดความรู้สึกโรแมนติกขึ้นระหว่างเด็กทั้งสองคน

    ความรู้สึกหลังจากดู:
    ตอนนี้เจ้าเด็กมูดี้ได้หกล้มจนเกิดแผลลึก ด้วยความที่ไม่มีใครสามารถรักษาได้ แอนน์จึงอาสาไปขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อของกาเกว็ตให้เชิญคุณหมอประจำหมู่บ้านชาวอินเดียแดงมารักษาให้ ทำให้กิลเบิร์ตเกิดความรู้สึกเกี่ยวกับการอยากเป็นหมอของตัวเอง ระหว่างวิทยาการแพทย์ที่ตัวเองเคยเรียนรู้กับการแพทย์ของชาวอินเดียแดงที่ตัวเองพบเจอ รวมถึงกิลเบิร์ตเองเริ่มอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยเฉพาะทางที่ซอร์บอน

    จริง ๆ ตอนนี้คู่หลักของเราได้ออกโรงกับเขาสักที(ใช่ค่ะ เรื่องนี้มีคู่นะ กิลเบิร์ตกับแอนน์ไง!) เราชอบตอนที่ซ้อมเต้นรำกันมากเลยแหละ มีความอายคอนแทคกันตลอดเวลา มันทำให้เราได้เห็นจริง ๆ ว่ากิลเบิร์ตน่ะชอบแอนน์ แต่น้องแอนน์ไม่รู้เลย!! แต่ด้วยความที่ทั้งคู่ยังคงสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง แอนน์มีความที่เป็นตัวเองเกิน ไม่ได้เก่งเรื่องการพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เกิดความเข้าใจไม่ตรงกันของทั้งคู่นิดหน่อย เและตอนนั้นเองน้องรูบี้ที่ชอบกิลเบิร์ตมานาน ก็เริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาสนใจมูดี้แทน น่ารักมากค่ะ เราชอบน้องรูบี้มาก เป็นเด็กสาวที่ทำให้เรานึกถึงตัวเองตอนอายุเท่านั้น วัยหวานเหลือเกิน 555555555 ที่ตลกคือเพื่อนร่วมชั้นของแอนน์อย่างชาร์ลี ดันมาบอกว่าการที่ผู้หญิงอารมณ์ฉุนเฉียวจะเป็นหมัน ทำให้แก๊งเด็กสาวพากันกังวลใหญ่โต จนต้องไปถามกิลเบิร์ตว่าสรุปมันเป็นยังไง เอ้อ เด็กพวกนี้นะ


    ซีนปิดตอนเป็นอีกซีนที่เราชอบมากเลยค่ะ แก๊งเด็กสาวรวมตัวกันปาร์ตี้เล็ก ๆ ในป่า ซีนนั้นเป็นซีนปิดที่สวยและดีมาก ๆ เลยทีเดียว



    Episode 6: The Summit of My Desires
    คำอธิบาย: 
    ณ งานแฟร์ที่จัดขึ้นในเกาะพริ้นซ์เอ็ดเวิร์ด(ที่ตั้งของอาวอนลี) ที่นำมาสู่ความรัก ความเสียใจ และหายนะ แมทธิวได้พบกับเพื่อนเก่า ส่วนเจอร์รี่คว้าโอกาสแสนวิเศษ

    ความรู้สึกหลังจากดู:
    ตอนนี้มีหลากหลายอารมณ์ดีค่ะ งานแฟร์ได้จัดขึ้นเพื่อประกวดพืชพันธุ์ผลผลิตการเกษตร รวมถึงตัวน้องแอนน์เองได้ทำเค้กสูตรของแมรี่ แต่น้องซุ่มซ่ามทำขวดวนิลาแตก เลยไปเจอขวดวนิลาอันใหม่มาเทใส่โดยไม่รู้ว่าจริง ๆ นั้นคือ... 5555555555555555 และในตอนนั้นเอง น้องแอนน์รู้ใจตัวเองสักทีว่าตัวเองน่ะรักกิลเบิร์ต หลังจากได้คุยกับไดอาน่า และทบทวนตัวเองทั้งหมด แต่ก็นะ เพราะงานแฟร์ กิลเบิร์ตชวนวินนี่และครอบครัวมางานด้วยกัน น้องแอนน์เห็น เลยรู้สึกผิดหวังและอกหักไปตามระเบียบ


    ส่วนแมทธิวที่ปลูกแครอทให้ใหญ่ที่สุดก็ต้องผิดหวัง เพราะแครอทตัวเองไม่ได้รางวัลผลผลิตที่ใหญ่ที่สุด แต่กลับได้รางวัลผลผลิตที่แปลกประหลาดแทน ส่วนแอนน์ก็เช่นกันค่ะ เค้กวนิลากลิ่นยาหม่องของน้อง ส่วนมาริลล่าก็ชนะไป555555555555 

    ตัดภาพมาที่งานกลางคืน โจซี่กับบิลลี่แอบมาพลอดรักกัน แต่ด้วยความนิสัยไม่ดีของบิลลี่จึงนำเอาไปพูด ทำให้ข่าวกระจายอย่างรวดเร็วและโจซี่อับอายมาก ความหุนหันพลันแล่นของแอนน์ทำให้เรื่องราวใหญ่โต ตอนนี้ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดกับน้องแอนน์มาก เพราะทำเสียเรื่องหมด และขาดความรอบคอบไปอีก แต่นั่นแหละค่ะ ความเลือดร้อนของแอนน์ในตอนที่ 6 ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่โตในตอนต่อ ๆ ไป


    Episode 7: A Strong Effort of the Spirit of Good 
    คำอธิบาย: 
    ความคิดเห็นของแอนน์ที่ตีพิมพ์ลงไปในข่าวของทางโรงเรียนไม่ได้การตอบรับในทางที่ดีอย่างที่เธอวางไว้ และผลที่ไม่คาดคิดกระทบไปในวงกว้าง อย่างที่ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะลดความใจแคบของตัวเองลง และติดตามในเวลาที่เปลี่ยนผ่านไป โจซี่เองที่ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ รวมถึงเพื่อน ๆ ของพวกเธอยืนหยัด

    ความรู้สึกหลังจากดู:
    ความคิดของแอนน์แทนที่จะทำให้ทุกคนเกิด awareness แต่กลายเป็นไปในทางลบ มิสสเตซีเลยตัดสินใจให้แอนน์เลิกเขียนบทความลงข่าวของทางโรงเรียน รวมถึงทำให้โจซี่ไม่พอใจในตัวแอนน์อย่างมาก ตอนนี้ทำให้เห็นว่าเด็ก ๆ ในโรงเรียนเห็นพ้องกับแอนน์ในภายหลัง เพราะทางการในอาวอนลีเริ่มเข้ามาควบคุมการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ของทางโรงเรียน เด็ก ๆ ในโรงเรียนจึงเลือกที่จะมาแสดงจุดยืนของตัวเองให้กับทางการ ซึ่งเป็นตอนที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ 

    แต่ในขณะเดียวกัน เจอร์รี่รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างไดอาน่า จึงนำมาบอกแอนน์ ทำให้แอนน์กับไดอาน่าทะเลาะกันเรื่องนี้อย่างรุนแรง จนไดอาน่าเลือกที่จะอยู่บ้านไม่ออกมาร่วมกับพวกเด็ก ๆ ที่เหลือ

    พริสซี่ ลูกสาวคนโตของบ้านแอนดรูว์โตขึ้นมาก ๆ สวยขึ้นมากด้วย ทำให้เราชอบ character development ของตัวพริสซี่ในซีซั่นนี้ด้วย พริสซี่เลือกที่จะออกมาเดินขบวนและให้ความช่วยเหลือพวกเด็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่องการแสดงความคิดเห็นของทุกคน

    สิ่งที่ได้จากตอนนี้ คือ การแสดงความคิดเห็นทุกคนสามารถทำได้ และการที่ถูกปิดปากเงียบไม่ให้พูดเป็นสิ่งที่เรารู้สึกอึดอัด มันสะท้อนใจดีค่ะ ความคิดเห็นที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ มันอึดอัดใช่มั้ยล่ะ ไหนจะถูกจำกัดความเห็นจากหลาย ๆ คนอีก ซีนที่ออกมายืนถือป้ายถือว่าเป็นซีนที่ตบหน้าหัวหงอกหัวขาวทุกคนใน council อย่างแรงเลยค่ะ 

    "Freedom of speech is a human right"
    (เสรีภาพในการพูดคือสิทธิของมนุษยชน)


    Episode 8: Great and Sudden Change
    คำอธิบาย: 
    เด็ก ๆ ไปสอบเข้าที่ควีนส์ ไดอาน่าเลือกระหว่างที่จะทำตามความฝันของตัวเองที่ควีนส์หรือยอมทำตามในสิ่งที่ครอบครัวต้องการ ส่วนกาเกว็ตพยายามที่จะกลับบ้าน แม่ของแบชมายังอาวอนลี และคุณป้าโจเซฟินให้คำปรึกษาแก่ไดอาน่าและแอนน์

    ความรู้สึกหลังจากดู:
    เปิดมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลายค่ะตอนนี้ จากตอนที่แล้วทางการได้ลอบขโมยเครื่องพิมพ์ของทางโรงเรียน และเกิดเหตุวางเพลิงขึ้น ทำให้เด็ก ๆ และคุณครูไม่มีที่เรียน สุดท้ายจึงต้องไปเรียนที่บ้านของมิสสเตซีค่ะ


    ตอนนี้ทำให้เราเห็นว่าเด็ก ๆ ทุกคนมีจุดยืนของตัวเองอะ เราสงสารไดอาน่ามาก ๆ ที่ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่แล้วหนีออกมาสอบ ส่วนกาเกว็ตเองก็หนีออกมาจากสถานที่อันเลวร้ายได้สำเร็จ คุณป้าโจเซฟินได้แวะมาหาไดอาน่า เพราะว่าน้องเขียนจดหมายไปหา ท่านเลยแนะนำเกี่ยวกับการตัดสินใจในชีวิตให้กับเด็ก ๆ ทั้งสอง ในตอนนั้นเองแบชกับมิสสเตซี่ได้พบกันอีกครั้ง คำพูดของมิสสเตซีทำให้เรารู้สึกตกตะกอนความคิดพอสมควรเลยค่ะ

    ในตอนนี้เองกิลเบิร์ตได้ไปพบกับครอบครัวของวินิเฟร็ด พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องไปเรียนต่อที่ซอร์บอน รวมถึงการแต่งงานระหว่างเขากับวินนี่เอง สุดท้ายแล้วยังไงนั้น กิลเบิร์ตกลับมายังอาวอนลี มาคุยกับแอนน์ว่าเรื่องที่ไปคุยมา ทำให้แอนน์รู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นซีนที่แบบ โอ๊ย เราเข้าใจน้องแอนน์นะ แต่สุดท้ายกิลเบิร์ตก็ชอบอมพะนำ สองคนนี้เข้าใจไม่ตรงกันสักทีอะ เหนื่อยใจ555555555555555

    ซีนสุดท้ายของตอนนี้ ทำให้เราชอบมาก ๆ ในความรักเพื่อนของทั้งแอนน์และไดอาน่า เราชอบเด็กสองคนนี้มากเวลาอยู่ด้วยกัน สุดท้ายก็ดีกันแล้ว น้ำตาจะไหล

    Episode 9: A Dense and Frightful Darkness
    คำอธิบาย: 
    แมทธิวกับแอนน์เดินทางเพื่อไปรับกาเกว็ตกลับมา กิลเบิร์ตรู้สึกกดดัน ระหว่างแอนน์หรือวินิเฟร็ด ส่วนแบชกับแม่ของเขาเถียงกันเรื่องความแตกต่างของทั้งคู่

    ความรู้สึกหลังจากดู:
    หลังกาเกว็ตหนีออกมาจากสถานศึกษาแห่งนั้น แล้วรอนแรมกลับมายังหมู่บ้านของตัวเองสำเร็จ ตอนนี้เป็นตอนที่เราโกรธคนทางการมาก ๆ ที่ทำแบบนี้กับชาวอินเดียแดง ทั้ง ๆ ที่เขามาอาศัยอยู่ กลับมองว่าพวกเขาเป็นภัยคุกคาม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองนั่นแหละไปคุกคามคนเหล่านี้ มันเป็นตอนที่แย่มาก สุดท้ายแล้วชะตากรรมของครอบครัวกาเกว็ตเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ นี่คือจุดที่เรารู้สึกอยากด่าคนทำซีรีส์มากเพราะทิ้งปมไว้ดื้อ ๆ เลยค่ะ


    ตอนนี้น้องแอนน์ตัดสินใจที่จะเขียนจดหมายสารภาพรักไปให้กิลเบิร์ต แต่สุดท้ายจดหมายนั้นก็... 


    Episode 10: The Better Feeling of My Heart
    คำอธิบาย:
    แอนน์ก้าวเข้าสู่ช่วงชีวิตใหม่ของเธอ กิลเบิร์ตได้ตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของเขา และครอบครัวของไดอาน่าได้ยินยอมที่จะให้เธอเรียนที่ควีนส์ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของกาเกว็ตยังไม่จบ

    ความรู้สึกหลังจากดู:
    ตอนสุดท้ายของซีซั่น 3 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของซีรีส์เรื่องนี้ด้วย เราใจหายมากที่มันต้องจบถึงแค่ตอนนี้ เราอยากให้ทีมซีรีส์สร้างให้จนถึงชีวิตของแอนน์ตอนโดเลยด้วยซ้ำค่ะ ตอนนี้ขอพูดยาวหน่อยนะคะ เพราะเป็นตอนสุดท้ายที่เรารู้สึกชอบมากพอ ๆ กับเสียดายมาก ๆ เลยแหละ

    ตอนนี้ผลสอบของเด็ก ๆ ประกาศแล้วค่ะ ทุกคนติดควีนส์กันหมด ซึ่งตอนนั้นเองทำให้ครอบครัวไดอาน่าไม่พอใจมาก ทำให้พวกเขายิ่งไม่เข้าใจกันมากกว่าเดิมอีก เราสงสารไดอาน่ามากอะ แต่ด้วยบริบททางสังคมในยุคนั้น การที่เรียนการเรือนตามที่ครอบครัววางไว้มันก็ยังมีอยู่จริง ๆ 

    เรื่องราวของแบชกับคุณแม่ทำให้เราชอบบทสนทนาของพวกเขานะ ด้วยความที่สภาพเป็นอยู่ของคุณแม่ของแบชในก่อนหน้าที่จะย้ายมาอยู่อาวอนลีก็เป็นคนรับใช้ในบ้านของคนผิวขาว ทำให้คุณแม่ต้องทำตัวแบบนั้น ในขณะเดียวกันที่แบชจึงตัดสินใจคุยกับแม่เรื่องนี้ ทำให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันมากขึ้น

    ส่วนแมทธิวกับมาริลล่าต้องปรับตัวครั้งใหญ่อีกครั้ง เพราะแอนน์ต้องไปเรียนที่ควีนส์แล้ว แมทธิวทำใจไม่ได้ที่แอนน์จะต้องไปอยู่ในเมือง เขาเลยทำปั้นปึ่งกับเด็กน้อยที่ตัวเองรักและเอ็นดูมาที่สุด ตอนนี้ทำเราร้องไห้หนักมากเลยค่ะ พอดูแล้วก็น้ำตาไหลดื้อ ๆ เลย เพราะแมทธิวเป็นคนในครอบครัวที่รักแอนน์มาก เป็นคนที่ตัดสินใจและคอยซัพพอร์ตแอนน์มาตลอด เขาจะเสียใจก็ไม่แปลกอะ ฮือ

    สุดท้ายแล้วนั้น การตัดสินใจของกิลเบิร์ตในตอนแรกที่ทำให้แอนน์เข้าใจผิดว่ากิลเบิร์ตจะแต่งงานกับวินนี่ ส่วนกิลเบิร์ตเข้าใจว่าแอนน์ไม่ได้ชอบตัวเอง ก็จบลงด้วยดีเพราะกิลเบิร์ตถูกไดอาน่าด่าค่ะ 5555555555555555 เป็นซีนจบที่ดีมาก ๆ เลยอะ ดูไปเขินไป เขาจูบกันแล้วอะ กี๊ด ๆๆๆๆ

    บทสรุป:
    จากที่ดูมาทั้งหมดจาก 3 ซีซั่น เราก็ยังคงพูดได้ว่าเสียดายมากที่เขาจะไม่ทำต่อไป ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ทำต่อเถอะค่ะ

    สิ่งที่เราประทับใจในเรื่องนี้คือ ภาพ เสียง และเนื้อหาของเรื่อง ด้วยความที่ยุคสมัย โทนของภาพทำให้เรารู้สึกสบายตา ดูแล้วอิ่มเอมใจมาก ๆ เป็นซีรีส์แนว coming of age ที่มาก ๆ เรื่องหนึ่งเลยค่ะ ตั้งแต่เราดูมา เรามีส่วนที่ติดขัดคือเรื่องของกาเกว็ตมากที่สุดค่ะกับเรื่องแก๊งนักตุ้มตุ๋นในซีซั่นที่ 2 ไม่รู้ว่าอีกคนจะโดนจับมั้ยยังไง แต่ก็นั่นแหละค่ะ เราอยากให้ซีรีส์ทำต่อในส่วนของกาเกว็ตมากที่สุด

    โทนภาพของเรื่องเป็นอีกอย่างที่เราประทับใจในซีรีส์ค่ะ ทุกตอนภาพสวยมากกกกกกกก ย้ำว่ามาก ๆๆๆๆ มุมกล้องคือดีจริง ๆ งานละเอียดอะ เราชอบมาก ๆ ยิ่งตอนหลังคือภาพดีจริง ๆ จริตดีมากค่ะ

    ตัวละครในเรื่อง รวมถึงนักแสดงทุกคน เรารักพวกเขามาก ๆ เรารักแคสต์ทุกคน ทุกคนแสดงดีมากอะ แก๊งเด็ก ๆ แสดงเก่งมาก และโตขึ้นเยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะพริสซี่ ซีซั่นที่ 3 ทำให้เราตกหลุมรักพริสซี่เลยแหละเพราะไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว เป็นผู้หญิงที่ฉลาด และมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง โตขึ้นเยอะจริง ๆ

    เอาเป็นว่าใครชอบซีรีส์แนว coming of age หรือดราม่าที่ไม่ได้รุนแรงมาก ก็ลองเปิดใจดูได้นะคะ คุณอาจจะแอบรู้สึกรำคาญในนิสัยของน้องแอนน์บ้างในตอนแรก ๆ แต่พอดูไปตั้งแต่ต้นจนจบ คุณจะตกหลุมรักน้องแอนน์มากขึ้น รวมถึงตัวละครคนอื่น ๆ อีกด้วยค่ะ

    สุดท้ายนี้ เราขอบคุณทีมสร้างซีรีส์ Anne with an E ที่นำนิยายสุดคลาสสิคมาทำขึ้นมา เป็นซีรีส์ที่เราชอบและประทับใจ และรักมากอีกเรื่องหนึ่งเลยแหละค่ะ ไว้เราจะไปหานิยายมาอ่าน จริง ๆ มีเล่ม Anne of Green Gables มาแล้ว ซื้อมาแบบงง ๆ ตอนที่ไปงานหนังสือกับเพื่อนมาค่ะ ว่าจะไปอ่านช่วงว่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้อ่านสักที


    ขอบคุณแอนน์ที่มี "น์" ที่ทำให้เราตกหลุมรักซีรีส์เรื่องนี้จนอยากเขียนบทความนี้ออกมา
    ขอบคุณมาริลล่า และแมทธิว คัทเบิร์ต ที่รับอุปการะเด็กหญิงแอนน์ พร้อมกับมอบความรักให้กับเด็กคนนี้อย่างจริงใจและบริสุทธิ์ คอยเติมเต็มชีวิตของแอนน์ให้สมบูรณ์
    ขอบคุณไดอาน่า แบร์รี่ ที่เป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดให้กับแอนน์
    ขอบคุณกิลเบิร์ต บลายธ์ ที่เป็นแรงผลักดันให้แอนน์หลาย ๆ เรื่อง รวมถึงเป็นคนรักที่ดีของแอนน์
    ขอบคุณโคล แมคเคนซี ที่คอยสนับสนุนแอนน์อยู่เสมอ
    ขอบคุณแก๊งเด็กสาว ที่เป็นเพื่อนที่ดีให้กับแอนน์ พวกเธอน่ารักมาก ๆ โดยเฉพาะรูบี้ 555555
    และ ขอบคุณ Lucy Maud Montgomery ที่เขียนนิยายเรื่อง Anne of Green Gables ขึ้นมา


    ด้วยรัก
    มจล.
    #ชีดูชีรีวิว









Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Rungras Bmk (@fb6991829140882)
สรุปตอนกาเกว็ตเลยหาที่จบไม่ได้ แต่คิดอีกทีไม่มีก็ดีเพราะเทียบเคียงจากเหตุการณ์จริง พฤติกรรมของกาเกว็ตต้องโดนพวกนักบวชนี้กำจัดทิ้งแน่ๆ T___T
Rungras Bmk (@fb6991829140882)
เพิ่งดูจบเมื่อคืนค่ะ...น่ารักมากกกก คิดว่าเรื่องของกาเกว็ตคงไม่มีต่อ เพราะโรงเรียนประจำเด็กอินเดียนแดงไม่มีที่เกาะปรินท์เอ็ดเวิร์ด เดาขำๆ ว่า ผู้สร้างคงอยากเติมเรื่องนี้เข้าไปในซีรีย์เพราะเป็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้จริง แต่ลืมไปว่าที่แคนาดามีโรงเรียนประจำฯ “ฆ่าความเป็นอินเดียนแดงในตัวเด็ก” นี้ทุกรัฐ ยกเว้นนิวบรันสวิก และเกาะปรินซ์เอ็ดเวิร์ด