เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My StorySuicide Kuma
[Review+ความรู้สึกส่วนตัว] Digimon Adventure: Last Evolution Kizuna

  • ปล. ทาง TOEI Animation ได้ปล่อยวิดีโอ DIGIMON ADVENTURE 20thmemorial story “To Sora” แบบสั้นๆ ออกมาเมื่อต้นเดือนกุมภาซึ่งเนื้อหาในวิดีโอจะเป็นเรื่องราวของโซระที่เกิดขึ้นก่อนใน The Movie ตัวล่าสุดที่ตอนนี้ได้เข้าฉายในโรงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยากให้ทุกคนได้เข้าไปดูวิดีโอตัวนี้ก่อนที่จะเข้าไปรับชมภาพยนตร์ในโรง เพราะถ้าดูแล้วจะทำให้เข้าใจถึงเหตุผลของโซระในภาพยนตร์ได้มากขึ้นกว่าเดิมมันเป็นอะไรที่น้อยแต่มากจริงๆ หากใครที่ยังไม่ได้ดูแต่ได้ดูตัวภาพยนตร์ไปแล้ว ก็สามารถรับชมย้อนหลังเพื่อเก็บรายละเอียดได้เช่นกันค่ะ


    คะแนนตามความรู้สึก 9/10 หักเพราะ...

    - เกลี่ยบทได้ไม่ทั่ว จนเด็กคนอื่นดูเหมือนตัวประกอบ

    - บางซีนไปไม่สุดเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ตัวหนังเองสามารถขยี้ได้มากกว่านี้แต่ก็ไม่ขยี้

    - เพลงปีกรักที่ไม่ใช่เว่อร์ชั่นของพี่นัทและน้องนพในตอนท้าย...

    โดยภาพรวมถือว่าทำได้ดีในระดับที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่คาดหวังไว้

    - อีโวร่างสุดท้าย ให้ฟีลลิ่งเหมือนดู Digimon Frontier มาก

    - ฉากต่อสู้ดีอยู่ งานภาพและ CG ไม่เผาแบบภาค Tri.

    - ในส่วนของพากย์ไทยก็ดีไม่แพ้กัน ไปดูเถอะเพราะมันมีแต่พากย์ไทย ไม่ได้แย่ขนาดนั้น 

    และสุดท้าย...

    - ยามาโตะหล่อมาก!!!!!! อยากซ้อนท้ายมากค่ะ!!


     

    ขอเกริ่นก่อน(ความในใจเยอะ) 

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงโตมาพร้อมกับการ์ตูนเรื่องนี้ (แหงล่ะคนดูในโรงส่วนมาก ก็ 20+กันทั้งนั้น)ที่ถือว่าเป็นหนึ่งการ์ตูนในตำนานอีกเรื่องนึงในวัยเด็ก แต่ความพิเศษของเรื่องนี้ก็คือการที่เราได้รู้สึกเหมือนโตขึ้นไปพร้อมๆ กันกับเหล่าเด็กๆ ที่ถูกเลือกจริงๆเพราะในการกลับมาแต่ละครั้งของเรื่องนี้เหล่าเด็กที่ถูกเลือกก็จะเติบโตขึ้นไปอีกขั้น จาก ประถม ไปสู่ ม.ต้น ม.ปลาย และมหาลัย ในภาคสุดท้ายนี้ แน่นอนว่าตัวคนดูอย่างเราก็โตขึ้นตามตัวละครไปด้วยเช่นกันให้ความรู้สึกต่างกับการ์ตูนบางเรื่องที่จบมาหลายปี พอเรามองย้อนกลับไปตัวละครก็ยังอายุเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงมีแค่ตัวเราฝ่ายเดียวเท่านั้นที่เปลี่ยนถ้าดูผ่านๆการ์ตูนเรื่องนี้ก็ดูเหมือนการ์ตูนเด็กทั่วๆไปแต่ว่าถ้าลองได้ลองวิเคราะห์เนื้อเรื่องกันจริงๆ จะพบว่าการ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนที่ตัวละคร(เด็กที่ถูกเลือก) มีปมกันเยอะพอสมควรเลยทีเดียวและเรื่องของบางคนดาร์กเกินกว่าที่จะเป็นการ์ตูนเด็กอีกต่างหากแต่เพราะมีดิจิม่อนและการต่อสู้เลยทำให้ดูซอฟต์ลงมา


    อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่าตัวละครในเรื่องทุกตัวมีการเติบโตขึ้นตามกาลเวลาถ้าสังเกตดีๆ เราจะเห็นว่าความคิดความอ่านของเด็กที่ถูกเลือกนั้นเริ่มเปลี่ยนไปเริ่มคิดถึงสิ่งรอบข้างมากขึ้น กังวลมากขึ้น คิดมากขึ้นมีการตัดสินใจที่เฉียบขาดมากขึ้น และมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำมากขึ้นเรียกได้ว่าเนื้อเรื่องโตตามอายุจริงๆปัญหาชีวิตที่เหล่าเด็กที่ถูกเลือกพบเจอก็แทบไม่ต่างไปจากเราเลยรู้สึกได้เลยว่าเราและตัวละครได้โตมาด้วยกันจริงๆ เห็นมาตั้งแต่ยังกินนมกินชา จนตอนนี้ไทจิกับยามาโตะนั่งก๊งเบียร์กันแล้วอะคิดดู



    รีวิว+ความรู้สึก(กว่าจะเข้าเรื่องได้..)

    ถ้าดูจากตัวอย่างมาก่อนก็จะพอเดาๆได้แล้วว่าตอนสุดท้ายจะออกมาในรูปแบบไหนซึ่งก็ได้ทำให้หลายๆคนมีน้ำตาซึมกันพอกรุบกริบไปบ้างแล้วแต่พอมาเจอในหนังเข้าจริงๆ น้ำตาแตกยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนเนื้อเรื่อง เชื่อมกับภาค Adventure, 02 และ Tri. ออกมาได้อย่างลงตัว แถมมีตัวละครจากภาค Tri. โผล่มาแว้บนึง แต่แค่ตอนจบจะต่างออกไปจากภาค 02 ในส่วนของแก๊ง 02 ก็คือจอยมาก ขายขำมาก โดยเฉพาะไดสึเกะกับมิยาโกะ พวกหนูใส่ถ่านมากี่ก้อนกันลูก... 

     

    ช่วงต้นของเรื่องให้ความรู้สึกเหมือนเราได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าในสมัยเด็กที่ตอนนี้ก็ได้โตขึ้นไม่ต่างจากเราเลย (ให้ฟีลลิ่งงานเลี้ยงรุ่นมาก) เสียงเพลง Butter-fly และ Brave Heart ยังคงเรียกน้ำตาและสร้างความรู้สึกที่ชวนขนลุกได้สมกับเป็นเพลงในตำนานอยู่เหมือนเดิม เหล่าเด็กที่ถูกเลือกก็ต่างเติบโตไปตามเส้นทางของตัวเอง จนยากที่จะกลับมาอยู่ครบ 8 คน ได้อีกครั้งเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งพ้อยต์ตรงนี้ถือว่าสะท้อนความเป็นจริงได้ดีมาก อย่างที่ยามาโตะได้พูดไว้ในตัวอย่างว่า "จะให้เหมือนเมื่อก่อนไปตลอดไม่ได้หรอกนะ สักวันหนึ่งเราก็ต้องแยกทางกับเพื่อน" ทั้งๆ ที่มันเป็้นประโยคที่ตัวละครคุยกันเอง แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวละครกำลังคุยกับเราอยู่ด้วยเลยอย่างงั้น


    ในช่วงฉากต่อสู้ครั้งสุดท้าย เพลงที่ขึ้นอาจจะไม่ใช่เพลง Brave Heart อย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับถูกแทนที่ด้วยเพลง Theme Song ประจำเรื่องอย่างเพลง Sono Saki e แทน (ขอยืมคำพูดของรุ่นพี่คนนึงที่ได้กล่าวไว้ว่า) พอถึงจุดนั้นเราอาจจะไม่ต้องการ "หัวใจที่กล้าแกร่ง" แล้วก็ได้ ซึ่งเพลงใหม่ที่ใส่มาคือ "หลังจาก(จุด)นั้น..." ต่อให้เราฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ก็ถึงกับน้ำตาซึมได้ เพราะว่าจะมีท่อนหนึ่งในเพลงที่ร้องว่า "Wish you to stand by me" และ "Wish I can stand by you" อยู่ ซึ่งเราคิดว่าเป็นประโยคที่แทนใจระหว่างสายสัมพันธ์ของเหล่าเด็กที่ถูกเลือกกับดิจิม่อนคู่หูเอามากๆ ชวนให้เปียกปอนจริงๆ ;-;



    ส่วนเพลงปิดของเรื่องนี้ก็คือ Hanarete Itemo (แม้จะห่างกันเพียงใด) เหมือนเป็นเพลงที่คอยปลอบประโลมความรู้สึกของเหล่าเด็กที่ถูกเลือกและผู้รับชมอย่างเรา เพราะไม่แพ้กับเพลงประจำเรื่องเลย



    ตัวหนังเล่นกับประเด็นของการเติบโตจากวัยเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่ผ่านเหล่าเด็กที่ถูกเลือกออกมาได้ดีจนน่าประทับใจ เพราะทุกการเติบโตล้วนมีความเจ็บปวด มีการจากลามีบางสิ่งที่ต้องแลก เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้ใหญ่เป็นธรรมดายิ่งในซีนที่ภาพสะท้อนในแววตาของอากูม่อน เป็นแผ่นหลังที่โตขึ้นของไทจิ

    ดูได้นตัวอย่าง

    แล้วอากูม่อนพูดว่า โตเป็นผู้ใหญ่แล้วน้า ไทจิ” (ลองนึกภาพตามครั้งแรกที่อากูม่อนเจอไทจิก็คือตอนยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆแล้วตัดภาพตอนนี้ไทจิสูงกว่าอากูม่อนขึ้นเยอะมาก โตขึ้นตั้งเท่านี้แล้วอะ) คือน้ำตาแตกเลย เหมือนอากูม่อนไม่ได้บอกแค่ไทจิคนเดียว แต่อากูม่อนบอกเราด้วย พอลองมองย้อนกลับไปทั้งเราและตัวละครก็ต่างโตขึ้นมากจริงๆ แถมเสียงเป่าฮาโมนิก้าของยามาโตะเอง ก็ยิ่งชวนให้สะอื้นเข้าไปอีก


    และแล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกลา จบได้สมบูรณ์แบบสมกับเป็นการ์ตูนในตำนานแล้วจริงๆ น้อยแต่มาก เรียบง่ายแต่อิมแพคในทุกๆด้าน ไม่ถึงกับฟูมฟายแต่มันจุกอยู่ในใจ ประโยคที่ว่า "เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป" อาจจะไม่ใช่การอยู่ในรูปแบบของความเป็นจริง แต่เป็นการอยู่ด้วยกันในรูปแบบของความทรงแทนก็ได้




    End and Thank you for reading my review :)

    Suicidekuma

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in